รอยธรรมแห่งพระสังฆราชา

รอยธรรมแห่งพระสังฆราชา

ทรงเป็นพระเถระที่เป็นแบบอย่างทั้งเรื่องพระจริยวัตร วิปัสสนา และการเผยแผ่พุทธศาสนาในระดับโลก

ชีวิตจะมีความหมายก็ต่อเมื่อได้สร้างคุณงามความดีทิ้งไว้ให้โลกใบนี้

เหมือนเช่นที่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้เป็นแบบอย่างที่ดีในฐานะพระเถระในพุทธศาสนาที่เปี่ยมด้วยคุณธรรม จริยธรรม พระจริยวัตร และผู้ทรงคุณทางวิปัสสนาธุระที่สมควรแก่ราชทินนามตำแหน่งนี้

แม้พระองค์จะสิ้นพระชนม์ไปเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2556 แต่สิ่งที่เหลือไว้ ก็คือ แบบอย่างคุณงามความดีมากมายเกินกว่าจะบรรยาย แม้บางเรื่องจะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่พระองค์ก็ให้ความสำคัญ

พระศากยวิสุทธิวงศ์ (พระดร.อนิลมาน ธมฺมสากิโย) ผู้ช่วยเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช เคยกล่าวไว้ในงานสวนโมกข์เสวนา เนื่องในโอกาสพิเศษฉลองพระชันษา 100 ปี สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก หัวข้อ พุทธศาสนิกชน ควรปฏิบัติบูชา"ญาณสังวร" กันอย่างไร จัดโดยสำนักพิมพ์สุขภาพใจที่สวนโมกข์กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2556 ว่า

แม้กระทั่งเงินบริจาค เพื่อเข้ามูลนิธิ หรือเพื่อการใดก็ตาม พระองค์ไม่ต้องการรับเงินเหล่านั้น เพราะพระองค์ไม่อยากให้ญาติโยมเดือดร้อน และสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับพระองค์คือ การนำธรรมะมาใช้กับชีวิต

"สมเด็จพระสังฆราชเคยตรัสว่า ความรู้ทางโลกนั้นให้อยู่ที่ทางโลก ความรู้ทางธรรมควรไว้ที่กาย วาจา และ ใจ นั่นคือการปฏิบัติ โดยปกติพระองค์จะเน้นการสอนธรรมะ ไม่สนใจการปลุกเสกพระเครื่อง"

และการปฏิบัติของพระองค์ไม่ใช่แค่การนั่งหลับตา แผ่เมตตาอย่างเดียว ต้องเอาความรู้ที่เราเรียนรู้มาแสดงออกทางกาย วาจา และใจ โดยนิสัยของพระองค์ เวลาพระเฒ่าพระแก่มากราบ พระองค์จะถามเลยว่า พรรษาเท่าไร จากนั้นพระองค์จะรีบขยับอาสนะลงหรือเทียบเท่า ไม่ถือพระองค์ แม้ภิกษุณีมากราบ พระองค์ก็รับไหว้ โดยไม่เขอะเขิน ไม่มีพิธีรีตอง ไม่ได้วางพระองค์สูง จนไม่สามารถจะแตะได้" พระดร.อนิลมาน ธมฺมสากิโย กล่าว

  • ทรงฉันในบาตร

ในด้านพระจริยวัตร การศึกษาธรรมะอันงดงาม พระราชญาณกวี (ปิยโสภณ) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก ซึ่งเคยรับใช้ใกล้ชิดพระองค์ ในสมัยที่หลวงปู่จันศรีนำท่านมาฝากไว้ที่วัดบวรนิเวศวิหารตั้งแต่อายุ 16 ปี และเคยเป็นผู้ช่วยเลขาธิการของสมเด็จพระสังฆราช เมื่อปี 2532-2535 บอกเล่าพระจริยวัตรของพระองค์ว่า ทรงสำรวมคำพูด จะไม่พูดให้กระทบจิตใจผู้ใด ไม่นินทาว่าร้าย เวลาพระองค์ขำๆ ก็แค่แย้มพระโอษฐ์นิดหน่อย ไม่หัวเราะดังเหมือนญาติโยมทั่วไป

นอกจากนี้พระองค์ยังทรงใช้เวลาทุกนาทีอย่างมีค่าเพื่อการศึกษา ทรงเป็นนักอ่านชั้นเยี่ยม ในห้องบรรทมหรือห้องทรงงานจะมีหนังสือของพระองค์มากมาย ทั้งตำราภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน บาลี สันสกฤต ฯลฯ

"สิ่งที่อาตมาได้เห็นตอนที่รับใช้ใกล้ชิด คือ พระองค์ทรงใช้จีวรสีปอนๆ ใช้ผ้าสามผืนเก่ามาก บางผืนใช้ 10 ปี ทรงมีความกตัญญูกตเวทีต่อพระมารดาสูง ตอนที่พระมารดาถวายผ้าไว้ พระองค์ใช้จนเปื่อย ปูใต้ผ้าปูที่นอน เพื่อให้แม่ได้บุญ ช่วงเวลาประมาณหนึ่งทุ่ม ไม่ว่าพระองค์จะเหนื่อยแค่ไหน ก็จะหาเวลานั่งสมาธิใต้พระตำหนัก ก่อนทำเรื่องอื่นๆ"

ส่วนพระกิจวัตรนัดหมายใดๆ ก็ตาม พระราชญาณกวี เล่าว่า พระองค์เป็นคนตรงเวลา ดังนั้นเวลาจะไปไหนกับพระองค์ ต้องไปก่อนเล็กน้อย นอกจากนี้พระองค์ทรงประหยัดมาก ไม่ว่าการใช้ดินสอ หรือการปิดเปิดไฟฟ้าในห้องจะตรวจเช็คก่อนออกจากห้อง

ในเรื่องธรรมะ พระราชญาณกวี เล่าว่า พระองค์ทรงสั่งสอนหลายเรื่อง จะไม่โกรธ ไม่เกลียดอาฆาตหรือพยาบาทใคร จะมองโลกในแง่ดี

"พระองค์จะไม่มองใครด้านเดียว จะมองสองสามด้านในคนคนนั้น ถ้ามองด้านเดียวก็จะอคติ มีแต่ศัตรู แม้คนคนนั้นจะถูกมองว่าไม่ดี แต่ในมุมของพระองค์ ก็ยังมีแง่ดีๆ อยู่ ทำให้คนที่ถูกมองมีทางเลือกในชีวิต ในเรื่องการงานพระองค์เคยรับสั่งว่า "อันที่จริงคนคิดว่าไม่มีงานทำ เพราะไม่ได้ลงมือทำงาน แต่พอลงมือทำงานแล้ว งานก็มีมากเกินกว่าที่จะทำ" อาตมาจึงถือคติธรรมอันนี้เป็นงานของชีวิตเลย

ยกตัวอย่างการเผยแผ่พุทธศาสนาในยุโรปและอเมริกา พระองค์ทรงเป็นประธานสำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ พระองค์บอกว่า ต้องพูดภาษาให้ได้ก่อน และรู้ธรรมะ จึงทำให้พุทธศาสนาเผยแผ่ไปทั่วโลกและเป็นศูนย์กลางของโลก ทุกประเทศได้รับประโยชน์จากพระไทย คนไทย"

นอกจากนี้พระองค์ยังเป็นพระอาจารย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำให้สถาบันพุทธศาสนาและสถาบันกษัตริย์มีความใกล้ชิดกัน เวลา "ในหลวง" ทรงมีปัญหาขัดข้องเรื่องใด ก็จะมาปรึกษาพระอาจารย์ และเมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ลงแล้ว ต่อไปความใกล้ชิดของสองสถาบันก็อาจจะน้อยลง และทรงเป็นพระกรรมฐานที่เรียบง่ายเหมือนพระป่าทั่วไป

"เมื่อก่อนพระองค์เป็นพระกรรมฐาน ชอบไปตามป่าตามดอย หลวงปู่ทั้งหลายที่อยู่ตามต่างจังหวัดในสายพระป่า พระองค์ก็ทรงไปเยี่ยม ตอนเป็นสมเด็จพระสังฆราชแล้ว พระองค์ยังทรงออกบิณฑบาต ทรงฉันมื้อเดียวในบาตร พระองค์ทรงปฏิบัติตัวเหมือนพระบ้านนอก ทรงเคารพพระผู้ใหญ่ผ่านอายุพรรษาไม่ได้ผ่านยศชั้่น พระองค์ทรงพบปะหลวงปู่เทพ ซึ่งอายุพรรษามากกว่า พระองค์ก็ทรงคุกเข่าลงกราบ"

  • ตั้งอยู่ด้วยปัญญา

นอกจาก สมเด็จพระสังฆราชจะทรงเป็นพระเถระผู้ใหญ่ที่มีพระจริยวัตรอันงดงามน่าเลื่อมใสและน่านับถือเป็นแบบอย่างแล้ว ในเรื่องของพระกรณียกิจของพระองค์ก็สร้างความศรัทธาและยังประโยชน์ให้แก่เหล่าครูบาอาจารย์และพุทธศาสนิกชนชาวไทยอย่างถ้วนทั่ว

นพ.บัญชา พงษ์พานิช หนึ่งในพุทธศาสนิกชนผู้มีส่วนในการก่อตั้งสวนโมกข์กรุงเทพฯ เล่าว่า สมเด็จพระสังฆราช ทรงเป็นพระต้นแบบที่สร้างคุณงามความดีแก่สังคมไทยนานัปการ ดูได้ตั้งแต่พระสมณสมัญญาของพระองค์ที่ชื่อว่า 'ญาณสังวร' นั้น เป็นพระสมณสมัญญาที่คัดสรรเป็นกรณีพิเศษ พระองค์ทรงเป็นหนึ่งในพระสงฆ์เพียงสองรูปในสมัยรัตนโกสินทร์ที่ได้รับสมณสมัญญานามนี้

"พระองค์ปฏิเสธการรับสมณฐานันดรเป็นสมเด็จพระราชาคณะ แต่ถูกคะยั้นคะยอและวิงวอนโดยทุกฝ่าย เพราะพระองค์ทรงมีคุณอันงดงามสมกับคำว่า ญาณสังวร ซึ่งหมายถึงผู้ที่มีความสำรวมและวางอยู่ด้วยปัญญา เท่าที่ศึกษากันมาพระองค์เป็นพระที่หมดจดงดงาม ทั้งในเรื่องของความรู้ทางธรรมในเชิงปริยัติ และทางศึกษาวิปัสสนาและปฏิบัติ"

นพ.บัญชาบอกอีกว่า เนื่้องด้วยทรงเป็นสมเด็จพระราชาคณะ พระองค์จึงทรงงานสำคัญหลายอย่าง แต่ที่น่าสนใจและเป็นคุณูปการกับชาวไทยอย่างมาก เห็นจะได้แก่

1. พระกรณียกิจด้านการสอนธรรมะ พระองค์ทรงเป็นหนึ่งในครูวิปัสสนาจารย์ของประเทศไทยมาตั้งแต่ พ.ศ.2510 โดยสอนอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร ไม่ได้สอนเฉพาะคนไทย แต่สอนพระฝรั่งที่อยู่ในเมืองไทยด้วย พระฝรั่งที่บวชอยู่ที่เมืองไทยส่วนมากก็ได้เริ่มเรียนรู้พุทธศาสนากับพระองค์ท่านที่วัดบวรฯ

นอกจากนี้พระองค์ท่านยังมุ่งมั่นเสริมต่อในทางวิปัสสนาธุระของพระองค์ ที่้เป็นหัวใจที่พระพุทธเจ้าทรงชี้แนะไว้ พระองค์จะถือโอกาสออกธุดงค์อยู่เนืองๆ เพื่อไปปฏิบัติธรรม และถือโอกาสไปสนทนาแลกเปลี่ยนทางธรรมกับครูบาอาจารย์ท่านอื่นๆ เช่น พระอาจารย์เทสก์ พระอาจารย์ปั้น พระอาจารย์ชา พระอาจารย์พุทธทาส พระอาจารย์มหาบัว

2. พระกรณียกิจด้านการเผยแผ่ธรรมะ นอกจากจะสอนธรรมะได้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษแล้ว พระองค์ยังทรงเห็นความสำคัญของการเผยแผ่ศาสนาไปทั่วโลก พระองค์ท่านเป็นผู้ดำริให้มีการอบรมพระธรรมทูตขึ้นในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2509 แล้วก็ร่วมมือกันกับครูบาอาจารย์หลายรูปทำการอบรมพระธรรมทูตรุ่น 1 ขึ้นจนสำเร็จ เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปช่วยคนทั้งโลก จะเห็นว่าพระองค์ท่านทรงมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล และเมื่อปีที่แล้วในที่ประชุมของชาวพุทธโลก ก็มีข้อตกลงเป็นเอกฉันท์ว่า สมเด็จพระสังฆราชของเราถือเป็นพี่ใหญ่ของชาวพุทธทั้งมวลในโลกนี้

3. พระกรณียกิจด้านงานเขียนและสื่อสาร พระองค์ทรงงานเขียนหนังสือขึ้นหลายเล่ม เพื่อสอนและเผยแผ่พระธรรมอย่างต่อเนื่อง แต่ละเรื่องล้วนแต่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา เช่น หนังสือที่ว่าด้วยวิธีสร้างบุญบารมี, หนังสือธรรมะชื่อ 'สัมมาทิฏฐิ' และ บทละครวิทยุชื่อ 'จิตนคร'

"อย่างหนังสือสัมมาทิฏฐิ เล่มนี้เกิดจากการที่พระองค์ทรงแสดงธรรมที่วัดบวรฯ แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอให้ทุกครั้งที่สมเด็จพระญาณสังวรแสดงธรรม ต้องมีการบันทึกเสียงแล้วส่งไปถวายพระองค์ในพระราชวัง (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นศิษย์ของสมเด็จพระญาณสังวร ตอนที่ทรงพระผนวช สมเด็จพระญาณสังวรทรงเป็นพระอภิบาล) และมีธรรมะชุดหนึ่งที่สมเด็จพระญาณสังวร ทรงแสดงแล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นคุณค่าและประโยชน์อย่างยิ่ง ทรงขอพระอนุญาตถอดเทปและทรงแก้ไขแล้วก็พิมพ์ขึ้น เป็นที่รู้กันในแวดวงลูกศิษย์วัดบวรฯว่า หนังสือเล่มนี้เป็นการแสดงธรรมของสมเด็จพระญาณสังวร และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเรียบเรียง"

ส่วนงานบทละครที่พระองค์นิพนธ์ขึ้นนั้นก็เช่นกัน เป็นงานที่พระองค์ทรงเห็นว่า จะยังประโยชน์ไปสู่พุทธศาสนิกชนทุกหมู่เหล่า เนื่องจากสมัยนั้นคนไทยนิยมฟังละครวิทยุ ปรากฏว่า เจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านก็ทรงนิพนธ์บทละครวิทยุขึ้นมาพร้อมเรียบเรียงออกมาเป็นตอนๆ แล้วทรงอ่านออกอากาศเป็นละครวิทยุด้วยพระองค์เอง ทางสถานีวิทยุ อ.ส. พระราชวังสวนดุสิต ในบทมีพระเอก นางเอก ผู้ร้าย ครบครัน เนื้อเรื่องสนุกสนานแต่แฝงไปด้วยคติคำสอนทางธรรมอยู่เต็มเปี่ยม จะเห็นว่าพระองค์ทรงพยายามที่จะเอื้อเฟื้อให้คนไทยทุกคนได้เข้าถึงหัวใจของพระพุทธศาสนาได้อย่างง่ายๆ

"ผมว่าหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์หมดจดอยู่แล้ว พระธรรมไม่ได้เสื่อมลง ศาสนาก็หาได้เสื่อมไม่ แต่พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงฝากไว้ว่าเป็นหน้าที่ของพวกเราพุทธบริษัททั้งสี่ที่จะดำรงไว้ เจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราชท่านได้ทรงสำแดงให้เห็นซึ่งปฏิปทา ท่านเป็นคนที่ปฏิบัติพระธรรมวินัยอย่างถึงยิ่ง ไม่มีด่างพร้อย ถือเป็นแบบอย่างที่ดี พระองค์ท่านแม้จะมีสมณฐานันดรสูงส่งแต่พระองค์ทรงเคร่งครัดเรื่องวินัยได้อย่างหมดจดงดงาม"

  • เป็นพระต้องจน

สิ่งหนึ่งที่พุทธศาสนิกชนได้รับรู้อยู่เสมอเกี่ยวกับ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ก็คือ พระจริยวัตรอันงดงามและเรียบง่าย

"พระองค์ทรงดำรงตนเป็นพระที่ครบถ้วนสมบูรณ์" สุเชาวน์ พลอยชุม เจ้าของโครงการพระไตรปิฎกศึกษาสำหรับประชาชน สะท้อนพระจริยวัตรอีกมุมหนึ่งของสมเด็จพระสังฆราช ก่อนจะอธิบายเพิ่มเติมถึงความเป็นคนพูดน้อย สำรวม หรือที่ภาษาพระเรียกว่า ทรงเคร่งครัดในพระวินัยอยู่ตลอดเวลา

"ที่ประทับของพระองค์ก็ทรงเรียบง่าย แม้จะมีคนมาจัดมาทำให้หรูหรางดงาม พระองค์ก็มักจะอธิบายให้ทราบและเข้าใจว่า เป็นพระต้องกินอยู่แบบเรียบง่าย ไม่หรูหรา ไม่ฟุ่มเฟือย และถ้าจะพูดถึงลักษณะความเป็นพระอย่างแท้จริง พระองค์รับสั่งและทรงแนะนำให้กับคนทั่วไป หรือแม้กระทั่งลูกศิษย์ของท่านอยู่เสมอว่า 'เป็นพระต้องจน' เพราะว่าพระ ไม่มีอาชีพ ไม่มีรายได้ เพราะฉะนั้น พระจะมาหรูหราฟุ่มเฟือย มันไม่เหมาะนี่คือความเป็นอยู่"

พระจริยวัตร หรือการปฏิบัติพระองค์ ก็ทรงเรียบร้อย และสำรวมอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ของใช้สอยส่วนพระองค์ พระองค์ทรงใช้เท่าที่จำเป็น ไม่นิยมใช้ของใหม่ ของสวยงาม

"แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทรงชอบเก็บสะสม ตระหนี่ถี่เหนียวนะ" เขาบอก เพราะสิ่งของนั้นก็จะถูกบริจาค และแจกจ่ายให้กับผู้อื่นตามความเหมาะสมอยู่เสมอ

สำหรับ มรดกธรรมของสมเด็จพระสังฆราชในมุมมองเจ้าของโครงการพระไตรปิฎกศึกษาสำหรับประชาชน สามารถแยกออกได้หลายรูปแบบ อาทิ บทเทศน์ บทบรรยาย หนังสือหรือพระนิพนธ์ ตั้งแต่หลักปฏิบัติขั้นสูงที่ใช้สำหรับภิกษุสามเณร ไปจนถึงธรรมะสำหรับบุคคลทั่วไป

"สิ่งเหล่านี้ถือเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง และต่อไปในอนาคตก็จะยิ่งเป็นสิ่งที่มีคุณค่า เป็นสิ่งที่หายาก เพราะผู้ที่จะเข้าใจคำสอนของพุทธศาสนาทั้่งในแง่ปริยัติ หรือแง่ปฏิบัติ นับวันจะยิ่งหายาก แต่พระองค์ทรงพร้อมทั้งความรู้ในเชิงปริยัติ เพราะพระองค์ทรงสำเร็จการศึกษาขั้นสูงก็คือ เปรียญธรรม 9 ประโยค ขณะเดียวกันพระองค์ทรงใส่ใจในการปฏิบัติธรรม หรือที่เรียกกันว่า การเจริญภาวนา และสิ่งเหล่านี้ก็จะออกมาในรูปของคำสอน คำบรรยาย หรือการเผยแผ่ธรรมะของพระองค์ท่าน"

อีกส่วนหนึ่ง ก็คือ ประทานโอวาทในโอกาสต่างๆ ที่เหมาะสมกับกลุ่มคนในสถานที่นั้นๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถูกบันทึกไว้เป็นหนังสือ สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสืบค้นได้

สิ่งที่ทำให้สมเด็จพระสังฆราชต่างออกไปในความรู้สึกของ สุเชาวน์ ก็คือ วิธีการสอนที่นอกจากจะเข้าใจง่าย เป็นเหตุเป็นผล อันเป็นลักษณะพิเศษของพุทธศาสนา อีกทั้งยังทรงปฏิบัติให้ดูเป็นตัวอย่างด้วย

"ตรงนี้ถือเป็นสิ่งที่ประทับใจผู้ที่ได้รู้จัก ได้เห็นความละเอียดของพระจริยวัตร เหมือนเป็นคำสอนที่ไม่ต้องพูดให้ฟัง แต่ทำให้ดูเลย ความเรียบร้อย นี่เรียบร้อยยังไง เรียบร้อยแล้วมันดียังไง ความเป็นระเบียบ ความระมัดระวัง ความมีสติ ความเคารพ ความรู้จักสัมมาคารวะ ความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ สิ่งเหล่านี้เป็นคุณธรรมที่ไม่ต้องพูดให้ฟัง แต่ทรงทำให้เราเห็น แล้วเราก็สามารถซาบซึ้งเข้าใจได้ดียิ่งกว่า ฟังคำพูดของพระองค์ท่าน" เขายืนยัน

  • ชีวิตนี้น้อยนัก แต่สำคัญนัก

"ไม่ได้มองในแง่ที่พระองค์เป็นประมุขสงฆ์ มองในแง่ของการเป็นพุทธสาวกองค์หนึ่ง ท่านมีพระจริยวัตรที่งดงามมาก" นั่นเป็นความรู้สึกของ ปาน - ธนพร แวกประยูร ที่สัมผัสได้เมื่อถูกถามถึงสมเด็จพระสังฆราช

ตลอดระยะเวลาที่นักร้องสาวได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยงานพุทธศาสนา ตั้งแต่การเริ่มเป็นจิตอาสาทำ ปทุมมามหาสิกขาลัย ของวัดปทุมวนาราม ทำงานผูกพันมาจนถึงเพลง "สังฆบูชา" และหนังสือธรรมะเพื่อเผยแผ่เป็นธรรมทาน พระจริยวัตรอันงดงามที่ปรากฏอย่างชัดเจนสำหรับตัวเธอก็คือ "ความเพียร"

"จากเด็กคนหนึ่ง บวชเพราะแก้บนแท้ๆ แต่ใครจะนึกว่า เป็นความเพียร ความพยายามส่วนพระองค์ ความที่พระองค์เป็นนักเรียนรู้ที่ท่านเรียนแบบไม่รู้จบ และเรียนด้วยพระองค์เอง แล้วพระองค์เองก็เป็นคนที่ใช้เวลาได้คุ้มค่ามากๆ ท่านไม่เคยทรงปล่อยเวลาให้ว่างเปล่า ไม่เคยปล่อยลมหายใจไปวันๆ คือ ท่านจะใช้ในการเรียนรู้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาษา สิ่งใดที่พระองค์ทรงสงสัยก็จะมีครู เป็นตำรา เป็นตัวอย่างที่งามมาก และเราสามารถเดินตามได้แบบหมดใจร้อยเปอร์เซ็นต์เลย" ปานยืนยัน

สำหรับสิ่งที่เธอได้เรียนรู้จากการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระสังฆราชนั้น ก็คือ สัจธรรม และกฎธรรมชาติที่ไม่มีใครฝืนได้

"แต่ว่าในสิ่งหนึ่งที่คนเราไม่สามารถทำได้เหมือนกัน ก็คือ คุณงามความดี พระองค์ได้ทำเอาไว้ชนิดที่เรียกว่า เราสอนลูกสอนหลานได้ไม่รู้อีกกี่รุ่นที่เราจะสามารถเอาพระองค์เป็นตัวอย่าง นอกจากเรื่องนี้ เราก็จะเห็นคำสอนต่างๆ ที่พระองค์ทิ้งเอาไว้มากมาย หากเราได้ศึกษาพระประวัติของพระองค์จริงๆ เราจะรู้เลยว่าพระองค์เป็นคนที่เก่งมากๆ คนหนึ่ง ไม่ได้เก่งเพราะโชคช่วย แต่เก่งเพราะเป็นความเพียรส่วนพระองค์จริงๆ สำหรับตัวเรา ท่านคือพระมหาชนกองค์หนึ่ง ซึ่งมีความเพียรพยายามแหวกว่ายในวัฏฏะ ไม่ว่าการเรียนรู้ทางโลก หรือทางธรรม พระองค์ทรงฝ่ามาทั้ง 2 ด้าน"

แน่นอนว่า รอยธรรมที่เปรียบเสมือนเมล็ดธรรมเอาไว้สำหรับเพาะบ่มคุณงามความดีให้เกิดกับคนรุ่นหลัง นอกจากตำราต่างๆ ที่จับต้องได้แล้ว เครื่องเตือนใจสำคัญ ซึ่งปานยอมรับว่า สามารถนำมาเตือนใจได้ตลอดเวลาก็คือ หลักธรรมคำสอนที่พระองค์เคยตรัสไว้ว่า "ชีวิตนี้น้อยนัก แต่สำคัญนัก"

"มันลึกมาก ถ้าคนไม่ใส่ใจก็ไม่เข้าใจว่าพระองค์ทรงหมายถึงอะไร ซึ่งถ้าเรามองกันจริงๆ เราจะเห็นเลยว่านี่เป็นคำสอนที่ลึก แล้วก็เป็นคำสอนที่สั้น ไม่ยืดเยื้อ แต่ให้ใจความมาก ก็คือ คนเรามีเวลาไม่มากหรอกค่ะในการที่จะอยู่บนโลกใบนี้ แต่ถ้าเราจะปล่อยเวลาที่มีน้อยอยู่แล้วให้เปล่าประโยชน์ไป มันจะไม่มีความสำคัญอะไรเลย เราจะทิ้งมันไปวันๆ ดังนั้น ถ้าจะบอกว่าชีวิตเรามีเวลาน้อย แต่มันสำคัญมาก เพราะมันจะทำให้เราพัฒนาความเป็นคนในแต่ละภพชาติไปได้อย่างไร พัฒนาภูมิจิตภูมิธรรมให้ เดินขึ้นในแต่ละขั้นได้อย่างไร ตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก" เธอ อธิบาย

  • ผู้มีศีล คือ ผู้มีเมตตา

บ่อยครั้งที่หลักธรรมกับคนรุ่นใหม่สามารถเดินร่วมทางกันไปได้อย่างแนบสนิทเป็นเนื้อเดียวกัน เหมือนอย่าง แนน - สุณิสา ปัญจมวัฒน์ ที่ยอมรับว่าการได้มีโอกาสเข้ามา "ถวายงาน" ผ่านโครงการจัดรายการวิทยุของทางสำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราชนั้นถือเป็นจุดเปลี่ยนทาง "โลกธรรม" ของตัวเองอย่างแท้จริง

"เราได้อ่านพระนิพนธ์ เรื่อง "ชีวิตนี้น้อยนัก" แล้วรู้สึกว่า สมเด็จพระสังฆราชทรงอธิบายเรื่องที่ดูเหมือนจะยากในชีวิตให้เราซึ่งไม่ได้มีพื้นฐานทางธรรมะมากๆ เข้าใจได้ แล้วก็แก้ปัญหาบางอย่างที่เราร้อนใจ ทุกข์ใจ ให้เบาสบายขึ้น นั่นคือ สิ่งที่ทำให้เราเข้าใจว่าธรรมะมีเพื่อให้ใช้ชีวิตในแต่ละวันอยู่อย่างมีความสุข และทำความดี หลังจากนั้นจึงปวารณาตัวช่วยเหลืองานในสำนักฯ เรื่อยมา"

แนน แบ่งปันประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้มา สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนก็คือ "ไม่เห็นทุกข์ ไม่เห็นธรรม" เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในทุกช่วงชีวิต ซึ่งอาจปรากฏในรูปแบบที่แตกต่างกันไป และเมื่อความทุกข์เป็นสากล ธรรมอันเป็นที่พึงทางใจที่เห็นก็เป็นสากลเหมือนกัน

เช่นเดียวกันกับการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระสังฆราช เธอรู้สึกว่า นี่คือ "ไตรลักษณ์" ที่แท้ และทำให้เห็นถึงความไม่แน่นอน ซึ่งแม้จะมีอาการ "ใจหาย" รบกวนอยู่ แต่ขณะเดียวกันก็ยังมี "มรดกธรรม" เป็นเครื่องปลอบประโลม ก็คือ

"เมตตากับศีลเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเสมอ ยากจะแยกจากกันได้ ผู้มีศีลก็คือผู้มีเมตตา ผู้มีเมตตาย่อมเป็นผู้มีศีล"

"คือมันเป็นเรื่องง่ายๆ การรักษาศีล 5 เป็นเรื่องที่เราสามารถทำได้เองทุกคน หากเรามีเมตตา เราก็จะทุกข์น้อยลง เป็นธรรมะที่คนรุ่นใหม่เข้าใจได้ง่าย ตอนที่ใจเราไม่อยากมี ไม่อยากได้ ใจเราอยากจะให้อภัย ให้ความโกรธเราสลายลง เพราะเราอยากที่จะยอมก่อน นั่นคือเราได้เติมหลักธรรมให้หัวใจเราแล้ว หากมีปัญหาอะไรต่างๆ ในชีวิต ถ้าเราฉุกคิดคำนี้ขึ้นมา ศีลคือการไม่ละเมิด ไม่ล่วงข้ามของความเป็นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ชีวิต สิ่งของ วาจา หรือทิฐิของตัวเอง พอเราไม่ละเมิดแล้ว เรายังให้ด้วย ตัวเองก็จะมีความสุข"

ไม่ต่างกับคนรุ่นใหม่วันนี้ที่'แนน'มองว่า การเข้าวัดทำบุญ อาจเป็นวัฒนธรรมประเพณีที่อาจเข้าถึงได้ยาก แต่สิ่งที่สามารถทำได้ง่าย และทำได้เลยก็คือ การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ เพียงเท่านี้ ก็เท่ากับได้ทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า และสมเด็จพระสังฆราชด้วย

"ถึงแม้ท่านจะอยู่หรือไม่อยู่ ท่านก็ได้ฝากคำสอนไว้แล้ว ฝากสิ่งที่จะต้องทำต่อไว้แล้ว เพราะฉะนั้นใจเราจะต้องบันดาลใจตัวเองต่อไป คือ เราถวายงานให้พระองค์ต่อเนื่องไปได้ เป็นการเทิดพระเกียรติให้พระองค์ โดยที่เรื่องของสังขารก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ก็จะเข้าใจมากขึ้น"

จนที่สุดแล้ว พระธรรมคำสอนก็จะยังคงได้รับการสืบทอดต่อไป

กำหนดการสรงน้ำพระศพ

ในเบื้องต้นจะมีพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรม 7 คืน โดยทางวัดได้จัดเตรียมสถานที่ไว้รองรับ และอำนวยความสะดวกแก่พุทธศาสนิกชนที่จะไปถวายน้ำสรงพระศพ และฟังสวดพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมด้วย

สำหรับประชาชนที่เดินทางมาร่วมสรงน้ำพระศพสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก สามารถมาที่อาคารมนุษยนาควิทยาทาน ภายในวัดบวรนิเวศวิหาร โดยทางวัดได้จัดให้ประชาชนสามารถร่วมพิธีถวายน้ำสรงพระศพต่อหน้าพระรูปได้ตั้งแต่เวลา 13.00 น. ของวันที่ 25 ต.ค. 2556 เป็นต้นไป ทั้งนี้รัฐบาลออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีแจ้งให้ข้าราชการทั่วประเทศแต่งชุดไว้ทุกข์ ถวายความอาลัยเป็นเวลา 15 วัน ส่วนสถานที่ราชการลดธงครึ่งเสาเป็นเวลา 3 วัน