เส้นทาง...ล้อมเขื่อนศรีฯ

เส้นทาง...ล้อมเขื่อนศรีฯ

ถ้าถามว่าไปเที่ยวที่ไหนแล้วคุ้มสุด ผมว่าเมืองกาญจน์นี่แหละครับที่จะเป็นหนึ่งในคำตอบแรกๆ ของคนอยากเที่ยว

ยิ่งคนอยู่ในกรุงเทพที่นิยมการขับรถเที่ยวด้วยแล้ว ที่นี่ไม่ไกลมากและที่เที่ยวสวยคุ้มค่า คราวนี้ก็เช่นกัน เบื่อๆ รถติดตอนเย็นในกรุงเทพ ไม่รู้จะทำยังไงดีเลยเผ่นไปเมืองกาญจน์ดีกว่า

จากสามแยกเลี่ยงเมือง ผมตรงดิ่งมุ่งหน้า อ.ศรีสวัสดิ์ ผ่านบ้านหนองหอย ซึ่งแต่ก่อนสมัยบ้านเรายังมีการทำไม้ ตรงนี้เป็นด่านตรวจของป่าไม้ ด่านถาวรก็ว่าได้ เขาเรียกด่านหนองหอย ใครเข้าทุ่งใหญ่ ไปคลิตี้หรืออะไรมาผ่านตรงนี้หมด ผ่านเขื่อนท่าทุ่งนา ที่เป็นเขื่อนลูกของเขื่อนศรีนครินทร์ แล่นเลียบภูเขาไปจนผ่านหน้าหน่วยพิทักษ์ป่าลำสะด่อง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ ที่เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งแรกของประเทศไทย

หน่วยนี้จะมีลำห้วยสะด่องคั่นกลาง อีกฝั่งหนึ่งเป็นศูนย์ศึกษาธรรมชาติเขาน้ำพุ นักเรียนนักศึกษามักมาเข้าค่ายเรียนรู้ธรรมชาติกันที่นี่ จากหน่วยห้วยสะด่องนี่เข้าไปข้างในอีกราว 9 กม. จะเป็นหน่วยพิทักษ์ป่าสลักพระ ป่าที่นี่เป็นป่าสมบูรณ์ ในอดีตบรรดาพรานป่ารุ่นเก่าล้วนรู้จักทุ่งนามอญ ป่าสลักพระทั้งนั้น ทำเลในนิยายเพชรพระอุมาหลายต่อหลายฉาก ผู้ประพันธ์มีป่าผืนนี้เป็นต้นแบบ ที่นี่สัตว์ป่าชุกชม ที่มีข่าวบ่อยๆ คือช้างที่ออกมากินพืชไร่ชาวบ้านรอบๆ แนวเขต จนทางการต้องเอารั้วไฟฟ้าไปล้อมเพื่อตัดปัญหา

ท่านผู้อ่านคิดดูว่าเจ้าของบ้านที่เคยอยู่ในบ้านตัวเอง มาวันนี้ถูกขังล๊อคกุญแจให้อยู่แต่ในห้อง มันจะอึดอัดและช้ำใจเพียงใด เขาออกไปเมื่อหิว ไม่ได้ออกไปหามาเพื่อสะสมเหมือนคน สิ่งที่คนภายนอกเราจะช่วยกันได้ก็คือ ไปทำให้ห้องที่ช้างและสัตว์ป่าอยู่นั้น มีอาหาร มีแหล่งน้ำเพียงพอ เขาจะได้ไม่ออกไปข้างนอกให้คนกล่าวหาว่าเป็นตัวทำลาย ขอเชิญเลยนะครับ หน่วยงาน ห้างร้านไหนสนใจผมป่าวประกาศแทนช้างมาตรงนี้เลย

จากศูนย์ฯเขาน้ำพุไปไม่นานก็เจอทางแยกหน้าเขื่อนศรีฯ แต่ผมยังคงตรงไปมุ่งหน้าไปศรีสวัสดิ์ แล่นเลียบอ่างเก็บน้ำของเขื่อนศรีนครินทร์ ที่เส้นทางให้บรรยากาศเหมือนขับเที่ยวไปทางภาคเหนือ ต้นไม้สองฝั่งทางร่มรื่น บางครั้งเห็นคนมาตั้งแคมป์ชายน้ำ นั่งตกปลา จนนึกอิจฉา แล่นไปตามทางไม่นานก็จะถึงตำบลท่ากระดาน ชุมชนนี้อพยพมาตั้งแต่ครั้งสร้างเขื่อนศรีนครินทร์ พื้นที่บางส่วนต้องกันจากพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระมาให้ชาวบ้านอยู่

จากหมู่บ้านที่เคยอยู่ในที่ลุ่มริมน้ำแคว ต้องอพยพหนีน้ำขึ้นมาอยู่บนภูเขา ชาวบ้านเลยทำกินไม่ค่อยได้ ปลูกพืชไร่ดินก็ไม่ดี แต่เดี๋ยวนี้มีคนมีเงินมาไล่ซื้อที่ทำเป็นไร่ บ้างก็มากว้านซื้อปลูกยางพารา ในระบบทุนนิยมที่เข้มแข็งและอำนาจรัฐอ่อนแอแบบนี้ ชาวบ้านไม่ได้รับการปกป้อง จากคนเคยเป็นเจ้าของที่ดิน ก็มากลายเป็นลูกจ้างในที่ดินของตัวเอง บางคนก็กลายเป็นคนรับจ้างรายวัน ค่าแรงวันละ 300 บาทนั้นอย่าหวังที่นี่ แต่ได้ใช้ข้าวของในราคาที่แพงขึ้นอย่างถ้วนทั่ว

ที่บ้านท่ากระดานตอนนี้เขาค้นพบแหล่งฟอสซิลเนื้อที่ 12 ไร่ กรมทรัพยากรธรณีมาขุดค้นพบ และมีแผนการจะทำเป็นแหล่งท่องเที่ยวให้ชาวบ้าน เรื่องนี้เคยเป็นข่าวไปเมื่อปีก่อนแล้ว เพราะบริเวณที่ว่านี้เป็นเหมือนสวนหินที่มาอยู่ในบริเวณเดียวกัน บังเอิญเจ้าหินพวกนี้ แต่ละก้อนมีฟอสซิลพวกนอติลอยด์ ซึ่งเป็นต้นตระกูลของหมึกในปัจจุบัน ที่นี่จะเห็นช่องในลำตัวที่เป็นต้นแบบของห้องอับเฉาของเรือดำน้ำในปัจจุบันอย่างชัดเจน แล้วไม่ได้มีตัวเดียวครับ มีเยอะมาก กระจายกันอยู่ทั่วฝังตัวอยู่ในก้อนหิน

อีกอย่างก็คือ สาหร่ายดึกดำบรรพ์ ปรากฏรูปร่างคลุมก้อนหินจนดูเป็นตาข่าย ผมเคยคุยกับนักธรณีว่า สมัยที่โลกเราออกซิเจนยังน้อยก็ได้สาหร่ายเหล่านี้มาสร้างออกซิเจนขึ้นมาในยุคแรกๆ แล้วก็มีซากหอยซึ่งผมยังไม่รู้ว่าคืออะไร ขึ้นบนหินจนดูด่างไปหมด พวกนี้นักธรณีเขาประเมินว่ามีอายุราว 450 ล้านปีก่อน ตอนนี้กรมทรัพยากรธรณีเพิ่งขุดค้นเสร็จไม่นาน เข้าใจว่าจะเข้ามาจัดภูมิทัศน์ ทำป้ายบอกเล่าเนื้อหาอย่างถาวรในอีกไม่นาน ใครผ่านไปก็ไปแวะดูได้ครับ 12 ไร่ นี่เดินดูกันจนเพลินเชียวแหละ ไปไม่ยากถึงบ้านท่ากระดานถามใครรู้กันหมด

จากบ้านท่ากระดานก็ขับรถมาเรื่อยๆ สองฝั่งทางนี้ร่มรื่น ทิวทัศน์แปลกตา ก่อนถึงอำเภอศรีสวัสดิ์จะเห็นป้ายแหล่งภาพเขียนโบราณบ้านโป่งหวาย เลี้ยวรถขึ้นเขาไปราว 500 เมตร จากนั้นก็เดินเท้าขึ้นไปตามทางชันพอได้เหงื่อ จนถึงหน้าผาจึงเดินเลียบบันไดอ้อมเขาไปจนถึงหน้าผาอีกด้าน ก็จะเห็นรูปภาพเขียนสีบนหน้าผาหินค่อยข้างชัดเจน คาดคะเนโดยสายตา รูปภาพน่าจะราวๆ ฟุตเศษๆ เป็นรูปคนหลายคนที่มีลักษณะการแต่งตัวแปลกๆ มีการสวมเครื่องประดับหัว วาดด้วยสีแดง ภาพยังคงคมชัด ภาพนี้ผมเคยเห็นแต่ในหนังสือ ก็เพิ่งมามีโอกาสดูของจริงคราวนี้นี่เอง เรื่องภาพวาดโบราณนี้ผมอยากชวนให้ผู้อ่านมาศึกษากัน เพราะเป็นอะไรที่สนุก มีเรื่องราวให้เราศึกษากันเยอะแยะ เอาไว้วันหลังผมจะค่อยๆ ปล่อยมาเท่าที่เนื้อที่จะมีให้ วันนี้มาเล่าถึงทำเลที่ตั้งกันก่อน

อันที่จริง ถนนเส้นนี้ท่านผู้อ่านจะแล่นเลียบไปเรื่อยๆ ผ่าน อ.ศรีสวัสดิ์ แล้วขึ้นภูเขาสูงไปออกที่ อ.บ่อพลอย ทางอุทยานฯถ้ำธารลอดก็ได้ ทางมันเชื่อมกันหมด แต่ครั้งนี้ผมจะตีอ้อมแม่น้ำแคว โดยการเอารถลงแพขนานยนต์ที่ชาวบ้านย่านนี้เรียก “เท้ง” ข้ามไปยังฝั่งน้ำตกแม่ขมิ้น สมัยแรกสร้างเขื่อนศรีนครินทร์ ทางเลียบขอบอ่างฝั่งถ้ำพระธาตุนั้นเป็นอะไรที่ทุลักทุเลมาก ทางสมบุกสมบัน มาข้ามน้ำไปนี่แหละสะดวกสุดแล้ว ไปอีกไม่ไกลก็จะถึงบ้านภูเตย จ่อปากทางเข้าทุ่งใหญ่นเรศวร

การนั่งเท้งข้ามเขื่อนศรีฯ นี่ก็ให้บรรยากาศไปอีกแบบ สบายๆ เห็นน้ำกว้างๆ ก่อนจะไปขึ้นฝั่ง แล้วแล่นรถไปอีกไม่นานก็จะถึงน้ำตกห้วยแม่ขมิ้น ซึ่งไปกี่ครั้งก็ยังสวยงาม น่ากางเต็นท์นอนเป็นที่สุด อาหารการกินพร้อมพรัก ชนิดไม่ต้องหอบอะไรไปทำให้เหนื่อย แล้วเดี๋ยวนี้ทางจากห้วยแม่ขมิ้นมาออกเขื่อนศรีนครินทร์ ลาดยางหมดทั้งสายแล้วครับ ขับรถได้สะดวกมาก จะแวะถ้ำพระธาตุหรือน้ำตกเอราวัณ ก่อนกลับกรุงเทพยังได้เลย

วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ถ้าไม่ติดไปไหน ลองเลือกเส้นทางที่ตีอ้อมล้อมเขื่อนศรีนครินทร์นี้ดูครับ แล้วจะคิดเหมือนผมคือ ไปกี่ครั้งๆ ก็ยังไม่เบื่อสำหรับเมืองกาญจน์