'คิวชู'ความงามที่อยู่ในใจ

'คิวชู'ความงามที่อยู่ในใจ

คิวชู-คิวชูทะเลสีคราม โอบกอดคิวชูงดงาม

-1-

"คิวชู-คิวชู
ทะเลสีครามโอบกอด
คิวชูงดงาม"

..............................

แผ่นดินญี่ปุ่นที่อยู่ภายใต้การโอบกอดของทะเลสีครามนั้น เกาะคิวชู ถือเป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันสามของประเทศ บนเนื้อที่ 35,640 ตารางกิโลเมตร ได้แบ่งแยกเป็นจังหวัดต่างๆ คือ จังหวัดฟุกุโอะกะ จังหวัดคะโงะชิมะ จังหวัดคุมะโมะโตะ จังหวัดมิยะซะกิ จังหวัดนะงะซะกิ จังหวัดโออิตะ จังหวัดโอะกินะวะ และจังหวัดซะงะ

แต่ถ้ามองถึงศูนย์กลางที่สำคัญแล้ว จังหวัดฟุกุโอะกะ นอกจากจะเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดแล้ว ยังเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรม และเป็นเมืองศูนย์กลางการบินสำหรับการเดินทางสู่จังหวัดต่างๆ ที่อยู่ใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะการท่องเที่ยวของเกาะคิวชู สนามบินฟุกุโอกะนับเป็นประตูบานใหญ่สำหรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ที่ต้องการจะเข้ามาเที่ยวจังหวัดต่างๆ ที่ตั้งบนเกาะคิวชู ซึ่งมีมากมายหลายแห่ง และมีความสวยงามที่แตกต่างกัน

ประเทศญี่ปุ่น นอกเหนือจากการเป็นมหาอำนาจอุตสาหกรรมทางด้านเทคโนโลยีแล้ว ยังเป็นดินนแดนที่มีรากเหง้าทางด้านศิลปะและวัฒนธรรมมาอย่างยาวนานอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกิน, การแต่งตัว, สถาปัตยกรรม และงานศิลปะทุกแขนง ซึ่งจะมีความโดดเด่นเฉพาะตัว ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นของเก่าแก่โบราณ หรือของยุคใหม่ก็ตาม

ในบรรดาศิลปะและเรื่องราวอันเป็นตำนานที่บ่งบอกถึงความเป็นญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดีที่สุดก็คือ ยุคสมัยของโชกุน และหนึ่งในจำนวนปราสาทที่มีชื่อเสียงและมีผู้คนเข้าไปสัมผัสกับอดีตอันยิ่งใหญ่ในแต่ละวันอย่างมากมาย ก็คือปราสาทโชกุนที่เมืองคุมะโมะโตะ ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่บนเนินสูงของเมือง และเพียงแค่เห็นกำแพงหินที่สูงและลาดชัน ก็สัมผัสได้ถึงความอลังการ และอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของยุคโชกุนในอดีตกาลของชาวญี่ปุ่น

เกี่ยวกับปราสาทแห่งนี้นั้น นอกจากจะเป็นศิลปะการก่อสร้างในยุคโชกุนเรืองอำนาจที่หลงเหลือให้คนยุคปัจจุบันได้เห็นแล้ว ยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับยุคซามูไรและยุคนินจาเกี่ยวพันกับปราสาทแห่งนี้ รวมทั้งประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองของชาวญี่ปุ่นอีกด้วย และเนื่องจากปราสาทนี้มีสีดำทมึนดูน่าเกรงขามนั่นเอง คนทั่วไปในญี่ปุ่นมักจะเรียกกันว่า 'ปราสาทดำ'

สิ่งที่น่าสนใจและมีความสวยงามเฉพาะตัวของปราสาทแห่งนี้ เป็นสถาปัตยกรรมแบบโบราณ ที่สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในการป้องกันศัตรู ไม่ว่าจะเป็นประตู หรือกำแพงที่สูงชัน ตลอดท่อนไม้ขนาดใหญ่ที่ใช้ก่อสร้างภายในปราสาท และการใช้สลักต่างๆ เพื่อยึดตัวปราสาทอย่างแน่นหนา ล้วนแล้วแต่มีความหมายและสะท้อนให้เห็นถึงการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจของคนญี่ปุ่นในยุคเก่าก่อนทั้งสิ้น

ปัจจุบัน ปราสาทแห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเมืองคุมะโมะโตะ โดยด้านล่างของปราสาทจัดเป็นโซน Jyosaien สำหรับขายของที่ระลึกสารพัดอย่าง รวมทั้งร้านขายอาหารสำหรับนักท่องเที่ยว โดยจะมีรถบัสวิ่งส่งนักท่องเที่ยวจากปราสาทมายังจุดนี้ โดยใช้เวลาเพียง 10 นาทีเท่านั้น

-2-
"ภูเขาไฟอะโสะคุกรุ่น
หากแต่ใจกลับเยือกเย็น
เมื่อเห็นท้องทุ่งที่สงบ"

............................................

ในอาณาเขตของจังหวัดจังหวัดคุมะโมะโตะนั้น มีอยู่ตำบลหนึ่งที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ และมีความสวยงามอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภูเขาไฟ ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่น ภูเขาไฟเขาอะโสะ ภูเขาไฟที่มีปากปล่องใหญ่ที่สุดในโลก (12 กิโลเมตร) และยังคุกรุ่นอยู่ใจกลางเกาะคิวชู ให้ท่านชมความงามของยอดเขา ซึ่งท่านจะเห็นควันไฟพวยพุ่งออกมาจากปากปล่องภูเขาไฟตลอดเวลา โดยภูเขาไฟแห่งนี้มีปากปล่องใหญ่ที่สุดในโลก คือราวๆ 12 กิโลเมตร มีการระเบิดครั้งสุดท้ายเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา และทุกวันนี้ยังคุกรุ่นและพวยพุ่งไอร้อนตลอดเวลา

การเดินทางขึ้นไปชมภูเขาไฟอะโสะนั้น จะมีลานจอดรถยนต์ใกล้ๆ กับเนินปล่องภูเขาไฟอย่างกว้างขวาง เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเที่ยวชมความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติแห่งนี้ ซึ่งใกล้จุดลานจอดรถก็จะเป็นอาคารกระเช้าลอยฟ้าสำหรับเดินทางอีกทอดหนึ่งเพื่อไปยังปากปล่องภูเขาไฟ หรือหากใครมีเงินมากก็สามารถจะใช้บริการเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ บินวนเวียนเพื่อชมความงดงามอยู่เหนือปากปล่องภูเขาไฟได้

ใครก็ตามที่ไปยืนอยู่ใกล้ๆ กับปากปล่องภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่อะโสะ จะรู้สึกทันทีถึงพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของธรรมชาติใต้ผืนโลก และเมื่อมองดูรอบๆ ซึ่งเป็นขุนเขา แล้วค่อยๆ ลาดต่ำลงไปจนสุดลูกหูลูกตา ก็ยิ่งจะรู้สึกมนุษย์เรานั้น แท้จริงแล้วเป็นสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ เท่านั้น เมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่ของธรรมธรรมชาติ อย่าง ภูเขาไฟอะโสะ

ในเขตที่กว้างใหญ่ของตำบลอะโสะ มิได้มีแหล่งท่องเที่ยวที่ภูเขาไฟเท่านั้น บริเวณที่ราบตามเนินภูเขาก่อนจะขึ้นไปบนภูเขาไฟ บางแห่งเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจีที่สวยงาม โดยนักท่องเที่ยวสามารถจะแวะชมทิวทัศน์ที่สวยงามได้ และที่ขึ้นชื่ออีกอย่างหนึ่งของเมืองอะโสะก็คือ ไอศกรีมที่ทำด้วยนมวัว ซึ่งเป็นของท้องถิ่นดั้งเดิมที่มีรสชาติอร่อยสุดยอด ทำโดยครอบครัวคนหนึ่งที่นี่มานานหลายสิบปีแล้ว จนกระทั่งมาสู่คนรุ่นลูกรุ่นหลานก็ได้พัฒนาตามยุคสมัย ทำเป็นไอศกรีมหลายรสมากขึ้น แต่ยังคงรสนมดั้งเดิมเอาไว้ นอกจากนี้แล้ว ยังมีการเปิดร้านอยู่ในศูนย์ขายอาหารและของที่ระลึก โดยตั้งอยู่ริมถนนสายที่จะขึ้นไปภูเขาไฟอีกด้วย และแน่นอนที่สุด นักท่องเที่ยวที่มาชมภูเขาไฟอะโสะ ก็ไม่พลาดที่จะแวะมาลิ้มรสไอศกรีมขึ้นชื่อของท้องถิ่นที่นี่

ถ้าจะบอกว่าอะโสะเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ให้ความรู้สึกหลายอารมณ์ก็ว่าได้ ในขณะที่ภูเขาไฟอะโสะสำแดงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ แต่ Monkey theater โรงละครลิงแห่งอะโสะกลับให้ความสนุกสนานที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ซึ่งที่นี่เป็นทั้งสถานที่เลี้ยงและฝึกลิงสำหรับการแสดง โดยมีการสร้างโรงแสดงขึ้นในบริเวณนี้ด้วย นอกจากจะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติแวะดูชมการแสดงในแต่ละรอบแล้ว ยังมีครอบครัวชาวญี่ปุ่นนิยมพาลูกๆ มาดูชม ส่วนคนไทยเราที่เคยดูหนังชุด ขำกลิ้งลิงกับหมา ที่มีลิงชื่อปังคุง กับเพื่อนหมาที่ชื่อเจมส์ ถ้าได้มาชมการแสดงของลิงที่ Monkey theater แล้ว ก็จะรู้สึกสนุกสนานปนเสียงหัวเราะเช่นเดียวกัน

อย่างที่บอกไว้นั่นแหละว่า อะโสะจะให้ความรู้สึกกับผู้ไปเยือนหรือผู้ที่ไปท่องเที่ยว ได้สัมผัสหลากหลายอารมณ์ และใครก็ตามที่แวะไปชมความงามของมวลดอกไม้นานาพันธุ์ที่ Kyiyu Flower Garden (Cosmos) อารมณ์กับภาพที่พบเห็นจะเปลี่ยนทันที เพราะเป็นสถานที่เพาะพันธุ์ดอกไม้หลายพันธุ์ร่วม 5 ล้านกว่าต้น บนพื้นที่ 75 ไร่ โดยทำมานานร่วม 20 ปีแล้ว ซึ่งในพื้นที่แห่งนี้มีการแบ่งตามคอนเซปต์ เช่น โซนคันทรี่ ,โซนเนินสายลม และโซนเนินแห่งสีสัน

ดอกไม้ในสวนแห่งนี้จะผลิดอกสวยงามตลอดทั้งปี แต่เป็นเพราะความสูงของที่นี่ 850 เมตร เมื่อถึงฤดูหนาวในช่วงเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ ซึ่งอากาศจะหนาวมาก ดังนั้น ดอกไม้ชนิดไหนที่ทนความหนาวเย็นไม่ไหวก็จะนำไปเก็บไว้ในโรงเพาะ ในช่วงจะปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าชม นอกจากเวลาหน้าหนาวแล้ว จะเปิดให้ดูชมทุกวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโซนที่เป็นทุ่งดอกซาลเวียร์สีแดงราวกับเป็นผืนพรมนั้น จะมีนักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปกันมาก และทุกวันนี้จะมีคนเข้ามาเที่ยวชมความงดงามของมวลดอกไม้ร่วม 1 หมื่นคนต่อวันเลยทีเดียว

สิ่งที่น่าดูชมอีกอย่างของอะโสะก็คือท้องทุ่ง เพราะอาชีพส่วนหนึ่งของคนที่นี่คือการทำเกษตร โดยสองข้างทางมักจะปรากฏทุ่งข้าวให้เห็นมากมาย และใครก็ตามที่ตื่นขึ้นมายามอรุณรุ่ง แล้วทอดสายตามองต้นข้าวในท้องทุ่งที่อะโสะ จะรู้สึกถึงความสงบและเรียบง่ายอย่างทันทีทันใด

-3-
"แสงตะวันยามเช้า
จุมพิตทะเลที่เบปปุ
บังเกิดความตราตรึงในใจ"

...............................

เมืองเบปปุตั้งอยู่ในเขตของจังหวัดโออิตะ ซึ่งเป็นอีกจังหวัดหนึ่งในเกาะคิวชูที่มีแหล่งน่าท่องเที่ยวหลายแห่ง โดยเฉพาะที่ยูฟูอิน และที่เบปปุ ทั้งสองเมืองนี้แม้จะแตกต่างกัน แต่ก็มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติสนใจกันมาก

ยูฟูอินนั้นเดิมทีเดียว เป็นหมู่บ้านเล็กๆ มีแม่น้ำผ่านหมู่บ้าน และมีขุนเขาโอบล้อมที่ ชาวบ้านส่วนมากจะหนีเข้าไปทำงานที่เมืองอื่นๆ โดยเหลือแต่คนเฒ่าคนแก่และเด็กๆ เท่านั้น การทำมาหากินก็ลำบาก ดังนั้น จึงทำให้ผู้ว่าฯจังหวัดโออิตะต้องหาหนทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น โดยหาหนทางส่งเสริมให้คนหมู่บ้านผลิตสินค้าขึ้นเอง เป็นสินค้าที่ทำจากวัสดุในท้องถิ่น และภูมิความรู้ของชาวบ้านที่มีอยู่แล้วนั่นแหละ จนกลายเป็นสินค้าท้องถิ่นที่ขึ้นชื่อ และกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นและจังหวัดโออิตะในเวลาต่อมา

ปัจจุบัน ยูฟูอินจะคึกคักด้วยนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะวันหยุดเสาร์อาทิตย์ หรือวันหยุดตามเทศกาลต่างๆ จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาที่นี่เป็นจำนวนมาก ซึ่งความโดดเด่นของที่นี่ คือไอเดียการสร้างสรรค์ผลิตสินค้าต่างๆ รวมทั้งการตกแต่งร้านรวงขายของที่ระลึกจำนวนมาก ที่มีความสวยงามที่แตกต่าง และสะท้อนให้เห็นถึงภูมิปัญญาของชาวญี่ปุ่นที่หมู่บ้านแห่งนี้อีกด้วย

สำหรับเมืองเบปปุ เป็นเมืองที่น่าท่องเที่ยวอีกเมืองหนึ่งของจังหวัดโออิตะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำพุร้อน ถือเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้เลยทีเดียว เพราะเกือบทั่วทั้งเมือง จะปรากฏไอน้ำจากบ่อน้ำพุร้อนล่องลอยเป็นสายขึ้นบนท้องฟ้าตามจุดต่างๆ เกือบทั่วทั้งเมืองก็ว่าได้ ซึ่งนอกเหนือจากการทำบ่อน้ำพุร้อนเป็นแหล่งท่องเที่ยวแล้ว ชาวเมืองนี้ยังนำเอาไอน้ำจากน้ำพุร้อนที่ผุดจากใต้ผืนดินจำนวนมาก มาใช้ในเชิงธุรกิจตามร้านอาหาร ใช้นึ่งใช้อบอาหาร และบริการการแช่น้ำร้อนหรือออนเซ็นเพื่อสุขภาพด้วย รวมทั้งการบริการนอนแช่ทรายร้อน ก็เป็นผลพวงที่เกิดขึ้นจากบ่อน้ำพุร้อนของเมืองนี้ทั้งสิ้น

ดังนั้น เบปปุจึงเป็นเมืองน้ำพุร้อนที่มีคนนิยมไปเที่ยวกันอย่างมาก โดยเฉพาะที่บ่อน้ำพุร้อยยูมิจิโกคุ และบ่อ คามาโดะ จิโกคุ จะมีผู้มาดูชมกันในแต่ละวันอย่างไม่ขาดสาย

......................

พบเจอมาพร้อมจากพราก
ดาวที่พร่างพราวหายไปจากฟ้า
เหลือไว้ซึ่งความประทับใจ
ลาก่อน...คิวชู

-------------

การเดินทาง

การเดินทางสามารถบินเส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-ฟูกูโอกะได้ โดยบริษัท การบินไทย จำกัด ( มหาชน ) ทำการบินเส้นทางไป-กลับ.กรุงเทพฯ-ฟูกูโอกะ สัปดาห์ละ 7 เที่ยวบิน ทุกวัน วันละ 1 เที่ยวบิน ด้วยเครื่องบินแอร์บัส เอ 330-300 ดังนี้

เส้นทาง กรุงเทพฯ-ฟูกูโอกะ ใช้เวลาบิน 5 ชั่วโมง 10 นาที เที่ยวบินที่ ทีจี 648 ออกจาก กรุงเทพฯ เวลา 00.50 น. ถึง ฟูกูโอกะเวลา 08.00 น. (เวลาท้องถิ่น) เส้นทาง ฟูกูโอกะ-กรุงเทพฯ ใช้เวลาบิน 5 ชั่วโมง 20 นาที เที่ยวบินที่ ทีจี 649 ออกจาก ฟูกูโอกะ เวลา 11.35 น. (เวลาท้องถิ่น) ถึง กรุงเทพฯ เวลา 14.55น.

ทั้งนี้ เครื่องบินแอร์บัส เอ 330-300 สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ 299 ที่นั่ง แบ่งเป็นที่นั่งชั้นธุรกิจ 36 ที่นั่ง และที่นั่งชั้นประหยัด 263 ที่นั่ง ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่เว็บไซต์ www.thaiairways.com หรือที่ THAI Contact Center 0 2356 1111 (ตลอด 24 ชั่วโมง)