หนังสั้นไทย : 17 ปี ยังมีหวัง

ภารกิจเวทีดันดาวรุ่ง เทศกาลหนังสั้นไทย ผู้ชนะในปีนี้ยังถือเป็น "ความหวังในแวดวงหนังไทย"
หนังสั้น ที่ยังได้รับความสนใจจาก เหล่าศิษย์เก่า ที่ก้าวจาก คนทำหนังสั้นไปสู่ คนทำหนังยาวที่ประสบความสำเร็จ ผู้ชนะในปีนี้ยังถือเป็น "ความหวังในแวดวงหนังไทย"
เทศกาลภาพยนตร์สั้นและวิดีโอครั้งที่ 17 (the 17th Thai Short Film and Video Festival) จัดโดยหอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) ร่วม กับ มูลนิธิหนังไทย เป็นเวที "สร้างและส่งเสริม" คนทำหนังสั้น นอกจากเป็นการ ประลองฝีมือ ของคนทำหนังสั้นในไทยแล้ว ผลงานที่ส่งผ่านเทศกาลนี้ยังสะท้อนการเติบโตของวัฒนธรรมหนังสั้นไทย ในปีที่ 17 นี้ ทุกคนยังมีความหวังที่จะสานต่อศิลปะแขนงที่เจ็ดนี้ต่อไป
โดยในงานประกาศผลรางวัล เทศกาลภาพยนตร์สั้นครั้งที่ 17 (the 17th Thai Short Film and Video Festival) ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพฯ เมื่อค่ำวันอาทิตย์ที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา มีภาพร่างของการเติบโตนั้นให้เห็นอยู่บ้าง
ขณะที่เวทีนี้ยังได้รับความสนใจจาก เหล่าศิษย์เก่า ที่ก้าวจาก คนทำหนังสั้นไปสู่ คนทำหนังยาวที่ประสบความสำเร็จ รวมถึง อาทิตย์ อัสสรัตน์ (Wonderful Town,ไฮโซ) บุญส่ง นาคภู่ (คนจนผู้ยิ่งใหญ่, สถานี 4 ภาค) และศิวโรจน์ คงสกุล (ที่รัก,ซีรี่ส์ รักนี้ชั่วนิจนิรันดร์) ผู้ชนะในปีนี้ยังถือเป็น "ความหวังใหม่ในแวดวงหนังไทย"
ก่อนหน้าประกาศรางวัลในสายประกวดรางวัล รัตน์ เปสตันยี ถือเป็น รางวัลภาพยนตร์สั้นยอดเยี่ยมประเภทไม่จำกัดอายุ ที่ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติ แก่ รัตน์ เปสตันยี คนทำหนังสั้นและหนังบันเทิงที่มีผลงานออกสู่นานาชาติของเมืองไทย และมีความโดดเด่นทั้งเนื้อหาที่สื่อสารและศิลปะในการนำเสนอทางภาพเคลื่อนไหวนั้น
อาจารย์นิวัติ กองเพียร หนึ่งในสามกรรมการตัดสินรางวัลรัตน์ เปสตันยี ได้แสดงความเห็นต่องานหนังสั้นโดยรวมว่า ส่วนตัวแล้วเห็นว่าหนังไทยยังขาดศิลปะ และมุ่งกับการทำหนังให้เป็น "สื่อ" มากเกินไป จนขาดส่วนของความงามหรือศิลปะในหนังไป และชี้ว่าปัญหาการถูกแบนหนังอาจจะหมดไป ถ้าหนังเป็นศิลปะ โดยกูรูศิลปะตอกย้ำความเชื่อว่า ศิลปะมีที่ทางของมันเสมอ และหยอดมุขส่งท้ายว่า "หอศิลป์(กทม)ก็ควรจะฉายหนังที่ถูกแบนได้ (ฮา) ผมไม่ได้กดดันใครนะ" อาจารย์นิวัติกล่าวบนเวทีออดิตอเรียม ชั้น 5 หอศิลป์กทม.
และสำหรับ หนังสั้น "อาณาจักรใจ" ผลงานหนังสั้นที่ได้รับคะแนนสูงสุดจากทั้งหมด 14 เรื่องที่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย นิวัติ กองเพียร แสดงความเห็นเมื่อตอนประกาศผลรางวัลบนเวที แบบมีอารมณ์ขันว่า หนัง อาณาจักรใจ ชื่อเชยอยู่สักหน่อยเรื่องนี้ แต่ว่าถือเป็น "หนังที่มีศิลปะอยู่บ้าง แต่ไม่มาก" เรียกเสียงฮาจากผู้ชม ก่อนที่อาจารย์นิวัติจะ อธิบายต่อว่า "คือเขามีศิลปะทำให้คนดู ดูไม่รู้เรื่อง(ฮาอีก) แต่เขาทำให้คนดูตีความ คิดเอาเอง โดยที่เราไม่รู้เลยครับว่า(ตัวละครในหนัง)เขาทำอะไร"
เอกลักษณ์ มาลีทิพย์วรรณ เจ้าของผลงาน "อาณาจักรใจ" ได้แสดงความคิดเห็นหลังรับรางวัล พูดถึงการทำหนังเป็นสื่อ และการสื่อสารด้วยหนัง ว่า
"เอาจริงๆ เวลาทำหนังผมไม่ได้คิดว่าคนดูจะได้รับอะไร แต่ผมให้ความสำคัญว่าตัวเองรู้สึกกับมันไหม และเรื่องอยากเล่าอะไร ส่วนคนดูจะพบว่ามันสื่ออะไร ก็คงต้องแล้วแต่คนดูครับ"
แม้เอกลักษณ์ จะออกตัวว่า ไม่ได้คิดจะเล่าเรื่องความขัดแย้งชายแดนไทยกัมพูชา แต่เรื่องที่เขาบอก อยากให้มันมีเรื่อง "ซักอย่าง" นั้น เป็นการเสนอภาพของตัวละครสองทหารหนุ่มในราวป่า กับชาวบ้านที่เข้าไปขุดหาของป่าในบริเวณนั้นและทหารไล่ที่ให้ชาวบ้านกลับไป ขณะที่ภาพบนจอเราเห็นทหารหนุ่มสองคนใช้ชีวิตประจำวันแสดง อารมณ์ ผ่านการร้องเพลงเล่นกีตาร์โปร่งและมีภาพวาดลายเส้นของบุคคลหน้าต่างๆ แต่หนังไม่ได้อธิบายเป็นข้อความหรือบทสนทนาใดๆ
เอกลักษณ์ เป็นบัณฑิตคณะจิตรกรรม ประกอบอาชีพหลักเป็นนักดนตรีที่ขอนแก่น และชอบการเขียนรูปในแนว abstract ก่อนที่จะหยิบเอาแรงบันดาลใจจาก บทเพลงของเพื่อนคนหนึ่ง (พิจักษณ์ วีระไทย) มานำเสนอเป็นภาพเคลื่อนไหว และพื้นฐานการเขียนงานนามธรรมนี้เองที่อาจจะส่งผลให้งานหนังสั้นของเขาไม่เป็นหนังดราม่าหรือหนังเล่าเรื่องที่สรุปความไว้ชัดเจนเป็นถ้อยคำ และยังเปิดพื้นที่ให้คนดูได้มีความคิด ตีความและจินตนาการได้บ้าง
"อาณาจักรใจ" ยังคว้ารางวัลพิเศษ ที่เพิ่มมาในปีที่ 17 นี้ เป็นรางวัล BACC Award จากหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพฯ ที่ถือว่าเป็นการกระชับ (ยกระดับความ)สัมพันธ์กับงานเทศกาลหนังสั้นฯ ที่ใช้สถานที่หอศิลป์กทม. จัดงาน โดยทางคณะผู้ทำงานของหอศิลป์ พิจารณาคัดเลือกจากหนังสั้นที่เข้าร่วมในเทศกาลนี้ (ทั้ง 416 เรื่อง) และมอบเงินรางวัล 10000 บาท เป็นการสนับสนุนงานหนังสั้น
หนังสั้นอีกเรื่องที่ได้รับ 2 รางวัลในปีนี้ คือ "ชะตากรรม" (Fate) ผลงานของ บุญส่ง นาคภู่ คนทำหนังสั้นและหนังสารคดี โดยเรื่องราวของ ชะตากรรม ความยาว 25 นาทีเรื่องนี้ ยังคงติดตามตัวละคร สามัญชน ที่ชื่อ นายคำกอบ กับช่วงชีวิตที่เขาต้องดิ้นรนหลังออกจากคุก
ชะตากรรม คว้ารางวัล ชมเชย ในสายรัตน์ เปสตันยี และเป็นผู้ชนะเลิศรางวัล พิราบขาว สนับสนุนโดยมูลนิธิ 14 ตุลา ซึ่งมอบให้หนังสั้นที่มีเนื้อหากระตุ้นจิตสำนึกและส่งเสริมเสรีภาพและความเท่าเทียมต่อสังคม
อย่างไรก็ตาม หนังสั้นไม่ได้จำกัดพื้นที่แค่คนแสดงความลุ่มลึกทางความคิดเท่านั้น โดยเฉพาะในสายประกวดรางวัล ช้างเผือกพิเศษ ซึ่งเป็นรางวัลสำหรับผลงานของคนทำหนังระดับต่ำกว่าอุดมศึกษา ซึ่ง ประวิทย์ แต่งอักษร นักวิจารณ์และนักวิชาการภาพยนตร์ ผู้เป็นกรรมการตัดสิน ย้ำเตือนผู้ชมว่า ในกลุ่มนี้คงจะยึดเอาเรื่องคุณภาพงานสร้างหรือความลึกซึ้งทางความคิด มาเป็นเกณฑ์ตัดสินไม่ได้ การตัดสินของกรรมการจึง "คาดหวังที่จะได้เห็น หนังสั้นที่แสดงความเป็นตัวตนของคนทำหนังออกมาได้มากที่สุด" ในสายรางวัล ช้างเผือกพิเศษ จึงไม่มีผู้ชนะเลิศรางวัลที่ 1 แต่มี หนังที่ได้รับรางวัลดีเด่นทั้งหมด 3 เรื่อง
ขยับรุ่นขึ้นสู่ระดับ อุดมศึกษา ในสายรางวัล ช้างเผือก ที่มี เอกชัย เอื้อครองธรรม ผู้กำกับ A Beautiful Boxer และ โรงงานอารมณ์ เป็นหนึ่งในคณะกรรมการตัดสิน และยกรางวัลชนะเลิศให้กับ ผลงานของนักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ เรื่อง "เด็กสาวสองคนในสนามแบดมินตัน"
โดย เอกชัย ได้อธิบายไว้ว่า การมองหนังดีหรือไม่ดีนั้น อาจมีหลายนิยาม แต่สำหรับตัวเขา ขอบอก 3 คำ สำหรับหนังดีต้อง สด หมายถึงไม่มี reference หรือการอ้างอิงมากเกินไป ลึก คือยากรู้ว่าจะพาหนังเดินทางไปอย่างไร และ organic ซึ่งไม่ได้แปลว่าผักปลอดสาร แต่หมายถึงมีความเป็นธรรมชาติ เพราะเอกชัยเห็นว่า ภาพยนตร์เป็นภาษาธรรมชาติ
"อย่าไปกดขี่(หนัง)ด้วยการปรุงแต่งมันมาก จนดูช้ำไปหมด" และ "คนทำหนังควรจะปฏิบัติต่อภาพยนตร์เหมือนเป็นสิ่งมีชีวิตหนึ่ง" ผู้กำกับที่มีผลงานทั้งในไทยและสิงคโปร์กล่าว
ความสวยงามอยู่ที่ความไม่สมบูรณ์แบบ
บนเวทีหนังสั้นไทย ที่ขยายขอบเขตไปเป็นเวทีเปิดกว้างรับงานจากนานาชาติ เพื่อร่วมฉายและชิงรางวัล มีเสียงสะท้อนจากกรรมการสาขารางวัลต่างๆ หลายคน ที่ย้ำให้เห็นว่า งานประกวดอาจจะไม่ใช่ทั้งหมด และการวัดความดีที่สุด ของหนังนั้น อาจจะไม่ได้มีกรอบเพียงกรอบเดียว
"รางวัลวิจิตรมาตรา" สำหรับ ผลงานที่มีความโดดเด่นพิเศษ ที่ ชลิดา เอื้อบำรุงจิต ตัวแทนคณะ กรรมการตัดสินทีมมูลนิธิหนังไทยฯ ได้อธิบายเหตุผลในวันประกาศรางวัลว ถึงงานเรื่อง "ไก่จิกเด็กตายบนปากโอ่ง" ของ จุฬญาณนนท์ ศิริผล ว่า "เป็นการทำหนังที่มีโจทย์(หัวข้อ)เป็นเรื่องยาก แต่ผู้กำกับก็หาช่องให้ตัวหนังเปล่งประกายออกมาได้"
โดย จุฬญาณนนท์ ศิริผล เผยว่า หนังเรื่องนี้เป็นหนังสั้นที่ได้ทุนจากรพ.รามาธิบดี เพื่อสร้างความเข้าใจด้านโรคข้อเข่าเสื่อมกับประชาชนได้ง่ายกว่าการพูดจาภาษาแพทย์ หนังว่าด้วยคุณป้าผู้เป็นโรคข้อเข่าเสื่อมเชื่อมโยงกับความฝันว่าเธอถูกไก่จิกที่เข่าตอนเด็ก และมีการแก้กรรม ซึ่ง จุฬญานนนท์ เผยว่า เรื่องราวความเชื่อที่ใส่มาในหนังถือเป็นกิมมิคเล็กๆ ทำให้สนุกมากขึ้น ขณะที่เนื้อหาความรู้ทางการแพทย์ที่ถูกต้องก็ทำ ให้คนดูรู้จักโรคมากขึ้น
จุฬญาณนนท์ เป็นหนึ่งในคนทำหนังสั้น ที่มีผลงานต่อเนื่อง รวมทั้งถือเป็นศิษย์เก่าเวทีประกวดเทศกาลหนังสั้นไทย ในมุมมองของเขา สิ่งที่ทำให้เขาทำอย่างต่อเนื่อง
"ความจริงมันทำเป็นอาชีพไม่ได้ มันเป็นไอเดียแสดงความคิดออกมา แต่เราไม่คุ้นเคยกับการทำสื่อแบบงานเขียนหรืออย่างอื่น งานหนังมันอาจจะยากกว่าในแง่ต้องใช้คนหลายคนมากกว่างานอื่น แต่ตัวเองมีความถนัดในการสื่อสารด้วยภาพมากกว่า และมี ประสบการณ์ในการเห็นงานของคนอื่น มีความเข้าใจ และมันเป็นเครื่องมือที่เราถนัด ก็เลยใช้หนังสั้นเป็นเครื่องมือ"
คุณค่าของรางวัลสามารถเป็นแรงกระตุ้นต่อการทำหนังต่อเนื่องหรือไม่นั้น จุฬญาณนนท์ บอกว่า
"มันก็ดีในแง่ที่ทำให้คนอื่นรู้จักว่าเราทำอะไรมาบ้าง และเป็นกำลังใจให้เราด้วย และเป็นฐานให้ไปเทศกาลอื่น แต่เราพยายามจะ ออกมาจากกรอบ ทั้งกรอบหนังมีหัวข้อเรื่องให้ทำ เพราะงานหนังสั้นของมูลนิธิหนังไทยไม่ได้กำหนดโจทย์มา และอีกอย่างพยายาม จะหลุดออกจากกรอบความเป็นหนังสั้น คือ พยายามทำหนังแบบที่ไม่ต้องเป็นละคร หรือเรื่องราวชัดเจน ทำให้พื้นที่งานของตัวเอง กว้างมากขึ้น มันอยู่ได้ทั้งทั้งพื้นที่หนังทดลอง และหนังสารคดีก็ได้ "
โดย หนังสั้นที่ได้รับ รางวัลวิจิตรมาตรา อีกเรื่องได้แก่ Age of Anxiety โดย ไทกิ ศักดิ์พิศิษฐ์ ที่เล่าเรื่องความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยด้วยการเอา "ฟุตเตจ" หนังเมโลดรามาในช่วงทศวรรษ 1980 ของไทยมาใช้ การนำเสนอที่เด่นสะดุดตากรรมการ ดังที่ ชลิดา กล่าวชมเชยบนเวทีว่า เป็นการกลับมาของหนังทดลอง หลังจากที่มันได้หายไปจากเทศกาลฯนี้สักพักหนึ่งแล้ว
ลี ชาตะเมธีกุล มือตัดต่อและคนทำหนังอิสระของไทย ผู้รับหน้าที่ตัดสินรางวัล หนังสั้นยอดเยี่ยมจากนานาชาติ (International Compettition) ร่วมกับ Umesh Vinayak Kulkarni คนทำหนังชาวอินเดีย ตัดสินจากหนังสั้นทั่วโลกที่ส่งเข้าชิงชัย 252 เรื่องปีนี้ ลี บอกบนเวทีประกาศรางวัลว่า
"ภาพยนตร์เป็นสิ่งที่ผู้กำกับทุกท่าน แสวงหาทางในการแสดงออก และการตัดสินจากโปรดักชั่นหลายระดับและเนื้อหาที่หลากหลายเป็นเรื่องยาก" และสรุปผลรางวัลสาขานี้ ที่มอบให้แก่ หนังสั้นจีนเรื่อง Childhood Has Gone โดย ผู้กำกับ เจ้าจูเหว่ย ที่เล่าเรื่องเด็กๆที่อยู่อย่างยากลำบากในเมืองจีน ว่า "ถือเป็นการสะท้อนอัตลักษณ์สามัญชน ผ่านภาษาภาพยนตร์" และอธิบายว่า หนังที่ชนะรางวัลนี้อาจไม่เยี่ยมยอดในแง่เทคนิค แต่มีมุมมองต่อโลกที่น่าสนใจ และกรรมการอยากให้รางวัลเป็นกำลังใจสำหรับก้าวแรกของคนทำหนังที่น่าจะเติบโตต่อไปได้
สายที่กรรมการแสดงความตื่นใจ กับการเติบโตของหนังสั้นไทย อาจจะเป็น สายรางวัล ปยุต เงากระจ่าง สำหรับหนังสั้นประเภทแอนิเมชั่นยอดเยี่ยม ซึ่งผู้ชนะเลิศ เรื่อง หนูนุ้ย เป็นหนังสั้นเพียงสามนาทีเศษที่ใช้เทคนิคผสมผสานทั้ง 2 มิติและสามมิติ และใช้ หุ่นเชิดเงา หรือหนังตะลุงภาคใต้ของไทย มาเล่าเนื้อหา แบบไม่มีบทสนทนา แต่สะท้อนแง่มุม "สังคม" วังวน ความขัดแย้ง และการดิ้นรนต่อสู้
เปลว ศิริสุวรรณ หนึ่งในกรรมการตัดสิน ได้สะท้อนว่า หนังสั้นแอนิเมชั่นที่เข้าร่วมประกวดในปีนี้ นอกจากจะหลุดกรอบจากการเป็น "หนังการ์ตูน" แล้ว ยังน่าตื่นเต้นในแง่การเล่าเรื่องราวที่หลากหลาย ตั้งแต่เรื่องส่วนตัว ไปจนถึง แนวคิดที่เป็นความคิดต่อสิ่งรอบตัว ไปจนถึงการแสดงนัยยะทางสังคม การเมือง
และได้เห็นพัฒนาการของการใช้เทคนิค เพื่อมารับใช้เรื่องราว มากกว่าจะเสนอภาพให้ตื่นตาเพียงอย่างเดียวด้วย
"""""""
ติดตามรายละเอียดเกี่ยวกับงานเทศกาลหนังสั้นไทยและผลรางวัลทั้งหมด ได้ที่ http://www.thaifilm.com, http://www.fapot.org หรือ http://www.facebook.com/thaishortfilmvideofestival







