"ออกซิเจน" ของ Gen M

"ออกซิเจน" ของ Gen M

ใครๆ ก็ว่า Gen M มี "ตัวเอง" เป็นศูนย์กลาง แต่ไม่ใช่ทุกคน เพราะ Gen M บางคนก็ยังมี "หัวใจ" ที่คิดและทำเพื่อ "คนอื่น" ได้เหมือนกัน

โลกร้อน...เป็นคำที่ทุกคนบ่นกันจนเบื่อ แต่ถ้าไม่ออกแรงทำอะไรเลย โลกนี้จะเย็นขึ้นได้อย่างไร


แน่นอนว่า "คนรุ่นใหม่" หรือ Gen M (Millennium Generetion) มักถูกจับตามองเป็นพิเศษในฐานะกำลังสำคัญของทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ดังนั้น นอกจากมองเห็นแค่ "ตัวเอง" (ตามหลักพฤติกรรมศาสตร์ว่า Gen M = Gen Me) แล้ว พวกเขาจำเป็นต้องคิดถึง "คนอื่น" อันหมายถึง การเป็น Generetion for All ด้วย


แม้จะถูกมองว่า เป็นคนสายพันธุ์ใหม่ที่ "คิด" และ "ทำ" อะไรเพื่อตัวเองทั้งหมด แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็มีโครงการดีๆ ไอเดียสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นผลงานของเยาวชนคนรุ่นใหม่เกิดขึ้นมากมายเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม นั่นก็เป็นเครื่องยืนยันว่า "วัยรุ่น" ไม่ได้ละเลย "สังคม" เสียทีเดียว


อย่างไรก็ดี ในบรรดาความคิดสร้างสรรค์ที่มนุษย์วัย Gen M ช่วยกันคิดขึ้นมา ส่วนมากมักมีปลายทางอยู่ที่การลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ แต่ในชั้นบรรยากาศยังมี "ออกซิเจน" (O2) เป็นส่วนประกอบหลัก และก็มีความสำคัญกับสิ่งมีชีวิตทุกชีวิต ถ้าจะมี "สิ่งประดิษฐ์" หรือความคิดใดๆ ช่วยเพิ่มปริมาณก๊าซออกซิเจนในชั้นบรรยากาศได้ ก็คงดีไม่น้อย

ไม้ประดับ "ซับพิษ"


"จากข้อมูลปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่า ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศเพิ่มสูงขึ้นมาก เมื่อ 20 ปีที่แล้วมีเพียง 310 ppm (Parts Per Million) แต่ตอนนี้เพิ่มขึ้นเป็น 390 ppm มันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และก็มีแนวโน้มจะเพิ่มต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งการที่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มสูงขึ้นก็มาจากการที่ประชากรเยอะขึ้น รถยนต์เยอะขึ้น โรงงานอุตสาหกรรมเยอะขึ้น การที่เราจะลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้เราต้องปลูกต้นไม้ แหล่งรวมต้นไม้คือป่า แต่ในขณะที่คาร์บอนไดออกไซค์กำลังเพิ่มขึ้น ป่ากลับลดลง ถามว่าเราไปหยุดการสร้างโรงงานอุตสาหกรรมได้มั้ย ก็เป็นเรื่องยาก ดังนั้นเราก็มามองว่า ปลูกต้นไม้แทนแล้วกันถ้าเราไปหยุดตรงนั้นไม่ได้"


น้ำตาล-วรรณิดา แซ่ตั้ง นักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เริ่มต้นเล่าถึง การ "เพิ่มออกซิเจน" ให้ชั้นบรรยากาศในแบบของเธอ ภายใต้ชื่อ "โครงการประสิทธิภาพการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของพืชสกุลฟิโลเดนดรอนพันธุ์การค้า"


"ที่เจาะจงเรื่องของการนำต้นไม้มาปลูกในอาคารก็เพราะว่าคนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่ในอาคารเยอะขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียม ออฟฟิศ แต่ว่าในอาคารก็จะมีข้อจำกัดหลายๆ อย่าง ทั้งเรื่องแสงน้อย อากาศไม่หมุนเวียน และคาร์บอนไดออกไซค์ก็สูงด้วย เพราะว่าคนอยู่ในอาคารก็จะปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาเยอะ เราก็เลยมาศึกษาเกี่ยวกับต้นไม้ที่ปลูกในอาคาร โดยเจาะไปที่กลุ่มฟิโลเดนดรอน(Philodendron) ซึ่งตอนนี้กำลังได้รับความนิยม เป็นพืชส่งออกที่สำคัญของไทยอีกตัวหนึ่ง ถ้าเราลองสังเกตดูดีๆ ในแจกันจะมีฟิโลฯผสมอยู่เยอะ"


คุณสมบัติพิเศษของไม้ประดับสกุลฟิโลเดนดรอน คือเป็นพืชชอบร่ม สามารถสังเคราะห์แสงได้ดีในความเข้มแสงต่ำ และสามารถสังเคราะห์แสงได้ดีในสภาพที่มีความเข้มของคาร์บอนไดออกไซด์สูง ดังนั้นจึงเหมาะกับอาคาร สำนักงาน หรือห้องชุด


"อัตราการสังเคราะห์แสงจะบอกได้ว่า พืชตัวนี้ดูดคาร์บอนไดออกไซค์เข้าไปเท่าไร และปล่อยออกซิเจนออกมาเท่าไร หนูเลือกพืชกลุ่มฟิโลเดนดรอนที่คนนิยมมา 10 สายพันธุ์ เพื่อวัดค่าอัตราการสังเคราะห์แสง ซึ่งก็พบว่า พืชกลุ่มฟิโลเดนดรอนสังเคราะห์แสงได้ดีในความเข้มแสงต่ำๆ เช่นในอาคารจะมีค่า LCP(Light Compensation Point) อยู่ที่ประมาณ 25 ไมโครโมลต่อวินาทีเท่านั้นเอง ซึ่งเราได้ทำการศึกษาแล้วพบว่า ในความเข้มแสงเท่านี้ พืชกลุ่มฟิโลฯ สามารถทำการสังเคราะห์แสงได้ เราก็ลองศึกษาต่อไปว่า ถ้าเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปอีกเยอะๆ พืชจะเป็นอย่างไร ก็พบว่า ยิ่งเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปพืชก็ยังคงสังเคราะห์แสงได้ดีมากขึ้น ก็หมายความว่า ฟิโลฯ สามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้เยอะด้วย


คนสมัยนี้เป็นโรค sick building sindrome หรือว่าโรคแพ้ตึก อาจจะคิดว่าแค่ปวดหัว เวียนศีรษะ แต่จริงๆ เขาเป็นโรคนี้อยู่ คือการที่อยู่ในตึกนานๆ มีอุปกรณ์อิเลคทรอนิก หรือว่าเฟอร์นิเจอร์น็อคดาวน์ บิวท์อิน พวกนี้จะมีกาวที่ปล่อยสารฟอร์มาลดีไฮด์(formaldehyde) มาเยอะ หรือโลหะบางอย่างที่ระเหยออกมาเป็นไอ ซึ่งพืชบางอย่างสามารถดูดซับสารพิษพวกนี้ได้ รวมถึงฟิโลฯ นอกจากนี้ยังสวยงาม ช่วยลบเหลี่ยมลบมุมตึกได้ด้วย"


สำหรับพืชสกุลฟิโลเดนดรอนที่น้ำตาลทำการศึกษา และยืนยันว่าเป็นมิตรต่อพนักงานออฟฟิศและคนที่ใช้ชีวิตในเมืองทุกคน นั่นก็คือ ฟิโลหูช้าง, มูนไลท์, ซันไลท์ ฟิโลฯ ใบมะละกอ, ฟิโลฯ ใบองุ่น, พิณเขียว, ซานาดู, โกลดิอี้, เพ้นท์เลดี้ และฟิโลฯ ทองคำ

แนวคิด "สวนกินได้"


ในต่างประเทศมีคนคิดไอเดียปลูกต้นไม้แนวตั้งกันมาก เมืองไทยเองก็รับรูปแบบนั้นมาพอสมควร โดยเฉพาะนักจัดสวน สถาปนิก และนักปรับปรุงภูมิทัศน์ทั้งหลาย ซึ่งประยุกต์กันไปตามสไตล์ของแต่ละคน แต่อย่าลืมว่าเมืองไทยเป็นเมืองร้อน และมีพืชสมุนไพร รวมถึงพืชผักสวนครัวอยู่มากมาย ดังนั้น จะมีคนนำพืชผักเหล่านั้นมาปรับใช้เป็นสวนแนวตั้งบ้างก็เป็นไอเดียที่น่าสนใจไม่น้อย


"สวนครัวแนวตั้งเพื่อคนเมือง" เป็นโครงการที่นักศึกษาสาวจากคณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร อย่าง ฉัน-อธิจิต วาจาสุวิมล คิดขึ้นเพื่อเข้าร่วมโครงการทูตไบเออร์เพื่อสิ่งแวดล้อม ประจำปี 2556


"มันเริ่มจากฉันเป็นเด็กในเมืองมาตั้งแต่เกิด เลยจะมีความทรงจำเล็กๆ ว่าตอนเด็กๆ มีต้นไม้อยู่บ้าง จนวันหนึ่งมีความเจริญผ่านเข้ามา ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ว่าต้นไม้ที่เคยอยู่เมื่อก่อนมันถูกแทนที่ด้วยตึกสูง อาคาร และจากผลวิจัยโครงการอนามัยโลกเขาบอกว่า พื้นที่สีเขียวเฉลี่ยในเมืองต้องมากกว่า 9 ตารางเมตรต่อคน แต่ว่าประเทศไทยมีแค่ 3 ตารางเมตรต่อคน ขณะที่พม่าหรือประเทศเพื่อนบ้านมีมากกว่าและเกินเกณฑ์ไป มันเป็นเรื่องใหญ่นะ แต่ทำไมทุกคนคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา และก็ใช้ชีวิตอยู่บนตึกสูงต่อไป ฉันเลยคิดว่า ในเมื่อเราไม่สามารถแทนที่ตึกสูงเหล่านั้นด้วยต้นไม้ใหญ่ๆ ก็เลยหาแนวร่วมระหว่างความเจริญกับความยั่งยืน นั่นเป็นแนวคิดเรื่องสวนแนวตั้งบนอาคาร หรือที่รู้จักในวงการออกแบบว่า Green Wall หรือ Vertical Garden"


แม้สวนแนวตั้งจะไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับทุกคน แต่การนำวัสดุเหลือใช้และผักสวนครัวมาเป็นวัตถุดิบหลักในการสร้างสวนแนวตั้งก็ดูเข้ากันกับปฏิบัติการลดโลกร้อนได้เป็นอย่างดี


"ฉันอยากให้โครงการนี้ใช้ทรัพยกรน้อยที่สุด ก็เอาอะไรที่เราคิดว่าเป็นขยะที่ยังใช้ได้เอากลับมาใใช้ เช่น ขวดพลาสติก หรือกล่องบางอย่างก็เอามาเป็นกระถางต้นไม้ได้ ส่วนพืชก็เป็นพืชผักสวนครัว เพราะนอกจากจะกันความร้อนในอาคารได้แล้ว ยังสามารถรับประทานได้ด้วย"


ไม่พูดเปล่า แต่ฉันยังได้ใช้วิชาที่ร่ำเรียนมาออกแบบเป็นสวนครัวขนาดน่ารัก โดยเริ่มจากสเก็ตช์ภาพ และลงมือทำ แต่ที่เด็ดกว่านั้นคือฉันใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีได้อย่างคุ้มค่า สมกับเป็น Gen M ตัวจริง


"ตอนนี้เปิดเฟซบุค ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คเพื่อถ่ายทอดความรู้ คนที่สนใจสามารถตามไปอ่านรายละเอียดได้ที่ "สวนครัวแนวตั้งเพื่อคนเมือง Vertical Garden For City" ในเฟซบุคเราจะถ่ายภาพที่ทำจากที่บ้าน ซึ่งตอนนี้พัฒนาแล้ว และก็เริ่มทำแพ็คเกจ ทำไอเดียใหม่ๆ ให้คนสนใจ มีคนเข้ามาบอกว่า จะทำตามนะ แค่นี้ก็เป็นกำลังใจแล้ว หรือคนถามว่า ทำยังไง เห็นแพ็คเกจแล้วอยากได้ ฉันก็จะต้องพัฒนาต่อไป ส่วนตอนนี้ก็มีโครงการต่อยอดคือเพื่อนๆ ที่สนใจจะมาถามว่า เราทำอะไร เขาก็เอาไปต่อยอด เอาของที่เหลือใช้ไปทำสนามเด็กเล่นให้เด็กบนดอยบ้าง"


สวนครัวแนวตั้งของฉัน ไม่เพียงแค่สวยงาม เพราะมีการออกแบบที่ โดยมี "ของเหลือใช้" เป็นวัสดุหลัก แต่ผักที่ปลูกขึ้นยังสามารถรับประทานได้ ที่สำคัญ พืชสีเขียวๆ เหล่านั้นมันช่วยทำให้โลกสดใส และมนุษย์ก็มีอากาศบริสุทธิ์เพิ่มขึ้น

ตัวเร่งคาย "ออกซิเจน"


สำหรับ แยม-สุดารัตน์ ชมรุ่ง นักศึกษาปริญญาโท คณะสิ่งแวดล้อม สาขาเทคโนโลยีและการจัดการสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตร ก็เป็น Gen M ที่เป็นนักอนุรักษ์ตัวยง นอกจากจะสนใจสิ่งแวดล้อมรอบกายมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา แยมยังอุทิศตัวเองให้กับกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมมาตลอดด้วย


"ตอนนี้สิ่งแวดล้อมกำลังบูม ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ดี แต่บางทีเป็นความสนใจแค่เปลือก อย่างหลายๆ บริษัททำกิจกรรม CSR ด้านสิ่งแวดล้อม พากันไปปลูกป่า ถ่ายรูปเสร็จก็ไป คุณปลูกมันด้วย 2 มือของคุณ แต่พอคุณหันหลังให้มันก็จบ แค่นั้น คุณไม่เคยจะไปติดตามดูแลเลยว่าสิ่งที่คุณปลูกมันไปมันจะมีชีวิตรอดมั้ย มันจะโตมั้ย มันจะมีคนใส่ใจดูแลหรือเปล่า ที่ผ่านมาเราเห็นแบบนี้มาตลอด เพราะฉะนั้น เราที่เป็นคนตัวเล็กๆ ถ้าลงมือทำอะไรเพื่อเป็นประโยชน์ได้ มันก็น่าจะช่วยต่ออายุให้โลกใบนี้ได้ขึ้นไปอีก"


แยม เป็นนักศึกษาที่เกาะติดกระแสโลกร้อน โดยก่อนหน้านี้เธอทำ "โครงการเพิ่มปริมาณก๊าซออกซิเจนสู่สิ่งแวดล้อมโดยการชักนำการเจริญเติบโตไม้ชายเลนด้วยเชื้อราปฏิปักษ์ในรูปอัดเม็ด" ในระหว่างที่ศึกษาอยู่คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ธัญบุรี(มรท.) และเพราะเรียนมาทางด้านชีววิทยา แยมจึงเลือกศึกษาจากสิ่งใกล้ตัว นั่นก็คือ เชื้อรา เธอเล่าว่า เชื้อราปฏิปักษ์ในรูปอัดเม็ดจะช่วยเพิ่มระบบรากและใบแก่พืชชายเลน ซึ่งจะส่งให้กระบวนการผลิตออกซิเจนดีขึ้น และลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นตัวทำลายภาวะเรือนกระจกด้วย


"เชื้อราปฏิปักษ์จะต่อต้านเชื้อราก่อโรคพืช คือมันจะเข้าไปแย่งอาหารของเชื้อราก่อโรคพืช ทำให้เชื้อราพวกนั้นตาย จากนั้นก็เข้าสู่กระบวนการทำงานของเชื้อราปฏิปักษ์ คือมันจะไปกินหรือละลายสารอาหารที่เป็นประโยชน์กับพืช เช่น NPK พืชก็ดูดซับสารอาหารได้ดี ขนาดลำต้นก็จะใหญ่ขึ้น รากแข็งแรง มีใบเพิ่มขึ้น ซึ่งเมื่อใบเพิ่ม กระบวนการสังเคราะห์แสงที่เกิดจากทางใบก็จะเพิ่มขึ้น กระบวนการนี้จะดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่าต้นไม้ปกติ สังเคราะห์แสงก่อน แล้วปล่อยออกซิเจนสู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งจากการส่งต้นโกงกางที่เราปลูกโดยใช้เชื้อราปฏิปักษ์ไปตรวจในห้องปฏิบัติการ พบว่า ต้นโกงกางใบใหญ่อายุประมาณ 5 ปี สามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ดีกว่าต้นโกงกางปกติถึง 60-70 เปอร์เซ็นต์"


ความคิดแบบเจาะลึกของแยมเป็นที่สนใจ จนได้รับรางวัลชนะเลิศจากโครงการ E-Idea Thailand เมื่อปี 2554 ซึ่งเธอบอกว่า เชื้อราปฏิปักษ์นี้สามารถใช้ได้กับต้นไม้ทุกชนิด


"ใช้ได้กับทุกๆ พืช แต่ที่มุ่งไปที่ป่าชายเลนเพราะนอกจากพื้นที่ป่าชายเลนจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวแล้ว ที่นั่นยังเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ เมื่อป่าชายเลนเพิ่ม สัตว์น้ำก็จะเยอะขึ้น แล้วชาวประมงก็จะจับปลาได้มากขึ้นด้วย คือเราคิดถึงสังคมโดยรวม เป็นระบบนิเวศภาพใหญ่ ไม่ใช่แค่การปลูกต้นไม้อย่างเดียว แต่ก็อย่างที่บอก สามารถใช้ได้กับพืชทุกชนิด ตอนนี้แยมก็ปลูกผักสวนครัวกินเอง ปลูกกระเพรา โหระพา ปลูกเห็ด แล้วแยมก็เอาเชื้อราปฏิปักษ์มาใช้ด้วย ซึ่งให้ผลผลิตดี อย่างคุณแม่ที่อยุธยาก็เอาใบใช้ ปลูกมาโหระพาใบงามมาก"


ใครจะว่า Gen M = Gen Me ที่คิดว่าโลกหมุนรอบตัวเองก็ว่ากันไป แต่ถ้าลองได้ฟังไอเดียดีๆ เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนของเด็กๆ Genn M กลุ่มนี้ คงมีใครได้เปลี่ยนความคิดกันบ้าง