ก้อนกรวดในรองเท้าแตะ

เสาร์สุดท้ายปลายเดือนสิงหาคม ตื่นแต่เช้าขึ้นมารับรู้เรื่องราวดีๆ ที่นับวันจะมีพื้นที่ในสื่อหลักของประเทศนี้น้อยลงทุกที
รายการทุ่งแสงตะวัน ปีที่ 20 นำเสนอเรื่องราวของเด็กๆ และชาวบ้านควนลังงา อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี ที่สานสายสัมพันธ์คนในชุมชน ด้วยการช่วยกันทำอาหาร แล้วตั้งวงรับประทานพร้อมกันทุกค่ำคืนที่มัสยิดเก่าแก่ประจำหมู่บ้าน ตลอดช่วงเดือนถือศีลอดของชาวมุสลิม หรือเดือนรอมฎอนที่ผ่านมา
ได้เห็นวิถีปฏิบัติของพี่น้องมุสลิมในเดือนอันศักดิ์สิทธิ์ ได้เข้าใจเหตุและผลของการอดอาหารตอนกลางวัน ซึ่งแปรเปลี่ยนมวลมุสลิมทุกชาติ ภาษา สีผิว ไม่ว่าจะยากดีมีจน ให้รู้ซึ้งถึงความยากลำบากจากการอดอาหารด้วยตนเองอย่างเสมอภาคกันหมด แต่ที่น่าสนใจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน คือการพาไปชมพิพิธภัณฑ์เล็กๆ ของมัสยิดประจำหมู่บ้าน ซึ่งเก็บรักษา “คัมภีร์อัลกุรอ่าน” ที่เขียนด้วยลายมืออย่างงดงามและหาชมได้ยากยิ่ง
ที่สำคัญคือตำนานความเป็นมาของอัลกุรอ่านศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้ เล่าขานวีรกรรมของวีรสตรีพื้นถิ่นควนลังงา ผู้ปกปักรักษาอัลกุรอ่านไว้ด้วยชีวิต ในช่วงเวลาที่อดีตรัฐปาตานีกำลังขัดแย้งกับกรุงศรีอยุธยาเมื่อราว 300 ปีก่อน โดยทีมงานรายการทุ่งแสงตะวันเปิดโอกาสให้ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์เล่าเรื่องนี้อย่างภาคภูมิใจ นับเป็นการเปิดพื้นที่ให้ศาสนิกต่างศาสนาหลักของไทยได้แสดงตัวตนของเขาออกมาอย่างงดงามและน่าชื่นชม ซึ่งไม่แน่ใจว่า หากเป็นยุคสมัยที่ “เอกลักษณ์ชาติ” ยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใด เรื่องแบบนี้จะรอดพ้นกรรไกรกองเซ็นเซอร์ หรือคณะกรรมการ กบว.หรือไม่?
ปฏิเสธไม่ได้ว่าต้นตอของปัญหาความรุนแรงในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ ส่วนหนึ่งมาจากนโยบายรัฐในอดีต ที่ไม่ยอมรับความแตกต่างและความมีตัวตนของชนชาวมุสลิม โดยเฉพาะในสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม เมื่อราว 70 ปีก่อน ที่มุ่งเน้นอุดมการณ์ชาตินิยม จนถึงขั้นห้ามชายชาวมุสลิมสวมหมวก ห้ามสตรีมุสลิมใช้ผ้าคลุมศีรษะ กระทั่งออกคำสั่งให้พ่อค้างดสั่งซื้อผ้าโสร่งมาจำหน่ายแก่ราษฎรในจังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า การปิดกั้นพื้นที่ที่จะแสดงความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ตน กลับเปิดพื้นที่แห่งความขัดแย้งรุนแรงออกไปกว้างขวางอย่างยากจะเยียวยา
ในประเทศพม่าสมัยตกเป็นเมืองขึ้นอังกฤษ การที่บรรดาเจ้าอาณานิคมเหยียบย่ำจิตใจชาวบ้าน ด้วยการสวมใส่รองเท้าเข้าไปในเขตวัดและเจดีย์ ใช้โบสถ์ วิหารเป็นที่เก็บเสบียงอาหาร และอาวุธยุทโธปกรณ์ ก็ไม่ต่างอะไรกับการปิดกั้นพื้นที่ที่ชาวพุทธพม่าจะแสดงออกซึ่งศรัทธาในศาสนาที่พวกเขานับถือ จนในที่สุด กรณี No Foot Wear หรือ กบฏเกือก คือการเป็นกบฏต่อผู้ใส่เกือกเข้าวัด ก็กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดนักกู้ชาติ เป็นจุดเริ่มต้นของขบวนการทวงคืนเอกราชของชาวพม่า ดั่งก้อนกรวดในรองเท้าที่ทิ่มตำเจ้าอาณานิคมอย่างเจ็บแสบ
แต่ครั้นเมื่อพม่าได้รับเอกราช กลับมีชาวพม่าบางส่วนกระทำกับชนกลุ่มน้อยต่างศาสนา ในลักษณาการเดียวกับที่อังกฤษทำกับพม่า คือการไม่ยอมรับในความแตกต่าง และปิดกั้นพื้นที่แห่งศรัทธาของชาวมุสลิมโรฮิงญา เพราะถึงแม้ความคลุมเครือในประวัติศาสตร์ จะทำให้ประวัติความเป็นมาของโรฮิงญาสับสน แต่การใช้มาตรการรุนแรงถึงขั้นไม่รับรองสัญชาติ ทำให้โรฮิงยาเป็น “บุคคลไร้สถานภาพ” (Undocumented Persons) ไม่สามารถเข้าถึงการศึกษาและการรักษาพยาบาลขั้นพื้นฐาน นำไปสู่ความพยายามหลบหนีไปเป็นผู้อพยพทางเรือ เพื่อไปตายเอาดาบหน้า ก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายตามประเทศรายทางที่ผู้อพยพลอยเรือไป....ไม่สิ้นสุด
หนักหนาถึงขั้นที่มีพระพม่าบางรูป ประกาศตัวเป็น “บินลาดินแห่งพม่า” เผยแพร่ความเกลียดชังทางศาสนาไปทั่วประเทศ ด้วยการป่าวร้องว่าชาวมุสลิมเป็นผู้ข่มขืนสตรีชาวพุทธ แล้วรณรงค์ให้ผู้คนคว่ำบาตรธุรกิจการค้าของชาวมุสลิม กระทั่งถูกจับในข้อหายุยงให้เกิดความรุนแรง แต่พอได้รับนิรโทษกรรมออกมา ก็ยังคงเผยแพร่ความเคียดแค้นชิงชังคนต่างศาสนาต่อไป จนเชื่อกันว่าการปลุกระดมของพระ “วิระธุ” ในเดือนมิถุนายน 2555 เป็นชนวนเหตุให้เกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างชาวพุทธกับชาวมุสลิมโรฮิงญาในรัฐอาระกัน ทำให้มีผู้คนล้มตายไปกว่า 200 และไร้ที่พักพิงอีกนับแสน ซึ่งแน่นอนว่าส่วนใหญ่เป็นชาวโรฮิงญา (ที่มา...ประชาไทออนไลน์)
บทความนี้มิได้เขียนด้วยเจตนาปกป้อง หรือเข้าข้างชาวโรฮิงญาเพราะพวกเขาเป็นชาวมุสลิม แต่เพราะตระหนักว่าพวกเขาเป็นมนุษย์ที่พึงมีเกียรติศักดิ์ศรีเท่าเทียมกับเราทุกคน อีกทั้งเห็นด้วยกับท่านเจ้าอาวาสวัดเมียวดีสะยาดอว์ กรุงมัณฑะเลย์ ที่กล่าวว่า คำสอนของวีระธุโน้มเอียงไปในเรื่องความเกลียดชัง ซึ่งมิใช่สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ ที่สำคัญ พระพุทธองค์มองคนทุกคนเท่าเทียมกัน เรามิอาจตัดสินคนผ่านศาสนาที่นับถือ
และหากยังปล่อยให้ความเคียดแค้นชิงชังครอบงำจิตใจชาวพม่าบางส่วนอยู่อย่างนี้ต่อไป การจองเวรกันจะไม่มีวันสิ้นสุด อย่างที่ปรากฏเป็นข่าวว่าความขัดแย้งระหว่างศาสนาในพม่า บัดนี้กระจายไปทั่ว ไม่เว้นแม้แต่ในหัวเมืองใหญ่อย่างเมกทิลา มัณฑะเลย์ รวมทั้งอดีตนครหลวงย่างกุ้ง ก็ยังเกิดเหตุการณ์เผามัสยิดขึ้นอย่างไม่มีใครคาดคิด
ที่สุด ก็จะกลายเป็นก้อนกรวดสุดคมที่ฝังอยู่บนพื้นรองเท้าของชาวพม่า ที่แม้จะเป็นรองเท้าแตะแบบคีบที่ชาวพม่าชอบสวมใส่ แต่สะบัดอย่างไร ก้อนกรวดก็ไม่ยอมหลุด เหตุเพราะมันฝังแน่นลงลึกมากเสียแล้ว







