Gone with the Wind สายลมและคนรักใคร่

นันทขว้าง สิรสุนทร เขียนถึงหนังและการจากไปของคนที่เขารักและผูกพัน
ต่อให้อีกสัก 10 ปี ผมก็จะยังจำหลายคืนนั้นบนดาดฟ้าตึกเนชั่นฯ ได้อย่างไม่ลางเลือน ภาพที่แจ่มชัดมากก็คือ จิราภรณ์ เจริญเดช สาวใต้คมเข้ม มือสัมภาษณ์ชั้นดีจากไฮคลาสและ GM ที่ยืนอยู่บนหน้าที่การงานบรรณาธิการ “จุดประกาย” (1997-2009) มือของเธอถือแก้วไวน์ ร่างของเธอหันไปทางถนนโปร่งโล่งยามค่ำคืน และดวงตามีความสุข
คนจุดประกาย “ยุคหนึ่ง” คงจดจำได้ว่า มันเป็นงานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่า ที่เรามักจะทำกันทุกๆ ปี เหมือนเป็นสัญญะบอกว่า หลังคืนนั้นผ่านพ้น เราจะเจอกันใหม่ก็ปีหน้า ผมยังคง “เก็บ” รูปถ่ายพวกนั้นไว้ในห้องนอน และไว้ในอัลบั้มสุดหวง ที่เราวางคนที่รักใคร่ในพื้นที่ส่วนตัว
“พี่ชอบลมบนดาดฟ้า มันไม่มีกลิ่นเหมือนลมตามริมถนน ที่มากับมลพิษควันเขม่า” พี่อ้นของน้องๆ จุดประกาย เคยพูดแบบนี้กับผมริมดาดฟ้า 7 ชั้นในคืนนั้น ผมยังแซวกลับไปยังอดีตบก. “จุดประกาย” ว่า ไม่มีใครไม่ชอบหรอก จะมายืนตา-กลม หรือจะทำตาก-ลม มันมีความรู้สึกที่พัดมากับสายลมเสมอ
ทั้งเป็นได้ในสุขและโศก ปวดร้าวและอ่อนหวาน อยู่ที่ว่าเรากำลังเป็นยังไงกับชีวิตตอนนั้น
ผู้กำกับหนังหลายคนก็ผูกพันกับสายลมนะครับ และคนหนึ่งที่เพิ่งเป็นข่าวในเว็บของ Time ก็คือ มือกระบี่แอนิเมชั่น ฮายาโอะ มิยาซากิ ของ “จิบลิ” ซึ่งประกาศรีไทร์ ไม่ทำหนังอีกแล้วในวัย 70 กว่า หนังของเขาแทบทุกเรื่อง มีจุดร่วมอย่างตั้งใจกับภาพ “สายลม” อยู่เสมอ (ซึ่งมักมากับเครื่องร่อน)
แม้เราจะรู้กันดีว่า มิยาซากิ มีความผูกพันอย่างมากกับสายลม เครื่องบินและต้นไม้ แต่เราก็จับได้ว่า แนวคิดหลักของเขาก็คือ ไม่ว่าจะสร้างพล็อตอะไรในหนัง มันมักมีมุมอิงอยู่กับธรรมชาติ (และวิพากษ์สังคมเมืองอยู่บ่อยๆ) และสายลมนี้ก็พัดเบาบ้าง แรงบ้าง ใน Totoro, Kiki, Spirited Away มาจนถึง The Wind Rises งานชิ้นสุดท้ายของเขาเองในปีนี้
ผมชอบสังเกตสิ่งที่คนทำหนังผูกพันและแอบใส่ไว้ มันทำให้เราแอบเห็นว่า ทำไม ฮิทช์ค็อก ถึงเกลียดตำรวจและผู้หญิง, ทำไม ปีเตอร์ แพน ในตัว สปิลเบิร์ก ถึงไม่เคยหายไป และทำไมสายลมของ มิยาซากิ ยังพัดแรงมาจนถึงวันนี้
หรือว่าสายลมที่พัดพา จะมีความหมายให้รู้สึกอย่างคลุมเครือ แบบที่ จิราภรณ์ เจริญเดช พูดไว้ในดาดฟ้าคืนนั้น
ในห้วงยามที่บ้านเมืองพบกับความบอบช้ำยาวนาน ปี 2013 ผมรู้สึกว่าตัวเองได้รับความเสียหายทางจิตใจอยู่พอสมควร เพราะแม้ผมจะมีรายได้มากขึ้นจากการได้โอกาสทำงานมากมาย แต่ปีนี้เอง คนที่รักใคร่ผูกพันนับถือ ค่อยๆ โบกมือลา อย่างจากเป็น และจากอย่างนิรันดร์
ร้านขายหนังสือแถวบ้านที่ทุกเช้าเป็นเวลา 19 ปี ผมจะใส่ขาสั้น รองเท้าแตะ เดินออกมาซื้อนสพ. เพิ่งจะร่ำลาไป เพราะลูกๆ ไม่อยากให้ทำงานอีก พวกเขาเติบโตหมดแล้ว จะมาขายของอีกทำไม โดยที่ก่อนหน้านั้น ร้านกาแฟที่อยู่ไม่ไกลกัน ก็เพิ่งปิดตัวไป เพราะถูกไล่ที่
สองเรื่องนี้แม้เสียดาย แต่มันก็ไม่รบกวนจิตใจอยู่พักใหญ่แบบข่าวสูญเสียเจ้านายไป “พี่อ้น” นี่ไม่ใช่เล่นๆ นะครับ กำหนดตัวเองได้ด้วยการมาและจาก ในวันเดียวกัน แถมยังเป็น “วันเกิด” คนเราต้องตายทั้งนั้น แต่ใครจะตายได้คลาสสิกแบบนี้ (จริงไหม)
มีเรื่องที่อาจจะดูไร้สาระ ที่เกิดขึ้นเพราะ “พี่อ้น” และคนที่ผมรักอย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ในปี 2008 ผมถูกเชิญจากสปอนเซอร์แมนยูให้ “บินเดี่ยว” ไปสัมภาษณ์ “เฟอร์กี้” ร่วมกับนักข่าวญี่ปุ่นและเกาหลี การไปอยู่ต่อหน้าเฟอร์กี้ที่แคร์ริงตัน เป็นความฝันผมอย่างหนึ่ง แต่บังเอิญว่าผมติดโปรเจคท์สำคัญของงาน “จุดประกาย” ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะลาได้
แต่เจ้าของนาม วิสรรชนีย์ นาคร คงรับรู้ได้ เลยสัญญาว่าจะสานต่อ หาคนทำให้ และผมควรได้ไปสัมภาษณ์บิ๊กบอสส์ของแมนยู (พี่อ้นเปรียบเปรยว่า เหมือนคุณเทพชัย หย่อง ได้ไปสัมภาษณ์บิล คลินตัน คือโอกาสแบบนี้ มีน้อยมาก)
ไม่รู้จะนัดกันไหม แต่ เฟอร์กี้, มิยาซากิ และ “พี่อ้น” ก็ได้ลาจากในปี 2013 อย่างพร้อมเพรียง แม้แตกต่างสถานการณ์ลา
เมื่อบวกรวมกับร้านกาแฟ ร้านหนังสือ ผมเลยคิดว่าปี 2013 เป็นห้วงยามแห่งหัวใจสลาย ที่ชีวิตก็เคยต้องรับมือกับอะไรแบบนี้ และอย่างหนักหนามาก่อน เช่นนี้เอง เมื่อได้เปิดเจอ Time เล่นคำ ส่งอำลา มิยาซากิ ว่า Gone with the “Wind” กับชื่อหนังสุดดท้ายของเขาคือ The Wind Rises มันจึง “คุ้ย” และ “รื้อ” คืนหนึ่งในสายลม ให้รู้สึก
สายลมของ “พี่อ้น” คงแตกต่างไปจากสายลมของ “มิยาซากิ”
ทว่า คงอ่อนหวานและปวดร้าวอยู่ข้างใน
เหมือนที่ เฟอร์กี้ หล่นถ้อยคำคมคาย กลางสายลมในโอลด์ แทรฟฟอร์ดว่า...
It’s right time to go…







