ของดีที่ศิริราช

ปี พ.ศ. 2424 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ได้เกิดโรคอหิวาห์ระบาดอย่างหนัก ผู้คนล้มตายกันมากมาย
พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งโรงพยาบาลชั่วคราวในชุมชนต่างๆ 48 ตำบล เพื่อรักษาพยาบาล พอสถานการณ์ระบาดของโรคผ่อนคลายลง โรงพยาบาลเหล่านั้นจึงได้ปิดตัวลงด้วย แต่พระองค์ทรงตระหนักว่า การมีโรงพยาบาลนั้นจะยังประโยชน์บำบัดทุกข์ บำรุงสุข ให้แก่พสกนิกรในยามเจ็บป่วย ดังนั้นเมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2429 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะกรรมการจัดสร้างโรงพยาบาลขึ้น เพื่อดำเนินการก่อสร้างโรงพยาบาลถาวรแห่งแรก โดยใช้บริเวณวังของกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข (วังหลัง) ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วพระราชทานพระราชทรัพย์เป็นทุนแรกเริ่มในการดำเนินการ
ในระหว่างที่กำลังเตรียมการก่อสร้างโรงพยาบาลนั้น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ฯ พระราชโอรสอันประสูติจากสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ได้ประชวรโรคบิดจนสิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2430 ยังความเศร้าโศกแก่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ายิ่งนัก มีพระราชหัตถเลขาของพระองค์ถึงคอมมิตตีที่จัดตั้งโรงพยาบาล พ.ศ.2431 ความว่า
“...ภายหลังเกิดภัยพิบัติเคราะห์ร้าย ลูกซึ่งเป็นที่รักตาย เป็นที่สลดใจด้วยการรักษาไข้เจ็บ เห็นว่าแต่ลูกเราที่พิทักษ์รักษาเพียงนี้ยังได้ความทุกข์เวทนาแสนสาหัส ลูกราษฎรที่อนาถาทั้งปวงจะได้ความลำบาก ทุกข์เวทนายิ่งกว่านี้ประการใด ยิ่งทำให้มีความปรารถนา ที่จะให้มีโรงพยาบาลยิ่งขึ้น...”
ครั้นเสร็จงานพระเมรุของเจ้าฟ้าศิริราชแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รื้อโรงเรือนและเครื่องใช้ต่างๆ ในงานพระเมรุนำไปสร้างโรงพยาบาลที่บริเวณวังหลัง ทั้งยังพระราชทานทรัพย์ส่วนของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ฯ เพื่อเป็นทุนทรัพย์ในการดำเนินกิจการแก่โรงพยาบาลอีกด้วย
ในระยะแรกคณะกรรมการจัดสร้างโรงพยาบาล ได้จัดสร้างเรือนพักผู้ป่วยขึ้น 6 หลัง และเมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2431 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงพระกรุณาเสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีเปิดกิจการโรงพยาบาล และพระราชทานนามว่า “โรงศิริราชพยาบาล” ชาวบ้านสมัยนั้นเรียก “โรงพยาบาลวังหลัง” โดยทำการรักษาผู้ป่วยทั้งแผนปัจจุบันและแผนโบราณ กิจการของโรงพยาบาลได้เจริญรุดหน้ามาจนถึงปัจจุบัน
เนื้อความที่ผมว่ามาข้างต้น สรุปและรวบรวมจากทั้งสื่อผสมผสานต่างๆ ที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ศิริราชพิมุขสถาน ริมปากคลองบางกอกน้อย หลังโรงพยาบาลปิยราชการุณย์ ตรงสถานีรถไฟบางกอกน้อยเดิมนั่นเอง การรถไฟได้ยกบริเวณอาคารและสถานที่ให้สร้างเป็นโรงพยาบาลและตัวอาคารสถานีและอาคารโกดังสินค้าบางส่วน ถูกทำเป็นพิพิธภัณฑ์ที่น่าไปเยี่ยมชมอย่างมาก
นับตั้งแต่ด้านหน้าที่มีศาลาทรงไทยแบบจตุรมุข ประดิษฐานพระบรมรูป ร.5 ทรงอุ้มเจ้าฟ้าศิริราชฯ ธารน้ำล้อมรอบ ใกล้กันมีหัวรถจักรรุ่นโบราณมาตั้งแสดง หอนาฬิกาโดดเด่น การตกแต่งสถานที่ที่ร่มรื่นหอมกลิ่นลั่นทมกรุ่นกลิ่น และแปลงพืชสมุนไพรให้เรียนรู้ แค่ภายนอกยังน่าประทับใจ ภายในอาคารพิพิธภัณฑ์ที่ดัดแปลงมาจากอาคารสถานีรถไฟ ช่องขายตั๋ว ที่นั่งรอขึ้นรถ เขาเก็บรักษาได้ดีมาก การจัดแสดงเป็นห้องๆ ต่างๆและสื่อผสมผสานหลายชนิด แสง เสียงและอากาศที่เย็นสบาย ทำให้การเดินดูพิพิธภัณฑ์ที่นี่ไม่น่าเบื่อ
อันที่จริงการเดินเที่ยวชมที่นี่ผมว่าไม่น่าเบื่อแทบทุกห้องเพราะมีอะไรให้ได้ดูอย่างไม่เร่งรีบ เริ่มแรกจะเป็นการบอกเล่าถึงการก่อตั้งโรงพยาบาลที่สถาบันพระมหากษัตริย์ทรงให้ความอุปถัมภ์มาแต่ต้น กระทั่งสถานที่ตั้งที่เคยเป็นวังหลังมาก่อน ที่น่าสนใจคือแผนที่การศึกของกรุงธนบุรีที่กองสอดแนมของพม่าเข้ามาวาดไว้เมื่อสองร้อยกว่าปีก่อน เขาเอามาโชว์แล้วมีจอให้เราแตะสัมผัสว่าตำแหน่งในแผนที่เมื่อสองร้อยกว่าปีก่อน ปัจจุบันคือที่ไหน อีกอันคือเครื่องถ้วยในยุคสมัยต่างๆ ที่ขุดค้นได้ในบริเวณนี้ เขาก็ทำจอให้แตะดูรายละเอียดถ้วยชามแต่ละยุคสมัย คำอธิบายสั้นๆ แต่เข้าใจได้ง่าย และห้องภาพยนตร์ 3 มิติ ที่บอกเล่าเรื่องราวของสถานีรถไฟบางกอกน้อย ที่เล่าได้อย่างตื่นตาตื่นใจจนติดใจอาจจะดู 2-3 รอบ ก็ไม่มีใครว่า
ส่วนชั้นสองจะเป็นห้องเกี่ยวกับการแพทย์และการก่อตั้งโรงพยาบาลศิริราช ฟังดูหัวข้อน่าเบื่อ แต่ผิดคาดครับมีอะไรที่เราไม่เคยเห็นในวงการแพทย์ยุคเริ่มแรกมากมาย เข็มเย็บแผลในอดีต มีดผ่าตัด หุ่นจำลองที่นักศึกษาแพทย์ใช้เรียนอวัยวะภายในอายุ 100 กว่าปี ห้องนี้เราจะได้กลายเป็นนักศึกษาแพทย์โดยไม่รู้ตัว ผ่านเทคนิคการจัดแสดง ได้ทดลองเป็นแพทย์ตรวจคนไข้ ได้ร่วมในการผ่าตัด ห้องนี้ผมกดไลค์ครับ ชอบมาก
มาอีกห้องหนึ่งจะพูดถึงชีวิตคน ตั้งแต่การปฏิสนธิ เขาให้เราดูเลยว่าสเปิร์มมันว่ายยังไงจนไปจับคู่ตั้งต้นเป็นคน แล้วเวลากี่อาทิตย์ คนๆ หนึ่งก่อตัวมีตา มีแขน มีขาช่วงไหน อันนี้ดีมาก ส่วนห้องการแพทย์แผนไทยนั้น ผมว่าน่าจะเป็นห้องที่รวบรวมพืชสมุนไพรต่างๆ ที่มากที่สุดที่นำมาจัดแสดงสาธารณะ บอกชนิด สรรพคุณครบถ้วน ห้องนี้ก็ให้ความรู้ดีมาก ใกล้กันจะเป็นห้องที่เขาให้เรารักษาร่างกายด้วยตัวเองทางจิตใจ การทำสมาธิ และทำฤาษีดัดตน ไม่ต้องไปไล่เดินดูที่วัดโพธิ์ มาที่นี่เดินเย็นๆ เห็นหมด
ลงมาด้านล่าง อาคารโกดังสินค้าเก่าของสถานีรถไฟ จัดแสดงเป็นวิถีชีวิตคนบางกอกน้อยในอดีตที่ทำได้เหมือนจริงมาก มีตลาด มีชุมชน แค่มานั่งดูการแสดงหุ่นกระบอกก็คุ้มแล้ว นี่ยังได้ไหว้สมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี แห่งวัดระฆังด้วย ส่วนอีกด้านเป็นเรือสินค้าสมัยโบราณที่ขุดได้ในพื้นที่ ลำใหญ่มาก เขาฉาบเรือด้วยแผ่นสังกะสี การใช้ลิ่มเหล็กตอกยึดแผ่นไม้ แสดงถึงการสร้างเรือในสมัยก่อนว่าเป็นอย่างไร ถ้ายังไม่หนำใจจะนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปดูภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วัดสุวรรณารามก็ได้ (ค่ารถ 20 บาท) นอกจากภาพจิตรกรรมฝาผนังฝีมือชั้นครูในพระอุโบสถแล้ว อาคารศาลาการเปรียญ และหมู่กุฏิสงฆ์ของวัดนี้ก็น่าสนใจที่ยังคงรักษาสถาปัตยกรรมและสิ่งปลูกสร้างเดิมๆ ไว้ได้ เสียแต่รถที่จอดเต็มลานวัด ทำให้การเที่ยวชมเสียอรรถรสไปบ้าง
โรงพยาบาลศิริราช เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เป็นแค่ที่ที่จะมาเฉพาะยามเจ็บป่วย วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ หรือเมื่อยามว่าง มาเติมอาหารสมองและเปิดโลกทัศน์ สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณสถาบันกษัตริย์ที่ทรงสร้างโรงพยาบาลไว้เพื่อพสกนิกร การกตัญญูรู้สำนึกบุญคุณคน รักแผ่นดินถิ่นเกิด เป็นคุณสมบัติหนึ่งของคนดี
วันมหิดล 24 กันยายน เขารับบริจาคเข้ากองทุนศิริราชเพื่อผู้ป่วยผู้ยากไร้ ค่าเข้าดูพิพิธภัณฑ์ 80 บาท ได้ทำบุญได้ปลุกสำนึกรักชาติ มาศิริราช ได้หลายอย่างครับ....




