โขนฝรั่ง

โขนฝรั่ง

เขา "เชื่อ" และ "ตั้งใจ" ว่าจะใช้วิชาที่ได้ร่ำเรียนมา "เอาดี" ในฐานะ "นักแสดงโขนอาชีพ" ที่ประเทศไทยให้ได้

หลายปีก่อน สังคมไทยได้ตื่นตาตื่นใจกับเด็กหนุ่มชาวแคนาดาที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของคณะนักแสดงโขนเยาวชนผ่านหน้าจอโทรทัศน์ วันนี้ เบนจามินทร์ ตาดีร์ (Benjamin Tardif) กลับมาที่ประเทศไทยอีกครั้ง เพื่อที่จะ "สานต่อ" ความตั้งใจในการเป็น "นักแสดงโขนอาชีพ"

"ผมติดใจโขนครับ" เขาหมายความตามที่พูด

หลังจากได้ใช้ประสบการณ์การเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่โรงเรียนสุโขทัยวิทยาคม วิทยาลัยนาฏศิลป์ หรือวิทยาลัยพลศึกษา เสียงระนาด เส้นสายอันอ่อนช้อยของลายไทย หรือความดุดันในเชิงมวย อะไรก็ไม่เร้าใจสู้โขน และถึงจะเป็นการฝึกพื้นฐาน แต่เขาก็เข้าใจถึงความตั้งใจของครูผู้สอนที่อยากถ่ายทอดให้สามารถนำศิลปวัฒนธรรมแขนงนี้ไปบอกต่อได้อย่างถูกต้อง

เมื่อกลับไปถึงบ้านเกิด หนุ่มแคนาดาคนนี้จึงยังรู้สึกว่ามีอะไรที่ค้างอยู่ภายในใจมาโดยตลอด กระทั่งวันหนึ่ง หลังเรียนจบ ทำงานตามความต้องการของครอบครัว เขาได้ตัดสินใจกลับมาที่ประเทศไทยอีกครั้งเพื่อทำตามความฝันที่หล่นหายไป และพิสูจน์ความเชื่อส่วนตัวที่จะใช้นาฏศิลป์หาเลี้ยงตัวเองได้

วันนี้ เขาได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมนักแสดงโขนเฉลิมฉลอง 80 ปี โรงมหรสพหลวงศาลาเฉลิมกรุง ชุดหนุมาน ที่กำลังเปิดการแสดงอยู่ ขณะเดียวกันเขาก็กำลังเรียนปริญญาโท สาขานาฏศิลป์ไทย ที่สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ และสอนพิเศษภาษาอังกฤษไปด้วย

แน่นอนว่า ต้องมีเรื่องราวมากมายที่ "โขนฝรั่ง" คนนี้อยากเล่าให้ผู้ชมชาวไทยฟัง

  • อะไรคือแรงจูงใจที่ทำให้คุณมาสนใจโขนได้มากขนาดนี้

ผมมาอยู่เมืองไทยครั้งแรก ปีพ.ศ.2545-2546 ตอนอายุ 18 ปี เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนของสโมสรโรตารี่ เขาให้เลือกประเทศได้ มีไทย จีน หรืออินโดนีเซีย ตัวผมก็สนใจอยู่เอเชียอยู่แล้ว ผมก็อยากอยู่ที่พูดภาษาได้ยาก (ยิ้ม) ไม่ใช่ภาษาแบบยุโรป และผมสนใจศาสนาพุทธด้วย แล้วก็อ้อมไปครึ่งโลก สำหรับผม ผมอยากรู้ว่าที่ที่ไกลที่สุดมันเป็นยังไง เพราะตอนนั้นผมเพิ่งอายุ 18 ยังไม่รู้จักอะไรเลย เมืองที่ผมอยู่ก็มีร้านอาหารไทยแต่ก็ไม่ใช่คนไทยที่ไปเปิดเป็นคนเวียดนามที่ขายอาหารไทย (ยิ้ม) เขาส่งผมไปที่สุโขทัย ไปเรียนโรงเรียนสุโขทัยวิทยาคม

ที่สุโขทัยผมก็ไปอยู่กับครอบครัวที่อยู่ในการรับรองของสโมสรโรตารี่ ที่โรงเรียนผมน่าจะเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนคนแรกของที่นั่น เขาก็คงไม่รู้ว่าต้องให้ทำอะไรบ้าง ต้องให้เรียนอะไรบ้าง ผมเลยได้ไปเรียนมัธยมปลายเลย เพราะ อายุ 18 แล้ว เรียนปกติแบบเด็กนักเรียนทั่วไป แต่ผมว่ามันเสียเวลาน่ะ เพราะตอนนั้นผมพูดภาษาไทยไม่ได้ ไปนั่งในห้องก็ บลา บลา บลา (ทำท่าทางประกอบ) ฟังไม่รู้เรื่อง ก็อยู่ไม่ได้ ผมเบื่อ อาจารย์ที่ดูแลผมเขาก็ลองให้ผมไปเรียนนาฏศิลป์ก็น่าจะดี เพราะสามีแกเป็นผู้อำนวยการวิทยาลัยนาฏศิลป์อยู่ ที่นี่ก็มีดนตรีไทย มีรำ เต้นโขน วาดรูป ก็ไปดูว่าสนใจอะไร

ผมได้เรียนระนาด โขน วาดลายไทย จำได้ว่าผมได้วาดลายกนก ที่มีลายไฟ และดอกไม้ ผมวาดได้นิดเดียวเอง (ยิ้ม) แล้วเขาก็ชวนไปวิทยาลัยพละด้วย ไปเรียนมวยไทย ให้ลองหมดเลย จะได้รู้จักศิลปวัฒนธรรมไทย จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเรียนวิชาที่ผมเรียนจากแคนาดามาแล้ว หลังจากได้ลองทุกอย่าง ผมติดใจโขน ก็เรียนโขนตลอด ตอนเช้า เรียนกับเด็ก ม.1-3 เรียนพื้นฐาน ตอนบ่ายก็เรียนเพลง เรียนบท กับเด็กชั้นม.4-6 (ได้กลับไปเรียนที่โรงเรียนอีกไหม) ไม่ได้ไปครับ ย้ายที่เลย (หัวเราะ) ทางโรตารี่ก็เสียดาย เพราะนักเรียนแลกเปลี่ยนก็น่าจะช่วยมาฝึกประสบการณ์กับเด็กนักเรียนไทย แต่ตอนนั้นผมเพิ่งอายุ 18 แล้วผมไม่ได้คิดถึงตรงนั้น ผมคิดว่า ผมอยากทำอะไรที่ชอบ ผมชอบโขน อยากเรียนโขน แต่ผมยังไม่ได้ดูเขาแสดงโขนนะ (ยิ้ม)

ที่นั่นผมได้ฝึกตั้งแต่ เต้นเสา ฝึกแม่ท่า ท่าพื้นฐานต่างๆ ก็ชอบเลย เพราะที่บ้านผม ถ้าผู้ชายอยากเรียนรำ ก็ต้องไปเรียนบัลเล่ต์ ซึ่งมันก็จะดูแปลกๆ ผมว่าน่าจะเหมาะกับผู้หญิงมากกว่า แต่โขนนี่เป็นเหมือนศิลปะที่คนแสดงต้องแข็งแรงมาก มีตีลังกา เคลื่อนไหวร่างกายต่างๆ ด้วย เป็นศิลปะที่ไม่เหมือนอะไรที่ผมรู้จักมาก่อนเลย พระราม รามเกียรติ์อะไรไม่เคยได้ยิน ครั้งแรกผมก็สนใจว่า อาจารย์เวลาเขาเลือก เขาดูตัว ดูตัวผมแล้วเขารู้เลย เบนจามินทร์นี่ตัวลิง ผมก็โอเค เป็นลิงก็ได้ (ยิ้ม)

  • ปกติโขนจะฝึกกันตั้งแต่อายุน้อยๆ แต่ตอนนั้นคุณอายุ 18 ปีแล้วมาเริ่มฝึกโขนตั้งแต่พื้นฐานมันน่าจะยากอยู่เหมือนกัน ?

กระดูกมันแข็งแล้ว (หัวเราะ) ก็ฝึกได้อยู่ครับ ดัดขา เต้นเสา ถีบเหลี่ยม เจ็บมาก ต้องชอบจริงๆ ไม่งั้นไม่เอาแล้ว ก็ดีนะครับ สนุกดี เพื่อนทุกคนก็ช่วยดูแล ทำท่าแบบนี้ ภาษาไทยตอนนั้นก็เรียนกับเพื่อน ไม่ได้เรียนในหนังสือแล้ว (ยิ้ม) เพื่อนก็จะสอนคำแสลง คำพิเรนต่างๆ เวลาใครแกล้งผม ก็จะรู้ มันดีมากตอนนั้นที่พูดได้ทุกอย่าง แต่คำที่เป็นทางการมากๆ หรือคำราชาศัพท์จะยังไม่รู้ เพราะในการแสดงโขนจะมีการใช้คำราชาศัพท์ด้วย แต่ตอนนั้นได้ฝึกท่ารำอย่างเดียว ไม่มีบทร้อง ฝึกอยู่ประมาณครึ่งปี แล้วก็ได้ไปหาประสบการณ์เกี่ยวกับการแสดงเวลาวิทยาลัยไปออกงาน ไปเดินเป็นชาวบ้านบ้าง เป็นทหารบ้าง โขนก็ได้เป็นพลธง ได้เล่นบทพื้นฐานของโขน ยิ่งเล่นก็ยิ่งชอบมาก ยิ่งอยากรู้ อยากได้อีก ไม่อยากกลับ อยากอยู่นี่เลย (ยิ้ม) แต่ในเงื่อนไขของสโมสรโรตารี่มันจำเป็นต้องกลับ ก็ไปเรียนต่อ หลังจากนั้นถึงกลับมาอีกครั้งนึง เดือนมิถุนายน เพราะคิดถึง อยากเรียนอีก แล้วผมก็อยากเจอเพื่อน เก็บเงินเอง กลับมาเอง และตอนนั้นก็ได้เรียนต่อ ได้แสดงต่อ

  • กลับมาอีกครั้งก็ตรงไปที่สุโขทัยเลย แทนที่จะเป็นกรุงเทพมหานคร หรือเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ

ใช่ครับ ผมไม่สนใจไปอยู่กรุงเทพฯ ไปอยู่ภาคใต้ ไปเที่ยวทะเล ไม่สนใจเลย ผมตั้งใจมาหาเพื่อน แล้วก็อยู่ที่นั่น ได้แสดงนานขึ้น ก็ได้ออกรายการที่นี่ประเทศไทย ได้ลงหนังสือพิมพ์ วิทยุ หลายๆ อย่างเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ตอนนั้นผมก็เริ่มคิดว่าน่าจะทำเป็นอาชีพได้ ผมสนใจเรื่องเรียนการแสดงโขนต่อ แต่พ่อกับแม่ที่แคนาดาเขาไม่ให้ เขาบอกว่า ชีวิตศิลปินไม่ใช่ไม่ดี แต่เรื่องความมั่นคงก็ต้องคิด ถ้าวันหนึ่งเกิดประสบอุบัติเหตุ แล้วจะทำอะไรต่อ ก็เอาเป็นว่ากลับแคนาดาก่อน เรียนหนังสือให้จบ แล้วค่อยกลับมาต่อได้ แต่ผมบอกเขาว่า จะแก่แล้ว แล้วจะเล่นโขนได้ยังไง ตอนนั้นเราจะ 20 แล้ว ก็ใจร้อน (ยิ้ม) สุดท้ายก็กลับ ก็ไม่ได้ติดต่อใคร ผมไปเรียนต่อ และเป็นครูสอนมัธยม ไม่มีอะไรเกี่ยวกับไทยเลย จน 2 ปีก่อน ก็คิดว่าจะเก็บเงินกลับมาเที่ยว มาหาเพื่อนอีกแล้ว (หัวเราะ) พอเดือนธันวาคมปี 2555 ก็ไปสุโขทัยเลย

ไปสุโขทัยผมก็ไปที่วิทยาลัยนาฏศิลป์สุโขทัยอีก ไปหาอาจารย์ พอได้เห็นโขนอีก มันเหมือนสิ่งที่อยู่ในตัวเรามันพรั่งพรุออกมาน่ะ จริงๆ ผมคิดว่าจะไปเที่ยว ไปทะเล แต่พอเห็นโขน... ขออาจารย์ให้เรียนอีกได้ไหม อาจารย์ก็ให้เรียน ตอนแรกคิดว่าจะอยู่ไทย 1 เดือนแล้วค่อยกลับ ซื้อตั๋วเครื่องบินแล้ว แต่พอได้คุยกับเพื่อน เรื่องสอนพิเศษภาษาอังกฤษก็น่าจะได้ ก็น่าจะพออยู่ได้ ก็คุยกับทางพ่อแม่ที่โน่น โอเค ไม่มีปัญหา ก็คิดต่อไปอีก ถ้าสมมติผมได้สอนโขนล่ะ รู้ว่าต้องลงเรียนโขน ปริญญาตรี 5 ปี แล้วจะได้เป็นครู ตอนนั้นผมจะอายุ 35 ปีแล้ว โอเคก็ได้ แต่จะเป็นครูอย่างเดียวจะไม่มีประสบการณ์การแสดงก็คิดต่อไปอีก สรุปได้ว่า ไม่เอาแล้ว ผมอยากเรียนโขน ผมต้องเป็นศิลปินก่อน ก็เริ่มเรียนจริงจังเลย

  • ต้องเริ่มเรียนใหม่หมด ?

ใช่ครับ เรียนพื้นฐานใหม่หมด จากที่เคยเรียนแล้วห่างไปเกือบ 10 ปี (ยิ้ม) เพราะผมคิดว่า ผมไม่จำเป็นต้องเรียน 5 ปี เพราะด้านครูผมมีใบรับรองแล้ว แต่เรื่องความรู้ของโขนเราต้องมาเรียนรู้เพิ่ม หลังจากเรียนพื้นฐาน แม่ท่าทั้งหมดแล้ว ก็ครอบครูได้แล้ว ตอนนั้นบรรยากาศแบบ... สุดยอดเลย ตอนนั้นรู้สึกพิเศษจริงๆ ต้องมีฝรั่งน้อยคนแน่ๆ ที่ได้อย่างนี้ (ยิ้ม) สิ่งที่เราได้เป็นอะไรที่คนยังไม่ค่อยรู้จัก ได้ไปครอบครู ได้เรียนชั้นที่สูงขึ้นไปอีก มีความสุขมาก ตอนนี้ได้ แม่ท่า พลธง เสนาลิง หนุมานยกรบ หน้าพาทย์ ได้หลายๆ อย่างแล้วครับ แล้วก็ได้แสดงด้วย แต่ยังสอนไม่ได้ ยังต้องเรียนอีกเยอะ (ยิ้ม)

  • ถ้าอย่างนั้น เสน่ห์ความเป็นโขนในมุมมองของคุณคืออะไร

(นิ่งคิด) โขน... เป็นศิลปะที่สูง คลาสสิก เหมือนบัลเล่ต์ โอเปร่า และเป็นศิลปะที่ไม่ใช่สำหรับทุกคน ไม่ใช่ทุกคนจะชอบด้วย เพราะว่า เข้าใจยาก ต้องใช้ความรู้ ไม่ใช่ง่ายๆ ที่แสดงออกมาแล้วเข้าใจได้เลย แต่โขนต้องอาศัยการตีความ ต้องรู้พื้นหลังของรามเกียรติ์สักหน่อยว่าเป็นมายังไง แล้วก็ต้องพอรู้จักตัวละครในเรื่องบ้าง ต้องรู้ภาษามือด้วยว่าแปลว่าอะไร ถ้าอยากดูโขนให้มีความสุขผมว่าต้องรู้เรื่องเหล่านี้ ถึงบอกว่าเป็นศิลปะที่สูง ไม่ใช่ง่ายๆ และคนก็ได้รู้ว่า โขนเป็นศิลปะที่สะท้อนวัฒนธรรมของคนไทย ตกทอดมาตั้งแต่สมัยอยุธยาเมื่อ 700 ปีก่อนแล้ว และคนไทยก็ได้อนุรักษ์วัฒนธรรมนี้ นี่ก็ถือเป็นสิ่งที่พิเศษมากๆ แล้ว ในโลกมีศิลปวัฒนธรรมไม่กี่ชนิดที่ได้รับการอนุรักษ์แบบนี้

ทุกครั้งที่ผมดูโขนผมจะคิดว่าผมโชคดี เพราะเมื่อ 700 ปีก่อน มีพระมหากษัตริย์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่ได้ดูโขน แต่ตอนนี้เราทุกคนได้ดูการแสดงเหมือนกับยุคสมัยนั้น นี่แสดงว่าเราโชคดี จริงไหม ท่ารำก็ไม่ได้เปลี่ยนมาก มีการพัฒนาบ้าง แต่พื้นฐานไม่ได้ต่างกัน

  • ที่บอกว่า โขนเป็นศิลปะที่ต้องใช้ความรู้ และความรักในการเข้าใจ แต่ถ้าเปรียบเทียบกับนักท่องเที่ยวทั่วไปเขาก็แค่มาดู สวย จบ แต่คุณดู สวย อยากรู้ต่อ เพราะอะไรถึงเป็นอย่างนั้น ยิ่งรู้ว่าเป็นเรื่องยากด้วยในการฝึก หรือเข้าใจอะไรหลายๆ อย่าง แต่คุณก็ยังทำ

อันนี้อธิบายยากนะ ก็เหมือนบางคนจะชอบเล่นฟุตบอลมาก เขาชอบตรงไหน เพราะมันก็ต้องฝึกก็หนัก ไม่ง่ายถ้าอยากเก่ง เพราะความสุขก็ใช่ เหมือนกัน พอผมมีความสุขสึกว่าชอบ รัก ถ้าผมเต้นโขนไม่ได้ชีวิตของผมไม่มีความหมายแล้ว นี่พูดจริงๆ นะ ถ้าผมเต้นโขนไม่มได้ชีวิตไม่มีความหมายเลย จะทำอะไร ผมรู้สึกเหมือน... ผมต้องเต้นโขน ผมต้องซ้อมโขน ต้องทำอะไรเกี่ยวกับโขนแน่นอน

  • ถึงจะห่างไปเป็น 10 ปี ก็ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกตรงนี้น้อยลง ?

ไม่มี (ตอบทันที) เพราะเหมือนเป็นธรรมชาติ เฮ้ย นี่ เราไม่ได้ดูมันยาก ถึงจะยาก เจ็บ แต่ก็ต้องฝึก แต่เมื่อมันมีความสุขเข้ามาบวกด้วยผมก็ทำอยู่ได้ทั้งวัน ชอบ ตอนนี้ก็รู้สึกแบบนี้เหมือนกัน (ยิ้ม) อาจจะเหมือน Passion ของอะไรก็ได้ ความที่ชอบวาดรูป ชอบฟุตบอล ชอบทำไม

  • ตอนนี้มีงานแสดงเป็นเรื่องเป็นราวแล้วด้วย จะถือว่าเป็นนักแสดงอาชีพได้หรือยัง

ยังครับ ตอนนี้ถือเป็นการฝึกเล่นโขนที่เฉลิมกรุงอยู่ เพราะตอนนี้ผมเล่นอยู่ที่นี่ที่เดียว ยังไม่ได้เป็นอาชีพที่ไปเล่นที่โน่นที่นี่ ผมต้องฝึกอยู่อีกเยอะ ความรู้ยังน้อยอยู่

  • วันนี้ คนไทยกับโขน ค่อนข้างจะมีช่องว่างอยู่ โขนต้องเป็นคนสูงอายุถึงจะดูเท่านั้น ตรงนี้คุณมองแบบนั้นไหม หรือตอนคุณแสดงมีคนรุ่นใหม่เข้ามาดูบ้างไหม

ถูกต้อง ส่วนใหญ่ก็จะเป็นอย่างนั้น คนมีอายุจะไปดูโขน กับเด็กเล็กๆ ก็จะไปดู คนรุ่นใหม่ไม่ค่อยมี ผมเข้าใจว่าเพราะเป็นเรื่องโบราณสำหรับคนยุคนี้ เราน่าจะชอบอะไรที่มันใหม่ๆ เขาจะชอบวัฒนธรรมเกาหลี อเมริกา โขนเป็นอะไรที่โบราณ จังหวะช้า ดูไปนานๆ มันจะช้าๆ โขนอาจจะไม่ใช่ Passion ของวันนี้

  • แต่คุณก็ยังเล่นอยู่นะ ?

ใช่ (ยิ้ม) แต่ถ้าจะเปลี่ยน ผมว่าน่าจะให้ความรู้กับคนไทย ให้คนไทยมีโอกาสไปดูโขน ตั้งแต่เด็กต้องพาเขาไปดูเมื่อมีโอกาส เขาก็จะเข้าใจ มีเปิดเป็นวิชาพิเศษเกี่ยวกับนาฏศิลป์ และต้องให้มีทีวีน่าจะมีแสดงโขนทุกอาทิตย์ให้ดู เพื่อให้มีความรู้ และความเข้าใจให้กับคนดู แต่ที่ผ่านมาถ้าเป็นงานใหญ่ๆ จะมีคนสนใจเยอะนะ ทุกคนอยากไปดู ตรงนี้ผมว่าก็เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยโขนแล้ว มันแสดงให้เห็นว่าถ้ามีอะไรที่สวยงาม มีอะไรให่มๆ ใส่เข้าไปคนที่อยู่สมัยนี้ก็จะเกิดความรู้สึกรักโขนได้

  • ต้องประยุกต์เทคนิคหรือวิธีการให้เข้ากับยุคสมัย ?

เหมือนโอเปร่าที่บ้านผมน่ะครับ โอเปร่าไม่ได้เป็นอย่างสมัยก่อน วันนี้โอเปร่าเปลี่ยนแล้ว มีเทคโนโลยี มีฉากอลังการมาก โขนในอนาคตจะเป็นอย่างนี้หรือเปล่า ผมไม่รู้ แต่จะต้องทำยังไงก็ตามให้โขนยังอยู่

  • ได้ข่าวมาว่า ที่คุณเรียนเกี่ยวกับนาฏศิลป์ก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่โขนใช่ไหม

ครับ เราก็ต้องรู้เรื่องการแสดงแบบต่างๆ ที่มีอยู่ในประเทศไทยด้วย

  • เหมือนกับว่า โขนตอนนี้คล้ายเป็นเมล็ดพันธุ์ที่กำลังแตกหน่ออยู่ในตัวคุณ และนำไปสู่ความรู้แขนงอื่นๆ ต่อ ?

ถ้าเราอยากเข้าใจโขนชัดเจนก็ต้องเข้าใจสังคมไทย ต้องเข้าใจประวัติศาสตร์ของไทย ต้องเข้าใจหลายๆ อย่าง ต้องมีความรู้เยอะ แล้วก็จะเข้าใจโขนจริงๆ (เหมือนต้องเป็นคนไทยเลยนะ) (ยิ้ม) ครับ ก็รู้สึก... คือ ถึงผมจะไม่ใช่คนไทย แต่ผมก็รู้สึกเหมือนอยู่ได้ด้วยความเคารพ ผมเคารพพระเจ้าอยู่หัวฯ ผมเคารพครูบาอาจารย์ ตอนครอบครูนี่ผมเกิดคำถามขึ้นเยอะแยกมากมาย ทำไมเราข้ามอุปกรณ์หลายๆ อย่างไม่ได้ ทำไมเราทำแบบนั้นไม่ได้ ทำแบบนี้ไม่ได้ มันคือความนบน้อมที่สืบต่อกันมาก เป็นการทำให้เรารู้จักให้เกียรติกัน ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว ทั้งหมดมันเป็นวัฒนธรรมหมด และยิ่งในมุมนาฏศิลป์นี่มันต้องใช้วัฒนธรรมไทยจริงๆ ครูเราต้องดูแลเขา เป็นลูกศิษย์เขา ผมคิดว่าก็เป็นอีกประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้ความเป็นไทยในสมัยก่อน ผมถือว่าโชคดีมากนะ ตั้งแต่แรก ผมได้อยู่สุโขทัย เมืองเล็กๆ แต่สวย สบาย รู้จักทุกคน แล้วก็ได้มาอยู่กรุงเทพฯ ตรงนี้ ก็มีความสุข มีโอกาสมากขึ้น

  • ถ้าไม่ได้อยู่สุโขทัยตั้งแต่แรก ความสนใจของเราก็อาจจะไม่ใช่โขนด้วยหรือเปล่า

อาจจะเรียกว่าเป็นโชคชะตาแน่นอน (ยิ้ม) ที่ให้ผมได้ไปอยู่สุโขทัย ได้ไปเรียนนาฏศิลป์ แล้วก็ได้ย้ายไปอยู่ที่โน่นที่นี่ ได้มีความรู้ต่อยอดเรื่อยๆ มาก ให้ผมพูดภาษาไทยได้ ให้ผมเข้าใจโขนเพื่อที่จะเอาไปบอกต่อกับคนอื่นๆ ทุกอย่างที่ผมเจอ ประสบการณ์ โอกาส แน่นอน ต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกัน และต้องถือว่าโชคดีที่สุด

  • เห็นว่ากำลังมีโครงการจะทำวิจัยเกี่ยวกับโขน ?

ใช่ครับ ตอนนี้กำลังสนใจว่า โขนต้องพัฒนาต่อไปอย่างไรในอนาคตถ้าเราต้องการอนุรักษ์ และให้คนหันมาสนใจมากขึ้น ผมสนใจเรื่องนี้ เพราะจริงๆ โขนพัฒนาเยอะแล้ว จากสมัยอยุธยามาจนถึงวันนี้ ผมสนใจว่า คุณครู ศิลปินแห่งชาติ นักศึกษา มีความคิดเกี่ยวกับโขนอย่างไร หรือต้องพัฒนาอย่างไรให้คนไทย หรือฝรั่งสนใจโขนมากขึ้น แต่อย่าให้เปลี่ยนมากเพราะต้องอนุรักษ์ศิลปะเอาไว้ด้วย ตอนนี้กำลังเริ่มบทแรกอยู่ (ยิ้ม) จริงๆ แล้วคนไม่สนใจจริงหรือเปล่า จริงๆ เขาอาจจะสนใจก็ได้ แต่ยังไม่มีโอกาสดู

  • เมื่อมองสถานการณ์ของโขนที่ประเทศไทยที่มีทั้งช่องว่าง และความสนใจก็เริ่มน้อยลง แต่คุณก็ยังเชื่อมั่นว่าคุณต้องการเป็นนักแสดงอาชีพ และสามารถเลี้ยงชีพด้วยการแสดงโขนได้ อะไรที่ทำให้คุณเชื่อแบบนั้น

(หัวเราะ) ผมคิดว่าน่าจะช่วยได้ ผมอยากช่วยโขนให้ดังขึ้น ให้มีคนสนใจมากขึ้น ผมอยากให้คนไทยคิดว่า ถ้าฝรั่งมาอยู่ที่นี่แล้วก็เรียนโขนได้ คนไทยก็ต้องทำได้ ผมทำได้ ผมมาจากแคนาดาอ้อมโลกมาอยู่ที่นี่ ย้ายบ้าน มาเล่นโขน ถ้าผมทำได้ นั่นแสดงว่า คนไทยที่อยู่ที่นี่อยู่แล้วก็ต้องทำได้ ให้มีความรู้เฉยๆ ก็ได้ ก็พอ

  • วันหนึ่ง ถ้าคุณเรียนจบจะเอาโขนกลับไปเปิดสอนที่แคนาดาไหม

ผมไม่ได้คิดแบบนั้น โอเค ถ้าผมกลับไปเอาโขนไปเผยแพร่ที่โน่น คนก็อาจจะสนใจ แต่ตอนนี้ผมไม่ได้คิดแบบนั้น ง่ายๆ ตอนนี้ผมเรียนโขนตัวลิง ถ้าผมไปแคนาดาผมต้องสอนตัวพระ ตัวยักษ์ ต้องรู้ทั้งหมด ซึ่งตอนนี้ผมยังทำไม่ได้

  • สิ่งที่ยากที่สุดในการเรียนสำหรับคุณคืออะไร

บทโขนครับ ท่ารำฝึกได้ ถ้าพยายามก็น่าจะได้ แต่บทโขนต้องเรียน มีคำมีราชาศัพท์ที่ต้องรู้ว่า คำนี้แปลว่าอะไร และจังหวะการร้องนั่นยากมาก ผมไม่ร้องเพลงอยู่แล้ว นี่ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ (หัวเราะ)

  • ในคาแรคเตอร์ตัวละครลิงทั้งหมด ชอบตัวไหนเป็นพิเศษ

จริงๆ ผมอยากเล่นนิลพัท เพราะเขาเท่มาก ได้สู้กับหนุมานด้วย (ยิ้ม) แล้วก็เก่งเท่ากับหนุมานเลย หรือหนุมานทรงเครื่องก็ชอบ ก็เท่ เพราะต้องใช้ลีลายักษ์เอาผสมกับลีลาลิง ต้องดูเท่ๆ ต้องดูหล่อ แต่ก็ต้องดูเป็นลิงด้วยเหมือนเป็นเด็กในชุดผู้ใหญ่ พวกนี้ต้องใช้เวลาฝึกอีกนาน ตอนนี้ผมยังเล่นไม่ได้ (หัวเราะ) นั่นคือที่อยากเล่น มันเป็นความท่าท้าย แต่ถ้าชอบจริงๆ ตอนนี้ผมได้เล่นเป็นนิลนนท์ ก็ชอบตัวนี้ก็ได้ (หัวเราะ) ผมต้องดูลีลาเขา ต้องดูว่าเขาทำอะไรได้บ้าง ต้องทำความเข้าใจตัวนิลนนท์ เพราะเขาออกน้อยด้วย ไม่ค่อยเห็นในชุดเล็ก หรือถ้าชอบจริงๆ ก็สุครีพ คาแร็กเตอร์เขาจะเหมือนพี่ มีคุณธรรม เพราะเขาต้องดูแลเยอะ แล้วก็ต้องเก่งด้วย หนุมานก็เก่ง แต่ติดตรงเขาเป็นคนใจร้อน แต่สุครีพจะสุขุมกว่า.