เยือนบ้านฟาร์ม สวีเดน

กลางฤดูร้อนที่สวีเดนที่เรียกว่า "มิดซัมเมอร์" เป็นช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ค้างฟ้าอยู่นานกว่าทุกฤดูในรอบปีของประเทศในแถบสแกนดิเนเวียแห่งนี้
อากาศอุ่นอุณหภูมิต้นสิบองศา ซึ่งทำให้คนในเมืองร้อนอย่างเรา สามารถคลุมตัวด้วยเสื้อยืดและแจ็คเก็ตตัวเบาได้สบายๆ ไม่ถึงขั้นต้องแบกเสื้อขนเฟอร์ฟูฟ่องไปให้หนักกระเป๋า
"สมอแลนด์" เป็นดินแดนที่แทบจะไม่ปรากฏในแผนที่ท่องเที่ยว แต่มันเป็นชื่อที่คุ้นหูขึ้นมา เมื่อ อิงวาร์ เคมพาร์ด (Invar Kampard) กลายเป็นเจ้าของแบรนด์ข้ามชาติ และความพยายามในการเชื้อเชิญคนผ่านทางให้แวะเวียน มายังดินแดนบ้านเกิด ที่เติบโตในหมู่บ้านริมทะเลสาบ เป็นบ้านฟาร์มเล็กๆ ที่ซุกตัวอยู่อย่างสงบเงียบ หลังป่าหินของสวีเดนทางใต้
ช่วงสายแดดอุ่น ในกลางเดือนมิถุนายนปี 2012 ทีมสื่อมวลชนจากประเทศไทย 7 คน ได้หอบหิ้วกระเป๋าเดินทางลงจากเครื่องบินสายการบินไทย บินตรงจากกรุงเทพฯ ไปยัง โคเปนเฮเกน เมืองหลวงของเดนมาร์ก และเช็คเอาท์จากสนามบิน เพื่อต่อรถไฟข้ามชายแดนประเทศไปยังจังหวัดสมอแลนด์ ทางตอนใต้ของสวีเดน และปลายทางคือ อำเภอ อัมฮุล์ท (Almhult )เขตเทศบาลเมืองที่เปรียบเสมือนเมืองหลวงของจังหวัดสมอแลนด์ และเป็นแหล่งที่ตั้งของสโตร์แห่งแรกของอีเกีย (เปิดตั้งแต่ปี 1958) ที่เปิดทำการตั้งแต่ปี 1958
อันที่จริง การเดินทางสามารถบินตรงไปลงเมืองหลวงของสวีเดน สต็อกโฮล์ม ที่อยู่เหนือสมอแลนด์ไปอีก 4 ชั่วโมงได้ แต่การแวะลงที่โคเปนเฮเกน เพื่อนั่งรถไฟไปในเวลาไล่เลี่ยกันถึงเมืองทางใต้นั้น เป็นเหตุผลเรื่องเส้นทาง เมื่อทริปนี้จะไปสิ้นสุดกันที่สต็อกโฮล์ม จึงไม่จำเป็นที่จะต้องนั่งรถไฟย้อนไปย้อนมา แต่เป็นการเดินทางจากแดนใต้ของสองประเทศทวีปสแกนดิเนเวียสู่เมืองทางเหนือ
เมื่อรถไฟสายที่ข้ามสะพานข้ามทะเลอันเลื่องชื่อ พาเรามุ่งหน้าจากโคเปนเฮเกนถึงสมอแลนด์ และลงสถานี Almhult ซึ่งเป็นสถานีเล็กใกล้เคียงกับหัวหินบ้านเรา และลากกระเป๋าเดินเท้าไปอีก 500 เมตร จากสถานีรถไฟ ก็ไปถึงโรงแรมที่พัก เป็นโรงแรม Vardshuset IKEA Hotel สร้างตั้งแต่ปี 1964 อยู่ในพื้นที่ตรงข้ามสโตร์แห่งแรกของ IKEA และแน่นอนโรงแรมแห่งหนึ่งเป็นทรัพย์สินของอาณาจักรธุรกิจ อิงวาร์ เคมพาร์ด ด้วย
โรงแรมเล็กชั้นเดียวที่สร้างตั้งแต่ปี 1964 แห่งนี้ เป็นฟังก์ชันพักค้างคืนแบบเรียบง่าย ต้อนรับผู้มาเยือนเมืองนี้ ซึ่งประชากรที่อาศัยอยู่ส่วนใหญ่เป็นพนักงานของบริษัทด้วยเช่นกัน
แต่นอกจาก การนำเสนอขายสินค้าไอเดียดีไซน์แล้ว เรื่องราวของท้องถิ่นสมอแลนด์ ก็ดูจะเป็นตำนานไม่แพ้กัน
เนื่องจากภูมิประเทศของสมอแลนด์ถือว่า "กันดาร" มาก อาจจะถือว่ากันดารที่สุดในสวีเดนเลยทีเดียว เพราะพื้นที่แทบจะเพาะปลูกไม่ได้ มี "โขดหิน" ฝังอยู่ตามพื้นที่ราบสลับกับทุ่งหญ้า (meadow) ชาวสมอแลนด์ในอดีต ต้องออกแรงขุดเอาโขดหินเหล่านั้น เพื่อแปลงพื้นที่ให้เป็นที่ราบในการสร้างที่อยู่และเลี้ยงสัตว์ได้
โขดหินเหล่านั้นจะถูกนำมาสร้างเป็นสะพานขนาดเล็กเชื่อมต่อจุดที่ลุ่มเพื่อเชื่อมถนนจากหมู่บ้านสู่หมู่บ้าน ในเขตจังหวัดสมอแลนด์ และ อิงวาร์ เคมพาร์ด เองก็ผ่านชีวิตที่ยากลำบากในแดนทุรกันดารแห่งนี้ จนเมื่อบริษัทของเขาเติบโตจนมีอาณาจักรของตัวเองที่อัมฮุล์ท กำแพงจากโขดหินเหล่านั้น จึงกลายเป็นทั้งสัญลักษณ์แห่งการก่อร่างสร้างตัว และเป็นหมายเหตุทางวัฒนธรรม แสดงตัวตนและรากเหง้าของแบรนด์ที่เขาสร้างมาด้วย
ออกไปจาก เมืองอัมฮุล์ท ที่เป็นเหมือนนิคมอุตสาหกรรมขนาดเล็ก ผู้มาเยือนในกลางซัมเมอร์ จะถูกเชิญชวนให้ไปยังสถานที่สำคัญของจังหวัดสมอแลนด์อีกแห่งหนึ่ง นั่นคือ หมู่บ้าน Agunnaryd (อากุนนาริด) ตั้งอยู่ริมทะเลสาบ Mocklen ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัดสมอแลนด์
หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านแบบที่เรียกว่า farm house มีโรงนา เลี้ยงไก่ เลี้ยงวัวและเลี้ยงม้า และบ้านเก่าแก่ในสไตล์ดั้งเดิมตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 18 ได้รับการอนุรักษ์ไว้ ตามเจตจำนงของเจ้าของบ้าน
และในบ่ายแดดใสของวันที่ 14 มิถุนายน เราได้เยือนบ้านฟาร์มแห่งนั้น
เยี่ยมบ้านฟาร์มริมทะเลสาบ
ในบ้านฟาร์ม Mars Holm ตั้งอยู่ในหมู่บ้าน Agunnaryd ริมทะเลสาบ Mocklen เป็นมรดกตกทอดของคนในตระกูล Heurlin ซึ่งเจ้าของบ้าน ชื่อ เอริก เออร์ลิน ผู้เสียชีวิตเมื่อปี 1959 ได้ระบุในพินัยกรรมให้ตั้งมูลนิธิ Heurlinska Foundation เพื่อดูแลรักษาบ้านฟาร์มแห่งนี้ ซึ่งมีบ้านหลังใหญ่จัดเป็นกึ่งพิพิธภัณฑ์ จัดวางข้าวของเครื่องใช้ดั้งเดิมของเจ้าของบ้าน (คนสุดท้ายที่มีชีวิตอยู่คือ เอริก เออร์ลิน) พร้อมรูปถ่ายสมาชิกในตระกูลเออร์ลิน สืบสายมาจาก แม่บ้าน เอมิลี่ เออร์ลิน ซึ่งถือเป็นแม่ใหญ่แห่งบ้านนี้ และข้าวของเครื่องใช้ กระทั่งเก้าอี้โยกข้างเตาผิง และ หูกทอผ้า ในสมัยก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรป และจักรเย็บผ้า ของศตวรรษที่ 17 ยังตั้งอยู่บนชั้น 2 ของตัวบ้าน เพื่อเป็นวิทยาทานให้แก่ผู้มาเยือน
บ้านฟาร์มของตระกูล Mars Holm บริหารงานโดย มูลนิธิ Heurlinska Foundation โดยคนท้องถิ่นนั้น เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมประจำหมู่บ้าน อากุนนาริด แม้ชื่อเสียงของตระกูล Heurlinska สำหรับโลกสมัยใหม่จะไม่โด่งดังเท่า เคมพาร์ด แต่รูปแบบของบ้านและโรงนา คอกม้า เล้าไก่ ถือเป็นแบบเดียวกับบ้านอิงวาร์ เคมพาร์ด ซึ่ง(ว่ากันว่า)ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามของทะเลสาบ คุณแอนเดรียส พนักงานคนหนึ่งของอิงวาร์และเป็นคนท้องถิ่นเนื้อแท้ของสมอแลนด์ ได้ช่วยเล่าให้คนไปเยือนฟังว่า บ้านฟาร์มของอิงวาร์ก็มีลักษณะเดียวกัน ต่างกันเพียง "ความใหญ่โตของพื้นที่และตัวบ้าน" เพราะ Mars Holm แห่งนี้ถือว่าเป็นบ้านฟาร์มของผู้มีอันจะกิน ในถิ่นนี้เลยทีเดียว
ส่วน ความสำคัญของหูกทอผ้าและจักรเย็บผ้าโบราณ ที่ตั้งแสดงบนชั้นสองของ Mars Holm เป็นการสะท้อนวิถีชีวิตของ "ผู้หญิง" ในบ้านหลังนี้ ซึ่งตัวแทนนำชมบ้านจากมูลนิธิฯ ได้เล่าว่า ในฤดูหนาวที่ยาวนานของสวีเดนนั้น ทะเลสาบ Mocklen หน้าบ้านจะกลายเป็นแผ่นน้ำแข็ง ความเงียบและความมืดปกคลุมทั้งหมู่บ้าน การเดินทางยากลำบาก และความเหน็บหนาว ทำให้นายหญิงในบ้านนี้ ลงมือทอผ้าทั้งสำหรับสวมใส่และสำหรับใช้แต่งบ้านบนบ้านนั่นเอง
คุณนายเอมิลี่ เป็นเจ้าของอุปกรณ์และผลงานทอผ้าที่ตั้งแสดง เธอเป็นผู้มีฝีมือที่ได้รับการยอมรับยกย่องในสมัยต้นศตวรรษที่ 20 ด้วย (เธอเสียชีวิตในปี 1926)
บ้านน้อยหลังนี้ ยังเก็บเครื่องเรือนเก่าแก่ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเล่นแผ่นเสียง ไปจนถึงห้องครัวแบบโบราณ และ "เครื่องทำความร้อน" ที่เป็นการติดตั้งถาวร คล้ายเตาผิงทรงกลมที่มุมห้อง ในชั้นล่างของบ้าน ที่เป็นมรดกตกทอดจากสองศตวรรษก่อนด้วย
ตามประวัติของบ้านฟาร์ม Marsholm ที่เป็นพื้นที่เพื่อสาธารณประโยชน์ในชุมชนนี้ปัจจุบัน ตระกูล Heurlin ผู้ครอบครองตระกูลสุดท้าย ได้เริ่มปักหลักที่บ้านนี้มาตั้งแต่ปีค.ศ. 1819
แม้ในปี 2012 จะไม่มีผู้อาศัย แต่บ้าน Mars Holm มีทีมผู้ดูแลบ้าน ดูแลเล้าไก่ ดูแลคอกม้า และดูแลโรงนาที่ถูกแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น จัดแสดงอุปกรณ์เครื่องมือในการเกษตร รวมไปถึง รถม้าโบราณ ที่ชาวบ้านใช้เป็นพาหนะ และคนระดับเจ้าบ้านใช้สำหรับงานพิธีต่างๆ รวมถึงรถม้าบรรทุกศพ
คุณแอนเดรียส เล่าว่า ม้าขาวในทุ่งหญ้าหน้าบ้าน หันหน้าชมทะเลสาบนั้น ในยุคก่อน ถือว่าเป็นการเลี้ยงเพื่อความพึงพอใจของผู้มีฐานะ นอกเหนือจากม้าที่ใช้เป็นพาหนะ เดินทางลัดเลาะป่าออกสู่เมืองด้วย ทางเข้าบ้านหลังนี้ต้องให้ม้าและวัวว่ายตามเรือล่องผ่านแม่น้ำเข้ามา ก่อนจะมีการสร้างสะพานในต้นศตวรรษที่ 20
ในส่วนของอาคารหลังน้อยที่เป็น บ้านไม้แดง (redwood House) ที่ถือเป็น เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของบ้านชาวสวีเดน มี "ห้องน้ำ" แบบโบราณ ไว้ให้ผู้มาเยือนได้ย้อนเวลา ไปสัมผัสประสบการณ์ของชาวบ้านอากุนนาริดในสมัยก่อน เป็นห้องส้วมแบบขุดหลุม และมีที่นั่งเป็นเหมือนโต๊ะไม้เจาะเป็นรูปวงรีคล้ายโถชักโครก แต่เบื้องล่างไม่ใช่หลุมสำหรับราดน้ำ การชำระล้างหลังปล่อยเบาหรือปล่อยหนัก จะใช้ "ดิน" เทกลบลงไป (ขออภัยไม่รูปประกอบให้ท่านชม) และการใช้งานต่อๆ กันก็คือการใช้ดินร่วนกลบทับลงไปเรื่อยๆ นั่นเอง
กิจกรรมเยี่ยมชมบ้านที่ล่วงเลยไปถึงการจัดอาหารมื้อค่ำพิเศษ (เฉพาะกลุ่มที่ไปเยือน) เป็นส่วนหนึ่งของการสาธิตวัฒนธรรมท้องถิ่นนั่นคือ อาหาร เริ่มจากการจัดอาหาร ซัลมอนรมควันตัวโต อาหารสามัญของที่นี่ แล้วจานเด็ดที่คนต่างถิ่นถูกชวนให้ลิ้มลอง คือ อาหารรองท้อง ที่เป็น มีทบอล จากเนื้อกวางและเครื่องดื่มไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ อย่าง น้ำลิงกอล์นเบอรี่ ซึ่งเป็นลูกไม้รสเปรี้ยวอมหวานสีม่วงเข้มออกแดง (แดงกว่าบลูเบอรี่เล็กน้อย) ที่ให้ความรู้สึกสดชื่นในยามแดดบ่าย(แสงสว่างของกลางวันที่นี่ มียาวนานเกือบทั้งคืนเลยทีเดียว)
ก่อนจะเป็นเครื่องดื่มในมื้อค่ำ ที่ถูกนำเสนอว่า รสเข้ม ที่เรียกว่า ชแนปส์ ( Schnapps) เปรียบเป็นเครื่องดื่มประจำชาติอย่างไม่เป็นทางการของสวีเดน (เทียบได้กับ วอดก้า กับรัสเซีย หรือ ไวน์กับฝรั่งเศส หรือเหล้าขาว 40 ดีกรีของไทย) เป็นเครื่องดื่มในมื้ออาหารวันรื่นเริง ไม่ว่าจะเป็นปาร์ตี้กันเองในกลางฤดูร้อน หรือช่วงเทศกาลคริสต์มาส
แต่ในวันที่เราไปเยือน นอกจากจะดื่มแบบหนึ่งช็อต ควบคู่กับอาหารจานหลักแล้ว คุณแอนเดรียส (คนเดิม) ชาวถิ่นสมอแลนด์ เล่าว่า ชาวบ้านชาวเมืองนี้ มีสูตรผสม(นิยม)ดื่มชแนปส์ผสมกาแฟดำหย่อนน้ำตาลหนึ่งก้อน ผสมลงบนจานรองถ้วยกาแฟ ยกซด จะได้อรรถรสในหน้าหนาวอย่างมาก แต่ไม่แนะนำสำหรับผู้ไม่คุ้นเคย เนื่องจากเป็นการผสมแอลกอฮอล์ที่มีฤทธิ์แรงและคาเฟอีน
คุณแอนเดรียส ยังพยายามตอกย้ำว่า ความแรงของเครื่องดื่มกับความอึดของคนดื่ม เป็นจิตวิญญาณของคนท้องถิ่นกันดารอุดมด้วยโขดหินกลางป่าเหล่านี้ด้วย
หลังมื้อค่ำ มีนักร้องเป็นเยาวชนในท้องถิ่นกับกีตาร์โปร่ง ที่มาร้องเพลงพื้นเมืองให้คนต่างถิ่นฟัง และตบท้ายด้วยเพลงป๊อปร่วมสมัยในภาษาสวีดิช ก่อนอำลาบ้านฟาร์มหลังทะเลสาบ คืนสู่ที่พักในเมืองอัมฮุล์ท ซึ่งแสงกลางวันที่ยังคงแสดงตัวไปจนถึงหลังเที่ยงคืน ทำให้บรรยากาศเงียบงันตัดผ่านป่าริมทะเลสาบ ไม่ดูเหน็บหนาวและวังเวงเกินไป
ปัจจุบัน มีคณะกรรมการบริหารมูลนิธิ 5 คน ที่จะคอยดูแลกิจการสาธารณประโยชน์ของบ้าน Marsholm และรายได้ที่ได้จากกิจกรรมใดๆ จะมอบให้แก่โบสถ์ประจำเมือง และช่วยเหลือนักเรียนในท้องถิ่นอากุนนาริดส์ (สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ บ้านฟาร์มในอากุนนาริด ดูรายละเอียด(ภาษาสวีดิช) ทาง http://visitagunnaryd.se)







