แม่ยุคใหม่VSลูกวัยว้าวุ่น

แม่ยุคใหม่VSลูกวัยว้าวุ่น

"ความรัก" เป็นสิ่งดีงามที่ยิ่งใหญ่ แต่จะไม่มี "วัยรุ่น" คนไหน "อกหัก" เพราะความรักของ "แม่" ได้ "จุดประกาย" ขอยืนยัน

ระยะห่างแห่งความใกล้

ชนิดา : แม่ถามต้าร์หน่อยว่า ในซีรีส์ฮอร์โมนทุกตอนมันมีตอนไหนบ้างที่มีอยู่ในโรงเรียนมัธยมของลูก


ภูริช : ทุกตอน ทุกตอนมันเป็นสูตรสำเร็จของวัยมัธยมมากเลยนะ ต้าร์ก็เพิ่งรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในโรงเรียนมันถูกเผยแพร่ออกไป แต่ว่าคนทำงานชิ้นนี้เขาคงมีเจตนาว่า ต้องการนำเสนอออกไปเพื่อให้ผู้ใหญ่ได้รู้และป้องกันในสิ่งที่เกิดขึ้น จริงๆ แล้ว มันเป็นเหมือนดาบสองคมนะ คมหนึ่งคือการป้องกัน นำเสนอออกไปเพื่อให้ได้รู้ว่า ล้อมคอกก่อนวัวหายมันเป็นยังไง แต่อีกมุมคือมันทำให้ภาพลักษณ์ของเด็กมัธยมดูแแย่ลง เพราะแต่ละคาแรกเตอร์มีทรงชัดเจน ทุกคนจะมีพฤติกรรมแบบนี้หมดเลยในโรงเรียน ทุกคนก็จะรู้ว่าคนนี้เป็นยังไง คนนั้นเป็นยังไง มันดูออกหมด แค่กางเกงสั้นเลยเข่าก็รู้แล้วว่ายังไง จริงๆ อาจารย์เขาจะสุ่มตรวจฉี่หรือจะสุ่มค้นตัวเขาดูที่กางเกง ถ้ากางเกงสูงเกินเข่านิดหนึ่งก็โดนแล้ว กระโปรงสั้นเลยเข่าก็แสดงว่ามีพฤติกรรมแปลกๆ แล้ว


ชนิดา : อ้าว แสดงว่าต้าร์ก็อยู่ในกลุ่มนั้นสิ เพราะแม่ก็เห็นเอากางเกงไปตัดสั้นทุกตัว


ภูริช : ใช่ ต้าร์ก็ตัดกางเกง แต่...

นี่เป็นแค่เริ่มต้นเท่านั้น บทสนทนาของ "แม่" - ชนิดา จันทเลิศลักษณ์ และ "ลูก" - ภูริช จันทเลิศลักษณ์ ยังมี "ภาคต่อ" ไม่ต่างกับซีรีส์ "ฮอร์โมน" ที่กำลังฮอตฮิตอยู่ในขณะนี้ แน่นอนว่า ละครคือหนึ่งในสื่อที่ใช้สะท้อนปัญหา แต่ในขณะเดียวกัน "ครอบครัว" ก็ต้องหันมาปรึกษากันด้วยว่า ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นในละครเป็นเรื่องจริง เราจะป้องกันและตั้งรับกับปัญหาต่างๆ นั้นอย่างไร


"เพราะครอบครัวเราเป็นคนทำสื่อ ตลอด 15 ปีของลูกจึงได้รู้เห็นทุกสถานการณ์ในสังคม พร้อมๆ กับพ่อแม่ที่ชวนคุยว่าเกิดอะไรขึ้น เกิดขึ้นได้อย่างไร มันจะเคลื่อนไปทางไหน และอะไรคือสิ่งที่ถูกผิด ปรากฏการณ์ทางสังคมเหล่านี้จึงเป็นบทสนทนาของเราสามคน(พ่อ,แม่,ลูก)มาโดยตลอด"


สำหรับ ชนิดา ในฐานะผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมสำหรับเด็กและครอบครัวเครือเนชั่น KIDZONE TV มองว่า การเลี้ยงดูเด็กที่อยู่ในช่วงวัยหัวเลี้ยวหัวต่อต้องเพิ่ม "ความใส่ใจ" มากขึ้นหลายเท่าตัว


"คุณแม่ยุคนี้ต้องปรับตัวนะคะ นั่นหมายถึงต้องเป็นให้ได้ทั้งแม่และเพื่อนในคราวเดียวกัน เพราะยิ่งเขาเติบโต โลกเขากว้างขึ้น มีสังคมที่เราตามไปเฝ้าดูแลอีกไม่ได้ทั้งหมด รวมทั้งเขาจะมีตัวตน เขาจะแรงขึ้น มั่นใจขึ้น ต้องการความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ทำให้เราต้องเย็นลง ลดความเข้มงวด แต่ไม่ได้ละเลย การออกคำสั่งหรือการตัดสินใจโดยเราผู้เดียวเริ่มปรับโทนเป็นการเชิญชวน เช่น ไปนี่กันมั้ยลูก ทำนี่กันดีมั้ย จริงๆ อยากให้ไปด้วยแหละ แต่สร้างพื้นที่ให้เขามีส่วนร่วม ตัดสินใจร่วมกันหรือพบกันครึ่งทาง"


ในวัยที่มีความมั่นใจสุดฤทธิ์ พ่อ-แม่ ดูเหมือนจะไม่ใช่เพื่อนสนิทที่เด็กวัยนี้คิดถึง ภูริช หรือ กีต้าร์ เองก็เช่นกัน เขาเลือกปรึกษา "คนอื่น" ก่อนพ่อแม่เสมอ เพราะกีต้าร์มองว่าในวัยนี้พ่อแม่ควรเว้นระยะห่างอย่างเหมาะสม เพื่อให้เด็กได้คิดและตัดสินใจเองบ้าง


"ต้าร์ไม่อยากให้เดินมาจี้ๆ แต่สร้างระยะห่าง ช่องไฟที่มันเท่ากัน เมื่อไรที่ลูกข้ามไปปุ๊บ แม่ก็จะตามมา ถือว่ายังมองเห็นนะ ไม่ได้หมายความว่าแต่ละคนห่างไกลกันมากๆ แทบจะไม่รู้เลยว่าลูกตัวเองหรือแม่ตัวเองทำอะไร มันคือต้องสร้างระยะห่างระหว่างแม่กับลูกอย่างเหมาะสม เมื่อไรที่ลูกเขาก้าวไปอีกช่วงวัยแล้ว แม่ต้องก้าวตามลูกให้ทัน ระยะห่างจะทำให้ลูกสบายใจว่าแม่ไม่ได้มาจ้ำจี้จ้ำไชอะไร แล้วเราก็ยังหันกลับมาเห็นแม่เราอยู่ แม่เราอยู่ตรงนี้ ไม่ได้ไปไหน พ่อแม่อาจจะล้ำไปบ้างได้ แต่ลูกจะถือไพ่เหนือกว่าพ่อแม่ตัวเองไม่ได้"


"อิสระทางความคิด" เป็นสิ่งที่ชนิดามอบให้กับลูกชายวัย 15 ปีคนนี้มาตั้งแต่ต้น ดังนั้นทุกๆ การกระทำของเด็กชายวัยฮอร์โมน เป็นสิ่งที่เขาเลือกตัดสินใจเองเป็นคนแรก


"วัยรุ่นยุคฮอร์โมนอย่างเราๆ มีสิ่งเร้ามากมายในชีวิต บางคนมีกิจกรรมเยอะ บางคนติดเพื่อน ติดแฟน ติดเกมส์ ตลอดจนไปถึงติดยา และการพนัน ทำให้โฟกัสกับเรื่องอื่นๆ มากกว่าหน้าที่ตัวเอง ซึ่งไม่ต้องเป็นกังวลในปัญหาแบบนี้ เพราะแต่ละคนจะมีนาฬิกาชีวิต 1 เรือน คอยเตือนเราเสมอๆ ว่าถึงจุดๆ นี้แล้วเราควรจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมมั้ย อย่างไรและเพราะอะไร เมื่อถึงเวลาที่เราเห็นผลลัพธ์จากสิ่งที่เราทำไปแล้วนั้นเราจะรู้ตัวเราเอง"


แน่นอนว่า มันก็มักจะเกิดปัญหากระท่อนกระแท่นมาให้พ่อแม่ต้องจัดการอยู่บ้าง ซึ่งไม่พ้นคนเป็นพ่อ-แม่ต้องเข้ามาช่วยกันแก้ไข


"เราสัญญากันว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พ่อกับแม่จะไม่ยอมให้ลูกต้องเผชิญปัญหาคนเดียว การที่ลูกเลือกแก้ไขเองมันอาจจะยังไม่พอ ไม่ใช่ ไม่ทัน ดังนั้นลูกต้องไว้ใจพ่อกับแม่ทุกเรื่อง สร้างสำนึกให้เขารู้ค่าตัวเอง รักตัวเอง รักพ่อรักแม่ ให้เขารู้ไปเลยว่า เขาจะไม่โดดเดี่ยวแน่นอน และสุดท้ายเมื่อลูกทำผิด พ่อแม่ก็ต้องพร้อมจะรับผิดไปด้วยกันอยู่แล้ว"


ดูเหมือนมี "ระยะห่าง" แต่จริงๆ แล้วสายสัมพันธ์ของความเป็น "แม่กับลูก" นั้น ไม่เคยแยกออกจากกันแม้สักตารางนิ้ว

รักนะแต่ไม่แสดงออก

ข้ามหอม : วัยรุ่นมันต้องรู้ คือรู้ว่ามันอยากรู้อยากลอง แต่ในความอยากรู้อยากลองมันต้องรู้ว่าแค่ไหน ลองได้ แต่ต้องไม่ลองอะไรที่ทำให้เราเดือดร้อน อย่างเหล้าหนูรู้อยู่แล้วว่า หนูไม่ติด หนูกินเพื่อให้มันมันเฉยๆ ถ้าเห็นใครมากเกิน ก็จะบอกว่า พอแล้ว ไม่ให้กินแล้ว แต่ถ้าพวกยา หรืออะไร คือทุกคนก็มีความรู้อยู่แล้วว่าถ้าเสพยาก็มีสิทธิที่จะติด

รัตนา : เคยมีคนชวนมั้ยลูก


ข้าวหอม : ไม่มีนะ ส่วนใหญ่ก็เหล้า บุหรี่ แต่บุหรี่หนูไม่ลอง เพราะหนูรู้อยู่แล้วว่าหนูไม่ชอบมัน คือจะลองก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่อะไรที่ทำให้เราไปเลย ยาเสพติดมันไม่เหมือนเหล้า แค่ครั้งเดียวแต่มันอาจจะ...เราไม่รู้ว่าเราจะไปเลยหรือเปล่า


รัตนา : แต่ยาเสพติดเขาบอกว่าทำให้มีความสุขนะเว้ย เวลาได้ยินอย่างนี้ลูกคิดยังไง


ข้าวหอม : เราเห็นมาตั้งแต่เด็ก ทุกคนก็เคยเรียนมาแล้ว ข่าวก็มีให้เห็น คือไม่เห็นว่าคนที่ทำแบบนี้มันจะได้ดีสักคน มันอาจจะรู้สึกดีตอนเสพ แต่สุดท้ายแล้วผลของมันก็ไม่ดีอยู่ดี ไม่งั้นเขาจะห้ามทำไม

"เหตุผล" คือสิ่งที่ "แม่" - รัตนา กิติกร และ "ลูก" - ข้าวหอม เจริญชัย ใช้ประกอบการตัดสินใจในทุกๆ ช่วงวัยของชีวิต โดยเฉพาะ "แม่" ที่เคยเป็นสื่อมวลชน และทำงานวิชาการ ทุกวันนี้ก็ยังคลุกคลีอยู่กับ "ปัญหา" ของเด็กๆ เสมอ โดยเธอมีตำแหน่งเป็น ผู้จัดการโครงการสื่อสารสังคม มูลนิธิสยามกัมมาจล ที่ต้องดูแลเยาวชนทั่วประเทศ


"ถ้ารุ่นใหม่เลยที่เขาบอกกันว่า เด็กต้องพูดด้วยเหตุผล แล้วจะต้องไม่พูดจาให้เขาเสียความมั่นใจ หรือรู้สึกว่าด้อยค่า อันนี้เราก็คิดว่าเรายังไม่ใช่แบบนี้ เพราะบางทีด่าก็ด่าเลย แต่หลังจากนั้นก็จะคุยเหตุผลให้ฟัง ไม่เคยไม่มีเหตุผลเนาะ(หันไปถามลูก) คือจะพูดเหตุผลให้ฟังทุกครั้งว่าทำไมเราถึงซีเรียสกับเรื่องนี้ แล้วที่เราว่าเขาแรงๆ เพราะเรารู้สึกว่า เรื่องนี้เราพูดกันหลายครั้ง ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ไม่ควรต้องพูดกันหลายครั้ง"


นั่งฟังอยู่พักหนึ่ง ข้าวหอม จึงเปิดเผยความรู้สึกออกมาบ้างว่า การที่เธอไม่ทำ หรืออาจจะทำในสิ่งที่แม่ต้องการช้า เป็นเพราะวัยว้าวุ่นไม่ชอบให้ใครวุ่นวาย เพราะเธอรู้ "หน้าที่" ดีอยู่แล้ว


"แม่จะชอบพูดเหมือนกับ ก็ฉลาด...แต่ทำไมถึงไม่พยายามมากกว่านี้ ซึ่งหนูก็เข้าใจ แต่ในความรู้สึกของหนู หนูอยากได้คำชมบ้าง บางทีมันเหมือนโดนพูดกดดันตลอดเวลา สุดท้ายก็จะรู้สึกว่า เราก็ยังไม่ดีซะที"


ถามว่า รู้มั้ยว่าลูกต้องการคำชม รัตนา ยอมรับว่าการทำงานกับเด็กทำให้เธอรู้ว่า เด็กทุกคนต้องการคำชม แต่สำหรับข้าวหอม คำชมของแม่อาจจะไม่ได้หวาน ลึกซึ้ง ดังนั้นจึงเป็นแค่การบอกลูกว่า สิ่งที่ดีก็ดีอยู่แล้ว แต่ถ้ารับผิดชอบอีกหน่อยลูกจะไปได้ไกลกว่านี้


"นั่นไม่ถือเป็นคำชม" ข้าวหอมตอบโต้ทันที และเพราะอย่างนี้ลูกสาวจึงเลือกที่จะปรึกษาเพื่อนมากกว่าแม่ของตัวเอง ซึ่งรัตนาบอกว่า สิ่งที่ยากที่สุดในการเลี้ยงลูกวัย "ฮอร์โมน" นั่นก็คือ การขาดการสื่อสารซึ่งกันและกัน


"เขาไม่พูด เราก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไร มีปัญหาอะไร คือถ้ารู้สึกต่อต้าน แม่ไม่มีเหตุผล หรือมีมุมมองที่ต่างจากเขา ถ้าเขาพูดออกมาเราก็จะรู้ว่าการที่เขาคิดแบบนี้ใช่ ไม่ใช่ หรือการที่เขาไม่พูดเพราะเขาไม่อยากให้เราตัดสินว่าใช่ ไม่ใช่ก็ได้ ท้ายที่สุดคุณก็ถูกอยู่ดี แต่เราก็จะรู้สึกว่ามันยากมาก...ถ้าลูกบอกว่า แม่ทำแบบนี้ไม่ชอบ เราก็อาจจะคิดว่ามันมีวิธีอื่น อาจจะต้องตั้งกติกากันว่า ถ้าไม่ให้แม่เป็นแบบนี้ จะให้เป็นแบบไหน เราก็ต้องปรับนะ แต่ไม่ใช่ว่าเด็กจะให้ผู้ใหญ่เข้าใจอย่างเดียว เด็กก็ต้องเข้าใจผู้ใหญ่ด้วย"


โชคดีที่ปัญหาของข้าวหอมเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ภายในบ้าน ไม่ได้ใหญ่โตถึงขั้นผิดบาป นั่นจึงทำให้คนเป็นแม่สบายใจ แต่ถามว่ากังวลบ้างมั้ย รัตนา ยอมรับว่า ก็มีบ้าง แต่จะพยายามดูแลลูกอยู่ห่างๆ อย่างใส่ใจ


"ลูกผู้หญิงเราก็ห่วงนะ แต่ไม่ได้คิดว่า คุณจะต้องรักษาพรหมจรรย์ไว้จนวันแต่งงาน ความบริสุทธิ์ผุดผ่องมันไม่ได้มีผลกับการมีชีวิตคู่ เราไม่ใช่คนแบบนั้น แต่ที่เราห่วงเขาคือเราจะบอกว่า ทำไมผู้ใหญ่บอกว่า ยังไม่อยากให้เด็กมี เพราะว่าถ้าเขามีในช่วงที่เขายังไม่พร้อมมันจะเกิดปัญหาอะไรบ้าง หรือถ้ามี คุณก็ต้องป้องกันตัวเอง เรื่องนี้มันไม่ใช่ความเป็นความตาย หรือความผิดบาปอะไร แต่ว่าถ้าลูกคุณเป็นคนขี้โกง ฉ้อฉล อันนี้ต่างหากที่สำคัญ ลูกคุณเป็นคนเจ้าเล่ห์ เอาเปรียบคนอื่น ไม่แบ่งปัน อันนี้ต่างหากที่เราต้องใส่ใจ"


"แม่ยุคใหม่" อาจพูดไม่เป็น แต่แสดงให้เห็นได้จากการกระทำ ซึ่งการหันหน้ามาคุยกันอาจเป็นหนทางของการค้นพบ "รักแท้" ที่ยิ่งใหญ่ ที่แม่และลูกคู่นี้ต้องการ ก็เป็นได้