"อุ้มผางคี" ความท้าทายในสายฝน

มองฟ้าเห็นเมฆฝนตั้งเค้ามาแต่ไกล แสงสลัวขมุกขมัวของท้องฟ้าในเมืองหลวงยามนี้ สร้างความกังวลไม่น้อยสำหรับผู้คนที่เตรียมตัวจะออกจากที่ทำงาน
จากการคะเนด้วยสายตา หลังจากนี้ไม่นานน้ำจำนวนมหาศาลคงเจิ่งนองถนนทุกสายที่เจ้าก้อนสีดำนี้เคลื่อนตัวผ่าน
การได้นั่งดูน้ำฝนตกกระทบกระจก ก่อนจูงมือกันไหลเป็นทางยาวลงสู่พื้น น่าจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจเมื่อเวลานั้นมาถึง แต่ตัวเองกำลังเดินทางพร้อมสัมภาระจำนวนหนึ่ง เพื่อมุ่งหน้าสู่ บ้านอุ้มผางคี อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ไปสัมผัสกับความชุ่มชื่นของเม็ดน้ำจากฟากฟ้า ที่ได้ต่ออายุสรรพชีวิตใต้จอฟ้ากว้างของโลกใบนี้
ระยะทางเกือบๆ 700 กิโลเมตรจากกรุงเทพฯ สู่อำเภออุ้มผาง ใช้เวลาเดินทางราว 11 ชั่วโมง เส้นทางอันคดเคี้ยวขึ้นลงตามภูเขาสูงชันตั้งแต่ตาก-แม่สอด และคดเคี้ยวมากขึ้นจากแม่สอด-อุ้มผาง ถนนสายนี้ได้ชื่อว่าเป็น "เส้นทางลอยฟ้า" ที่ท้าทายคนอยู่หลังพวงมาลัยเป็นอย่างมาก แต่เป็นที่น่าเสียวไส้สำหรับผู้โดยสาร ซึ่งบางคนต้องยืดอกพกถุงพลาสติกพร้อมทั้งกินยากันเมารถ เพราะรู้กันดีว่าเส้นทางลัดเลาะไปตามสันเขานั้นเขย่าท้องไส้ให้ปั่นป่วนได้เป็นอย่างดี แต่นั่นก็ชดเชยด้วยความสวยงามของเส้นทางและธรรมชาติที่ยังอยู่ในขั้นอุดมสมบูรณ์รายล้อมอยู่ตลอดเส้นทาง
"อุ้มผาง" เป็นชุมชนใหญ่แห่งสุดท้าย ก่อนสิ้นสุดถนนด้านใต้ของจังหวัดตาก ถนนเส้นนี้ต่างจากสายน้ำตรงที่สายน้ำไม่ไหลกลับ ในขณะที่คนมาที่นี่มาทางไหนกลับทางนั้น เพราะไม่มีถนนให้ไปต่อได้อีก สุดถนนเป็นป่าอันอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าตะวันออก ซึ่งที่มีอาณาบริเวณเชื่อมต่อป่า 3 จังหวัดของไทย และผืนป่าของประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นแหล่งผลิตโอโซนที่ใหญ่ที่สุดของภูมิภาคนี้
ช่วงนอกฤดูการท่องเที่ยวอย่างฤดูฝน เมืองเล็กๆ แห่งนี้ ดูเหมือนกำลังค่อยๆ หายใจเข้าออกอย่างผ่อนคลาย เนื่องด้วยมีประชากรไม่มาก นักท่องเที่ยวไม่นิยมมาเที่ยวในฤดูนี้ ที่นี่จึงเงียบสงบ เหมาะกับการท่องเที่ยวแบบช้าๆ ไม่เร่งรีบ แต่ไม่ใช่เชื่องช้า ได้ค่อยๆ ทำกิจกรรมที่ตัวเองถนัด ร้านรวงส่วนใหญ่จะปิดเร็ว แสงสว่างที่เปิดล่อแมลงไว้ทั้งคืนคงจะเป็นร้านค้าสะดวกซื้อที่ย่างกรายเข้ามาปลุกเมืองให้คงตื่นอยู่ทั้งวันทั้งคืน
สายฝนค่อยๆ โปรยปรายลงสู่ผืนป่าและขุนเขาให้ได้สะสมความชุ่มฉ่ำ จนทำให้ที่นี่มีน้ำตกมากถึง 26 แห่ง หยดน้ำแต่ละหยดไหลลงสู่ห้วยอุ้มผางคี "ต้นธารแห่งหมู่บ้านบนสายน้ำ" ลำน้ำมีต้นกำเนิดมาจากอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ จังหวัดกำแพงเพชร ซึ่งอยู่ตอนล่างของอุ้มผาง สายน้ำนี้จึงมีความพิเศษกว่าสายน้ำอื่นๆ ตรงที่ไม่ค่อยมีตะกอนขุ่นข้น นั่นหมายถึงป่าต้นน้ำยังไม่ถูกบุกรุกมากนัก และไหลจากทิศใต้สู่ทิศเหนือก่อนบรรจบรวมกับสายน้ำแม่กลอง
ลำห้วยนี้เหมาะกับการล่องแก่งเป็นอย่างมาก ซึ่งจะมีน้ำมากพอสำหรับกิจกรรมนี้ในช่วงฤดูฝนเท่านั้น ตลอดเส้นทาง 10 กว่ากิโลเมตร มีเกาะแก่งมากถึง 48 แก่ง บีบให้สายน้ำพยศสาดกระเซ็นจนแทบจะไม่มีช่วงเวลาให้ได้ไหลเอื่อยๆ ความยากอยู่ที่ระดับ 3-4 เป็นเกณฑ์ที่ปลอดภัยสามารถล่องได้ทุกวัย
การล่องแก่งที่อุ้มผางคีนั้นต้องออกตัวกันแต่เช้า เนื่องจากการเดินทางที่ยังไม่สะดวกมากนัก ถนนที่ตัดผ่านหมู่บ้านยังคงต้องปีนป่ายไปตามสันเขา จากตัวเมืองอุ้มผางเราเดินทางโดยรถกระบะ ใช้เส้นทางถนนในชุมชนไปยังหมู่บ้านอุ้มผางคี ซึ่งอยู่ทางใต้ห่างไปราว 10 กิโลเมตร แต่ด้วยเส้นทางที่แคบและคดเคี้ยว อีกทั้งถนนเป็นหลุมเป็นบ่อบางช่วง ทำให้ต้องใช้เวลาราวๆ 1 ชั่วโมง ไม่รวมการหยุดรถแวะถ่ายรูปเป็นระยะ เพราะทิวทัศน์ของแปลงพืชไร่ชนิดต่างๆ ที่โอบล้อมทิวเขานั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจริงๆ แถมยังต้องพึ่งลำแข้งตนเองอีกราว 3 ชั่วโมง ก่อนจะถึง "แก่งวังมะนาว" อันเป็นจุดเริ่มต้นของความตื่นเต้น
เรามาถึงหมู่บ้านอุ้มผางคีช้ากว่ากำหนดไปบ้าง แต่ก็ยังอยู่ในวิสัยที่สามารถชดเชยด้วยการสาวเท้าให้เร็วขึ้น จากจุดนี้เราจะต้องเดินผ่านไร่ข้าวโพดของชาวบ้านที่สูงท่วมหัว เบียดเสียดกันเต็มพื้นที่เนินเขาลูกย่อมๆ สลับกับนาข้าวแปลงเล็กๆ ข้าวโพดอ่อนฝักเล็กๆ กำลังโตวันโตคืนพร้อมสำหรับการเก็บเกี่ยวในอีกไม่กี่วันต่อจากนี้ โดยหวังว่าวันนั้นคงจะให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับการลงแรง จนไม่เกิดเหตุการณ์บีบบังคับให้รับซื้อในราคาที่คนปลูกพอใจ
เสียงนกหวีดเป่าเป็นจังหวะจาก พี่บัง หนึ่งในผู้ร่วมทริปที่สร้างเสียงฮาได้ตลอดการเดินทาง ช่วยเร่งเร้าจังหวะการก้าวเดินได้เป็นอย่างดี แต่ไม่นานเพื่อนร่วมทริปก็เริ่มกระจัดกระจาย เสียงตบเท้าค่อยจางลง การสูดลมหายใจถี่ยิบขึ้น หูของตัวเองเริ่มได้ยินเสียงการเต้นของหัวใจที่คอยปั๊มเลือดเพื่อนำออกซิเจนกระจายไปยังกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ จนได้ยินเสียงดนตรีป่าได้ไม่ถนัดนัก เนินข้างหน้าช่างสูงชันจริงๆ
ยิ่งเดินลึกเข้าไปในเส้นทางป่าที่มีต้นไม้สูงขนาดหลายคนโอบ ทางเดินที่เคยเป็นฝุ่นผงแห้งๆ ในหน้าแล้ง ยามนี้น้ำได้ทำหน้าที่เป็นตัวทำละลายชั้นยอด สร้างทางโคลนเละ พร้อมที่จะทำให้ลื่นได้ตลอดเวลา "สตั๊ดดอย" รองเท้าที่ชาวบ้านสวมใส่สำหรับทำงานในไร่ ถูกยืมมาทำหน้าที่เทียบเท่ากับยางรถยนต์ ตะกุยไปตามเส้นทางเดินของชาวบ้านที่ใช้เป็นเส้นทางหลักในการหาอาหารจากตู้กับข้าวในธรรมชาติ ที่หมุนเวียนไปตามฤดูกาล ช่วงนี้จึงมีเห็ดสารพัดสีเบ่งบาน ซึ่งไม่ควรแตะต้องมันถ้าไม่รู้จักกันจริง ข้อสังเกตง่ายๆ ข้อหนึ่งที่ชาวบ้านแนะนำก็คือ ยิ่งสวยยิ่งอันตราย แต่ถ้ามีร่องรอยการกัดแทะของสัตว์ก็วางใจว่าคนก็กินได้เช่นกัน ว่าแล้วก็นึกถึง เห็ดโคนดอกใหญ่ที่กำลังทยอยออกมาสู่ตลาดในตอนนี้
อุ้มผางเคยเป็นสถานที่ที่กลุ่มนักศึกษาเดือนตุลาฯ เรียกร้องประชาธิปไตย หนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมาอาศัยอยู่ที่นี่ เพราะยากต่อการติดตาม พื้นที่โล่งท่ามกลางป่านี้ เคยเป็นแปลงนาข้าวของผู้คนเหล่านั้น ภาพกระท่อมหลังเล็กกลางไร่นา และผู้ร่วมทริปที่กำลังเดินอยู่บนคันนาที่เปิดช่องให้น้ำจากลำธารทดไหลเข้าไปหล่อเลี้ยงต้นข้าว ภาพตรงหน้าเหมือนฉากจำลองภาพที่มีกลิ่นอายของช่วงเวลานั้น เสียงเพลงของการเรียกร้องดังก้องขึ้นมาในความคิด
ทางเดินมาสุดที่ริมน้ำ "อุ้มผางคี" แต่ยังไม่ใช่จุดเริ่มต้นของการล่องแก่ง นั่นหมายความว่าเราต้องเดินลุยน้ำข้ามไปเพื่อให้ถึงจุดหมาย ก้าวแรกที่ก้าวลงน้ำรับรู้ได้ถึงความเย็นยะเยือกของกระแสน้ำจนหลายคนต้องอุทานเสียงดังๆ ออกมาเพื่อลดอาการสะท้านความเย็น กระแสน้ำที่ดูเหมือนจะไหลไม่แรง แต่เอาเข้าจริงมันมีแรงมากพอที่จะผลักร่างกายให้ซัดเซอย่างไม่เป็นจังหวะ ทำให้ทุกการก้าวเดินต้องวางเท้าด้วยความระมัดระวังก่อนที่จะล้มหมดท่า สายตาของเจ้าหน้าที่จ้องไปที่นักท่องเที่ยวอย่างไม่กะพริบ และคอยบอกไลน์การเดินที่ปลอดภัยหากเกิดการพลัดล้มล่องลอยไปตามกระแสน้ำ ในบางช่วงที่น้ำลึกจนเกินจะเดินข้ามได้สะดวก ก็มีการใช้เชือกขึงระหว่าง 2 ฝั่ง ได้เป็น ค.คนไต่ราวกันอย่างสนุกสนาน
ขบวนช้างที่ขนสัมภาระและแพยางขึ้นไปรอที่ต้นน้ำเดินสวนทางกลับมา กำลังเดินข้ามน้ำอย่างเป็นแถวเป็นแนว ช้างที่เราเคยว่าชอบเล่นน้ำ ยังละล้าละลังที่จะข้ามลำน้ำ ท่วงท่าการเดินแต่ละก้าวนั้นมีการหยั่งขาก่อนถ่ายน้ำหนักลงแต่ละก้าวอย่างช้าๆ ส่วนเชือกที่ตามมานั้นก็เดินตามมาติด ใช้งวงเกาะเกี่ยวหางตัวหน้าเหมือนในการแสดงความสามารถที่เคยดูตามปางช้าง นี่เองที่ทำให้ช้างเป็นหนึ่งในยุทธปัจจัยในการปกป้องบ้านเมืองเมื่อในอดีต เส้นทางในสมัยนั้นคงลำบากกว่านี้มากมาย ยังไม่รวมโรคภัยไข้เจ็บ และสัตว์ป่าที่ดุร้ายอีกมาก
เวลา 3 ชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว เดินกันแบบเพลินๆ ชมธรรมชาติสองข้างทางไปเรื่อยๆ กล้องที่ต้องคอยหยิบเข้าออกจากถุงกันน้ำ เพื่อหลบทั้งน้ำ ทั้งฝน ทั้งโคลน แถมด้วยการระวังตัวจากทากดูดเลือดที่บอกว่าต้องเจอแน่ๆ ทำให้บางจังหวะได้เพียงดูดอกไม้แมลงตัวเล็กแล้วผ่านเลย นักนิยมล่องแก่งทัพหน้า ซึ่งส่วนมากเป็น ส.ว. (สูงวัย) พร้อมที่จะลงเรือยางไปผจญกับแก่งน้ำเชี่ยวกันแล้ว แต่ตอนนี้ขอให้กองทัพที่เดินด้วยท้องจัดการกับข้าวห่อใบตองก่อน สายฝนที่หย่อนเม็ดลงมาตลอดเวลา ช่วยทำให้บรรยากาศชัดเจนมากขึ้น เป็นมื้ออาหารท่ามกลางสายฝนที่ได้รสชาติอย่างมาก ไม่นานนักทุกคนก็มาพร้อมกันที่ริมน้ำ
เรือยางหลากสีถูกสูบลมเข้าไปจนเต่งตึง เสื้อชูชีพและหมวกกันน๊อคถูกสวมใส่ ปรับจนกระชับเข้ากับตัวมากที่สุด ข้อแนะนำหากเรือคว่ำหงาย ให้พยายามนอนหงายลอยตามสายน้ำ เก็บแขนโดยการจับตัวเสื้อชูชีพไว้ เสื้อนี้จะช่วยพยุงไม่ให้จมน้ำ โอกาสที่จะฟกช้ำจากการกระแทกกับก้อนหินและกิ่งไม้ น้อยกว่าการลอยตัวแบบตัวตั้งตรง นายหัวเรือ 2 คน และอีก 1 นายท้าย จะช่วยให้เรือทรงตัวอยู่ในร่องน้ำได้ง่ายขึ้น ส่วนผู้โดยสารมีหน้าที่เก็บเกี่ยวความสนุกสนานตื่นเต้นให้เต็มที่ ตลอดสายน้ำระยะเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งต่อจากนี้ เพื่อกลับไปยังหมู่บ้านที่เราได้เริ่มต้นเดินเท้าจากมา
เสียงกรีดร้องดังต่อเนื่อง แตกต่างจากที่เราได้ยินในชั่วโมงข่าวที่รายงานมาจากสภาผู้เกลียดตรึม หน้าตาที่บูดเบี้ยวก่อนเรือยางกำลังจะผ่านแก่งแต่ละแก่งมักจะลงเอยด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข น่าจะช่วยลบเลือนความเมื่อยล้าจากการเดินเท้าที่หนักหนาช่วงขาขึ้นเขาไปหมดแล้ว สายน้ำที่ไหลพัดพาเรือมุ่งหน้าผ่านเกาะแก่งหินใต้น้ำ โดยมีขอนไม้ใหญ่พาดขวางลำห้วยเป็นตัวขัดขวางความต่อเนื่องของการลื่นไหลเป็นระยะ จนบางครั้งต้องอาศัยเรือลำที่ตามมาช่วยกระแทกดันส่งให้เรือลำหน้าไปต่อได้แบบลำต่อลำ ความหนาวเย็นจางหายไป เพราะเลือดที่สูบแรงขึ้นบวกกับเสื้อชูชีพที่กักความร้อนในตัวเอาไว้ ร่างกายอุ่นขึ้นแต่ก็หนาวสะท้านทุกครั้งที่น้ำกระเซ็นเข้าใส่ กล้องถ่ายรูปบัดนี้เต็มไปด้วยไอน้ำ แต่ยังคงทำงานได้ ภาพที่ได้ดูจะฟุ้งไปบ้างเล็กน้อย ต้นไม้กิ่งไม้โน้มตัวลงโอบล้อมลำน้ำเป็นบางช่วง มอสและตะไคร่น้ำซับความชุ่มชื้นไว้ให้ต้นกล้วยไม้และเทียนป่าได้อาศัยใช้ประโยชน์ ซึ่งอยู่ในช่วงที่ผลิดอกสีส้มสีชมพูเบ่งบาน เติมสีสันให้กับใบไม้สีเขียวเข้ม
สุชาติ จันทร์หอมหวล ชื่อที่อาจจะไม่คุ้นหูนัก แต่ถ้าเรียก "พี่อู๊ดดี้" หลายคนคงรู้ดีว่าแกปั้น "ตูกะสู" มานานแค่ไหนแล้ว ที่พักแห่งนี้เป็นจุดพักแรมสำหรับเริ่มต้นการเดินทางไปในแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ของอำเภออุ้มผาง ที่นักเดินทางหลายรุ่นใช้บริการกันอย่างต่อเนื่อง พี่อุ๊ดดี้บอกถึงความแตกต่างจากการล่องแก่งที่อื่นๆ ตรงที่ ที่นี่มีความต่อเนื่อง สามารถสัมผัสกับบรรยากาศการล่องแก่งได้อย่างยาวๆ ตั้งแต่ออกเดินทาง และน้ำจะไม่ขุ่นแดงเหมือนกับสายน้ำทั่วไปในหน้าฝน ส่วนที่เปลี่ยนแปลงและสามารถสังเกตเห็นได้ชัด นั่นก็คือระดับน้ำที่น้อยลงไปอย่างมาก ถ้าน้ำมากกว่านี้สัก 50 เซนติเมตร คงสนุก เพราะเรือจะไหลผ่านไปได้เรื่อยๆ ส่วนเรื่องข้อจำกัดนั่นก็คือ ที่นี่จะล่องได้ในช่วงฤดูฝนเท่านั้น เพราะจะมีน้ำมากพอ หลังจากเข้าสู่ช่วงปลายฝนกิจกรรมนี้ก็จะย้ายไปยังลำน้ำแม่กลองที่รองรับน้ำจากลำห้วยต่างๆ ซึ่งจะมีน้ำมากพอที่จะสร้างความตื่นเต้นเร้าใจได้มากกว่า
เด็กน้อยชาวกะเหรี่ยงออกมายืนโบกมือทักทายผู้มาเยือนที่ริมห้วยหลังบ้านของพวกเขา นั่นแสดงว่าใกล้ถึงจุดที่เราจะต้องลุกขึ้นจากประสบการณ์อันน่าจะประทับใจครั้งนี้กันแล้ว น้ำขิงอุ่นๆ ข้าวต้มมัด และขนมเทียน ที่ ป้าแก้ว จาก ททท.สนง.ตาก เตรียมพร้อมไว้นั้นสามารถหยุดความโหยอันหนาวสั่นไว้ได้ชะงักนัก
จากนี้ยังต้องใช้เวลาอีกมากกว่าที่จะเดินทางถึงที่พักเพื่อทำให้ร่างกายพ้นความหนาวเย็น แต่ไม่สามารถหยุดความอิ่มเอมใจที่สายน้ำนี้มีให้ได้
------------------------------------
การเดินทาง
ใช้เส้นทางสายตาก-แม่สอด ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 105 ตรงกิโลเมตรที่ 75 เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงจังหวัด หมายเลข 1090 ถึงกิโลเมตรที่ 26 เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1206 รวมระยะทางจากตัวจังหวัดถึงหมู่บ้าน 122 กิโลเมตร
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการมาล่องแก่งอุ้มผางคี ได้ที่ ตูกะสูคอทเทจ โทร. 0 5556 1295, 08 1825 8238, 08 1819 0304 หรือ ททท.สำนักงานตาก โทร. 0 5551 4341-3







