ศศิน อหิงสา สัตยาเคราะห์ และพริตตี้คนนั้น

ศศิน อหิงสา สัตยาเคราะห์ และพริตตี้คนนั้น

“...ในช่วงชีวิตของเรา ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก แต่ไม่ว่าสุขหรือทุกข์ คนที่จะคอยอยู่ข้างๆ ไม่ไปไหน เขาคนนั้นคือแม่ของเรา

แม่บอกผมว่า... "ทำอะไรให้ทำเต็มที่ แล้วเราก็จะทำได้" ถ้าเราไม่เดิน เราจะไปไม่ถึง... เราต้องเดินผ่านความกลัว มากกว่าเดินผ่านความไกล ตอนนี้ผมไม่มีอาวุธอะไรมากไปกว่าสองเท้าและเฟซบุ๊ก...” (ศศิน เฉลิมลาภ)
....................

หากจะถามว่า “ปรากฏการณ์ศศิน 22 กันยายน 2556” เกิดขึ้นได้อย่างไร ผมคิดว่าคำตอบของคำถามนี้ ไม่มีอะไรซับซ้อนมากไปกว่าความเชื่อถือศรัทธาในความเป็นคนธรรมดาๆ ของคุณศศิน นั่นคือการที่คุณศศินยืนอยู่เหนือผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม เป็นอิสระจากการสังกัดฝักฝ่ายทางทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นพรรคไหน หรือสีใด ทำให้กระบวนการแสวงหาเหตุและผล ตลอดจนการแสดงความคิดเห็นต่อกรณีปัญหาเขื่อนแม่วงก์ ได้รับการเชื่อถือจากคนจำนวนมากว่าดำเนินไปด้วยหัวใจอันบริสุทธิ์ของคุณศศินเอง

ยิ่ง “มูลนิธิสืบนาคะเสถียร” ได้รับการยอมรับในฐานะองค์กรหลักที่มุ่งพิทักษ์ป่า อย่างมีหลักการและหลักวิชาการตามแนวทางของคุณสืบ นาคะเสถียร ก็ยิ่งทำให้สถานะ “เลขาธิการมูลนิธิ” เสริมส่งความเป็น “วิญญูชน” คือผู้รู้แจ้งด้วยปัญญาพินิจ คิดค้นคว้าด้วยเหตุและผล ของคุณศศินให้สูงเด่นยิ่งขึ้น

เมื่อคุณศศินพิจารณาว่า กระบวนการ “รับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสีย สำหรับโครงการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง” ( EHIA= Environmental Health Impact Assessment) ของโครงการสร้างเขื่อนแม่วงก์ มีความไม่ชอบมาพากล คุณศศินก็เลือกวิธีประท้วงด้วยการเดินเท้าจากป่าแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์ เข้าสู่กรุงเทพมหานคร รวมระยะทาง 388 กิโลเมตร เป็นเวลา 12 วัน เพื่อจะได้รับฟังความคิดเห็นของประชาชน พร้อมๆ กับเผยแพร่ข้อมูลปัญหา EHIA การสร้างเขื่อนแม่วงก์ และเสนอแนวคิดว่ายังมีทางเลือกการบริหารจัดการน้ำ โดยไม่ต้องสร้างเขื่อนในป่าอีก เช่น การสร้างเขื่อนขนาดเล็ก 2-3 เขื่อน(นอกป่า) ให้เชื่อมโยงกัน หรือการทำฝายชะลอน้ำ เพื่อรักษาผืนป่าไว้ให้ทำหน้าที่เป็นเขื่อนตามธรรมชาติชั่วนิรันดร์

นับเป็นการประท้วงที่เงียบเชียบที่สุดบนแนวทางแห่ง “อหิสาธรรม” คือการยอมทนทุกข์เพื่อชำระจิตใจตนเอง ชำระจิตสำนึกของสังคมส่วนรวมให้บริสุทธิ์ และเปลี่ยนจิตใจผู้กระทำผิดให้รู้สำนึก อันเป็นแนวทางหลักที่ท่านมหาตมะ คานธี มหาบุรุษผู้กอบกู้อินเดีย ใช้ต่อสู้กับเจ้าอาณานิคมอังกฤษ ด้วยตระหนักว่าการจะเอาชนะความชั่ว ไม่ได้อยู่ที่การทำลายคนชั่ว แต่อยู่ที่การเปลี่ยนจิตใจของคนชั่ว โดยไม่ทำความชั่วตอบ ท่านจึงย้ำเตือนอยู่เสมอว่า จงเกลียดชังความเลว แต่อย่าเกลียดชังคนเลว เพราะทุกคนสามารถกลับตัวเป็นคนดีได้เสมอ

วิธีปฏิบัติตามแนวทางอหิงสา เรียกว่า “สัตยาเคราะห์” คือการไม่ร่วมมือหรือไม่ยอมรับกฎที่ไม่ยุติธรรมโดยไม่ใช้ความรุนแรง แต่ใช้วิธีอดอาหารประท้วง หรือการเดินเท้าประท้วง อันทำให้ รพินทรนาถ ฐากูร มหากวีแห่งชมพูทวีป ขนานนามคานธีว่า “มหาตมะ” อันมีความหมายว่า “ผู้มีจิตใจสูงส่ง”

พุทธศักราช 2473 อังกฤษออกกฎหมายเก็บภาษีเกลือ ห้ามคนอินเดียทำเกลือกินเอง คานธีเห็นว่าเป็นความเลวร้ายที่คนอินเดียใช้ทรัพยากรของตนเองไม่ได้ จึงทำ “สัตยาเคราะห์เกลือ” ด้วยการออกเดินเท้าพร้อมผู้ติดตาม 80 คน จากเมือง Sabarmat มุ่งสู่ Dandi เมืองชายทะเลที่อยู่ห่างออกไปราว 400 กิโลเมตร โดยใช้เวลา 24 วัน ระหว่างทางมีชาวอินเดียเดินตามมากขึ้นเรื่อยๆ จนนับเป็นจำนวนแสน และเมื่อถึงจุดหมายในวันที่ 6 เมษายน ท่านก้มลงหยิบเกลือแล้วกล่าวว่า “ด้วยเกลือหยิบมือนี้ ข้าพเจ้าขอต่อต้านการบังคับของจักรวรรดิอังกฤษ ขอให้พวกเราร่วมมือกันต่อสู้เพื่อสิทธิอันชอบธรรมของพวกเราเถิด”

หลังจากนั้นก็เหมือนดั่งไฟลามทุ่ง ชาวอินเดียพากันทำเกลือและขายเกลือกันทั้งประเทศ อังกฤษใช้วิธีการจับกุมคุมขังผู้ประท้วงนับจำนวนแสนเช่นกัน รวมทั้งท่านมหาตมะ คานธี แต่ด้วยแรงกดดันจากนานาชาติ ผู้สำเร็จราชการอังกฤษจำยอมปล่อยตัวท่านและเชิญท่านมาเจรจา ก่อนการเจรจา คานธีร้องขอน้ำอุ่น จากนั้นก็หยิบอะไรบางอย่างออกมาจากชายพก แล้วกระซิบบอกผู้สำเร็จราชการว่า “เอ่อ...กรุณาอย่าบอกให้ใครรู้เชียวนะ ว่านี่คือเกลือที่ผมทำอย่างผิดกฎหมายไงล่ะท่าน”

ดร.ทวีวัฒน์ ปุณฑริกวิวัฒน์ แห่งมหาวิทยาลัยมหิดล วิเคราะห์ไว้ในบทความ “ขบวนการอหิงสาของมหาตมะ คานธี” ตอนหนึ่งว่า สัตยาเคราะห์ แปรตามตัวอักษรได้ว่า “การยืนหยัดอยู่ในหลักแห่งความจริง” นักสัตยาเคราะห์ปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือต่อระบบสังคมที่ไม่เป็นธรรม คือสังคมที่ไม่ยืนอยู่บนความจริง ขณะเดียวกัน ก็จะสร้างวิถีใหม่ที่เห็นว่าถูกต้องเป็นธรรม ดังนั้น สัตยาเคราะห์ จึงมองได้สองแง่ แง่หนึ่งได้แก่การสร้างสรรค์ อีกแง่หนึ่งคือการต่อสู้คัดค้านอย่างสงบต่อความไม่ถูกต้องทั้งปวง ซึ่งในที่นี้ ผมขอเรียกแบบของผมเองว่า “ดื้อเงียบ”

ผมคิดว่าสัตยาเคราะห์หรือการดื้อเงียบแบบศศิน นอกจากเป็นการประท้วง EHIA เขื่อนแม่วงก์เจ้าปัญหาอย่างสงบแล้ว ยังปลุกให้คนจำนวนมากตระหนักถึงความสำคัญของป่าไม้และสัตว์ป่า ด้วยการศึกษาข้อมูลบนพื้นฐานของเหตุและผล ไม่ใช่ด้วยอคติหรือด้วยความรู้แบบงูๆ ปลาๆ

นี่คือความงดงามของ “ปรากฏการณ์ศศิน 22 กันยายน 2556” ส่วนปัจจัยอื่นที่ช่วยปลุกให้คนออกมาต้อนรับคุณศศินกันมากมายเกินคาด เห็นจะเป็นเรื่องที่คุณศศินมี “พริตตี้” สุดสวยคนหนึ่งคอยแอบเอาใจช่วย ด้วยการออกมาให้สัมภาษณ์ด้วยถ้อยคำสุดแสนจะเซ็กซี่และยั่วยวน ชวนให้วิญญูชนทั้งหลายออกมาเดินกับคุณศศินยิ่งนัก

เอ่อ...กรุณาอย่าบอกให้ใครรู้เชียวนะ ว่าชื่อของพริตตี้สุดเซ็กซี่คนนั้น มีอักษรย่อว่า น้องป.ปลาไงล่ะท่าน!