านี้ที่...สาเกตุนคร

านี้ที่...สาเกตุนคร

เช้าๆ ในตัวเมืองหลายแห่ง มักจะพลุกพล่านด้วยรถรา โดยเฉพาะย่านตลาด แต่เช้าในตัวเมืองร้อยเอ็ดที่ได้มาเห็น ดูมันสงบ ถนนออกโปร่งๆ

ไม่ค่อยมีรถราเท่าไหร่ อาจจะมีบ้างก็แถวหน้าโรงเรียนต่างๆ ในเมืองเท่านั้นที่ดูคนจะหนาตาหน่อย ความไม่พลุกพล่าน การเป็นเมืองที่โปร่งโล่งสบายนี่เอง ที่ทำให้คนเมืองใหญ่อย่างผมอดคิดไม่ได้ว่า ที่นี่น่ามาอยู่ หรือเพียงมาสัมผัสความสงบสักช่วงเวลาหนึ่ง...

บึงพลาญชัย ใจกลางเมืองนั้นเดิมคงเป็นบึงธรรมชาติที่ทำให้มีผู้คนสมัยก่อนตัดสินใจสร้างบ้านแปงเมืองกันที่นี่สืบทอดมาเรื่อยๆ มาในสมัยที่มีข้าหลวงไปปกครองก็เลยมีการขุดลอกบึงนี้ใหม่อีกครั้ง สภาพปัจจุบันของบึงพลาญชัยจึงเป็นทั้งสวนสาธารณะ เป็นทั้งที่ตั้งศาลหลักเมืองและเป็นเหมือนใจกลางเมือง เพราะสถานที่สำคัญๆ อย่างสถานีตำรวจ วัดใหญ่ๆ ก็อยู่รอบๆ บึงนี้ทั้งสิ้น

เดี๋ยวนี้เขาทำกลางบึงเป็นเกาะกลาง ปลูกต้นไม้ร่มรื่น มีประตูเข้าออก มียามรักษาการณ์เรียบร้อย บึงน้ำล้อมรอบมีน้ำพุ กังหันน้ำเพื่อเติมออกซิเจน ดูแล้วสะอาดสะอ้าน น่าไปนั่งเล่นทีเดียว ด้านหน้าทางเข้ามีพระบรมรูป รัชกาลที่ 6 ซึ่งมลฑลร้อยเอ็ด ถูกตั้งขึ้นในสมัย ร.6 มีเขตการปกครอง 3 จังหวัดคือร้อยเอ็ด มหาสารคามและกาฬสินธุ์

สิ่งสังเกตอันหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ ที่บึงพลาญชัยนี้จะมีรูปโหวด ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีสำคัญในวงโปงลาง วงดนตรีอีสาน ทำเป็นโหวดจำลองเห็นแต่ไกลในกลางเกาะ ซึ่งในกลุ่มอีสานกลาง 4 จังหวัด เขาจะเอาสัญลักษณ์ เครื่องดนตรีอีสานจังหวัดละชนิดมาเป็นจุดเด่น คือ ขอนแก่น จะเป็นแคนไดโนเสาร์ หรือตัวตุ๊กตุ่น ตุ๊กตาอะไรที่ขอนแก่น เป่าแคนหมด กาฬสินธุ์จะเป็นโปงลาง ใครไปแถววงเวียนในเมืองกาฬสินธุ์จะเห็นโปงลางขนาดใหญ่ อยู่มุมนั้นมุมนี้ทั่วไปหมด มหาสารคามเองจะเป็นกลองเล็กๆ ที่ตีให้จังหวะในวง และร้อยเอ็ดก็เป็นโหวดอย่างที่ว่า ในวงโปงลางจริงๆ เมื่อเครื่องดนตรีทั้ง 4 ชนิดนี้บรรเลงขึ้นพร้อมกันเมื่อไหร่ ก็เตรียมม่วนซื่นโฮแซวได้เลย สนุกสนานกันยันรุ่ง ตามบุคลิกเฮฮา สบายๆ ของคนอีสาน ที่สะท้อนออกมาผ่านท่วงทำนองดนตรี

ร้อยเอ็ดนั้นเป็นเมืองเก่าแก่ตั้งแต่ครั้งอดีต ส่วนชื่อเมืองร้อยเอ็ดนั้นจะมีที่มาที่ไปอย่างไร อย่าไปให้ความสำคัญมากเพราะหลายทฤษฏีเหลือเกิน คนที่พยายามอธิบายที่มาของชื่อก็สันนิษฐานตามเหตุผลและความเชื่อของตัวเองทั้งนั้น แต่ในตำนานอุรังคธาตุ เรียกชื่อเมืองร้อยเอ็ดว่าสาเกตนคร ในความทรงจำงูๆ ปลาๆ ของผมที่ผมรับรู้เกี่ยวกับบทบาทของร้อยเอ็ดคือครั้งกบฏผีบุญ และครั้งสงครามปราบฮ่อ ที่ร้อยเอ็ดมีบทบาทมากทีเดียว

ที่วัดเหนือในตัวเมือง มีเสาศิลาเป็นรูปแปดเหลี่ยมสูงเกือบ 2 เมตร ศิลปะแบบปัลวะของอินเดียตอนใต้ มีอายุราว 1,000 ปีมีคำจารึก ปุณณะมายะ ซึ่งหมายถึงผู้มีบุญสร้างขึ้นหรือสร้างขึ้นจากความใจบุญ อาจจะเป็นหลักเขตศาสนสถาน หรือเขตเมือง ไม่รู้ได้ แต่เป็นสมัยทวาราวดีแน่นอน ทั้งพระอุโบสถเก่าก็มีศิลปะผสมผสาน คำจารึกด้านหน้าเป็นภาษาจีน ด้านหลังมีสถูปโบราณใช้อิฐเก่าก่อสร้าง รวมทั้งใบเสมาเก่าที่เรียงรายรอบพระอุโบสถนี้ ล้วนค้นพบและขุดค้นได้ในตัวเมืองร้อยเอ็ดและย่านวัดเหนือนี้ทั้งสิ้น ร้อยเอ็ดจึงไม่ได้เป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน หากแต่เจริญรุ่งเรืองมาในอดีต ร่วมสมัยกับวัฒนธรรมบ้านเชียงนั่นเทียว

วัดบึงพลาญชัย ที่เห็นโดดเด่นมาแต่รอบบึงนั้น ครั้นเข้าไปในเขตวัด จึงเห็นพระอุโบสถสวยงามและดูสง่า วัดนี้เดิมต้องเรียกว่า พระลานชัย เพราะเป็นลานที่เมื่อนักรบชาวร้อยเอ็ดกลับจากศึกมาถึงบ้านก็จะมาฉลองแล้วใช้น้ำในสระชัยมงคลในเขตวัด ซึ่งเป็นสระโบราณ 1 ใน 5 ของสระศักดิ์สิทธิ์ของเมืองร้อยเอ็ด ล้างเลือด ล้างวิญญาณข้าศึกที่ถูกดาบปลิดชีวิตให้ขาดไปในสระนี้ไม่ฝังติดในดาบศึกนั้นต่อไป เดี๋ยวนี้สระชัยมงคลเขาสร้างหอไตรสมัยใหม่ เป็นหอไตรปูนมีหลายชั้น ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญมากมาย แต่มาวัดนี้ มาเห็นโบสถ์ เห็นวิหารก็สวยสะดุดตาแล้ว

เมื่อ 5-6 ปีก่อน ผมเคยเข้าไปในตลาดเมืองร้อยเอ็ด ยังเคยเห็นอาคารไม้แบบเก่า ด้านหน้าเป็นชานไม้ยาวต่อเนื่องกัน เคยถามชาวบ้าน เขาบอกว่าเดิมเป็นโรงแรม น่าจะเก่าราว 60 ปีนั่นแหละ ไปคราวนี้ก็ไปเดินหา แต่ไม่เห็น ถามไถ่ชาวบ้านเขาบอกรื้อไปแล้ว สร้างเป็นตึกแถวแทน เลยนึกเสียดาย เพราะอาคารไม้เก่าๆ แบบนี้เหลืออยู่ไม่กี่แห่งในประเทศ ยิ่งเป็นอาคารร้านค้าเก่าด้วยแล้ว ถ้าไม่ถูกไฟไหม้ก็ถูกรื้อไปหมด

ไปในเมืองร้อยเอ็ด ต้องไปแวะไหว้พระยืน หรือพระพุทธรัตนมงคลมหามุนี หรือชาวบ้านเรียกหลวงพ่อโต แต่ผมเรียกพระยืน เป็นพระพุทธรูปปางประทานพร สูง เห็นแต่ไกลๆ ถ้าท่านผู้อ่านพักในเมืองร้อยเอ็ด มองจากหลังคาโรงแรมจะเห็นหลวงพ่อโตเด่นเป็นสง่า แต่ถ้าจะถ่ายรูป ควรไปช่วงเช้า เพราะถ้าไปบ่าย แดดจะเข้าทางด้านหลังท่าน ผมนี่ลองมาหมดแล้ว ด้วยความไม่รู้ทิศทางไปซะบ่าย ด้านหน้าท่านมืดสนิท

ในเมืองร้อยเอ็ด เป็นเมืองที่สงบ จนกระทั่งแม้แต่วิถีและวัฒนธรรมก็ไม่โดดเด่นเป็นของตัวเอง ผมเคยไปวิ่งเช้าๆ ที่หนองประจักษ์ อุดร พอสายๆ มาริมบึงมีอาหารสไตล์เวียตนามเป็นเอกลักษณ์ มาร้อยเอ็ด ไม่มีเลย แม้กระทั่งของฝาก ก็ไม่มีขนมอะไรโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของร้อยเอ็ดสักอย่าง อันนี้น่าเสียดาย

แต่ขอให้ออกไปนอกเมือง มุ่งไปพระเจดีย์ชัยมงคล ที่ อ.หนองพอก ที่ตั้งอยู่บนเทือกเขาเขียว ซึ่งเป็นแขนงเล็กๆ ของเทือกเขาภูพาน ผมไม่บอกและไม่บรรยายถึงลักษณะเจดีย์ชัยมงคลแห่งนี้ว่าสวยงามหรือเป็นอย่างไร ท่านผู้อ่านดูรูป แล้วหาโอกาสไปครับ น่าจะเป็นมหาเจดีย์ที่สวยที่สุดในภาคอีสาน ผมไปครั้งแรกเมื่อปี 2540 ตอนนั้นก็ว่าสวยแล้ว แต่ก็ยังมีช่างไปทำนั่นทำนี่ ไปมาล่าสุดก็ยังมีช่างทำอยู่อีก แสดงว่าไม่เสร็จสักที พอๆ กับวัดร่องขุ่นของอาจารย์เฉลิมชัยที่เชียงราย

แต่ยอมรับว่าสวยไปทุกมุมมองจริงๆ เสียแต่นักท่องเที่ยวเรามักลืมตัวว่าเที่ยวเจดีย์อยู่ มักส่งเสียงดังและไม่ค่อยสำรวมอากัปกริยาเท่าไหร่ อันนี้ต้องฝึกกัน จากเจดีย์วัดชัยมงคลนี้ เลยเข้าป่าไปทางด้านหลังพระเจดีย์อีกไม่ไกลจะเป็น วนอุทยานฯผาน้ำย้อย ที่นี่นักท่องเที่ยวแบบแคมปิ้ง ไปกางเต็นท์นอนพักแรมได้ ในช่วงหน้าฝน เช้าๆ อาจเห็นหมอกที่ผาหมอกบ่วายด้วย

เจดีย์ชัยมงคลกับที่วัดป่ากุง (วัดประชาตมวนาราม) ที่ผมจะชวนไปต่อไปนี้ สร้างโดยหลวงปู่สีห์มหาวีโร ซึ่งเป็นพระชื่อดังอีกรูปของภาคอีสาน วัดป่ากุงนี้เป็นวัดป่า ร่มรื่นมาก อยู่ในเขต อ.ศรีสมเด็จ ที่น่าสนใจคือมีพระเจดีย์ สร้างคล้ายๆ กับบุโรพุทโธที่อินโดนีเซีย แต่ที่นี่สร้างด้วยหินสีนวล มีขนาดเล็กและเตี้ยกว่าบุโรพุทโธที่สร้างด้วยหินสีดำ และมีขนาดใหญ่กว่าสูงกว่า แต่ที่นี่สงบร่มรื่นกว่าบุโรพุทโธมาก การเดินชมเจดีย์ที่มีความสงบ เดินชมช้าๆ ทำสมาธิจากการเดินได้สบายๆ

ที่เมืองสาเกตนครนี้ยังมีปราสาทหินสมัยขอมอีกหลายแห่งที่วันหลังจะเอามาเล่าสู่กันฟัง ร้อยเอ็ดอาจไม่ใช่ปลายทาง มักผ่านร้อยเอ็ดไปยังที่ต่างๆ ในอีสาน ด้วยคิดว่าไม่มีอะไรให้ดู แต่ในสายตาผม ร้อยเอ็ดมีอะไรไม่มาก แต่ที่ร้อยเอ็ดมีอยู่นั้น มากเกินกว่าที่เราคาดไว้เชียวครับ