"รักษ์" เร่ร่อน

ตราบใดที่ "นายทุน" และ "ควาญช้าง" ยังใช้ความน่าสงสารแลกกับความรู้สึกของคน ไม่มีทางเลยที่ "ช้างเร่ร่อน" จะหมดไปจากถนนเมืองไทย
ลูกช้าง 2 เชือก ชูงวงขึ้นสูง เป็นท่าทีที่บอกว่า พวกเขายินดีต้อนรับผู้มาเยือนสู่เขตแดนแห่งความสุขและเสรี
ความจริงแล้ว "นำโชค" และ "ปุ้มปุ้ย" อาจจะไม่ได้มายืนยิ้มดีใจ และทำหน้าที่ "ช้างต้อนรับ" ได้อย่างนี้ หากไม่มี "ใครบางคน" ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ
ย้อนไปในอดีต นับตั้งแต่รัฐบาลมีนโยบายปิดป่า ทำให้เกิดปัญหา "ช้างตกงาน" และไม่มีช่องทางทำกิน ควาญช้างจึงพยายามหาลู่ทางใหม่ๆ เพื่อสร้างรายได้ให้กับตัวเองและครอบครัว ซึ่งการนำช้างเข้ามาเร่ขายความน่าสงสารเป็นหนึ่งใน "อาชีพใหม่" ที่ได้รับความเห็นอกเห็นใจจากผู้คน จนสามารถสร้างรายได้ให้เป็นกอบเป็นกำ และหลังจากนั้นก็เป็นยุคของ "ช้างครองเมือง"
ปัญหา "ช้างเร่ร่อน" ฝังรากลึกอยู่ในสังคมไทยมานานกว่า 20 ปี แต่ก็ยังไม่มี "ทางออก" ที่เหมาะสมต่อทุกฝ่าย ณ วันนี้บนถนนหลายสายทั้งในกรุงเทพมหานคร และเมืองท่องเที่ยวใหญ่ๆ จึงยังมีช้างไทยที่ถูกพาไปเดินเร่ขอสตางค์ให้เห็นอยู่เกลื่อนกลาด ซึ่งคนที่ทำงานหนักดูเหมือนจะไม่ใช่ภาครัฐที่มีหน้าที่กำหนดนโยบาย แต่กลับเป็นภาคเอกชนที่ดิ้นรนกันจนสุดความสามารถ และเป็นตัวยืนหลักของการอนุรักษ์ช้างไทย ไม่ว่าจะเป็นมูลนิธิเพื่อนช้าง, ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย จังหวัดลำปาง, มูลนิธิกองทุนรักษ์ช้างภาคเหนือ, มูลนิธิ “คืนช้างสู่ธรรมชาติ” และภาคีช้างไทยอื่นๆ นั่นรวมถึง "มูลนิธิช้างเอเชียสามเหลี่ยมทองคำ" ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือช้างข้างถนนในประเทศไทยโดยเฉพาะ
นำโชคและปุ้มปุ้ย เป็นช้างที่เคยตกอยู่ในวังวนของการ "เร่ขอทาน" แต่วันนี้พวกมันมีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดี ภายใต้การดูแลของมูลนิธิช้างเอเชียสามเหลี่ยมทองคำ ที่สำคัญมันอยู่อย่าง "สมศักดิ์ศรี" ของความเป็นช้างคู่บ้านคู่เมืองของไทยด้วย
ตะลอน "รักษ์"
มูลนิธิช้างเอเชียสามเหลี่ยมทองคำ (Golden Triangle Asian Elephant Foundation / GTAEF) ก่อตั้งขึ้นในปี 2548 เพื่อช่วยช้างข้างถนนในประเทศไทย โดยสร้างแคมป์ช้างไว้ ณ อนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ แคมป์ช้าง แอนด์ รีสอร์ท จังหวัดเชียงราย และดำเนินงานในรูปแบบการจ้างงานควาญช้างให้นำช้างมาร่วมกิจกรรมในแคมป์ พร้อมดูแลสมาชิกในครอบครัวของควาญช้างที่ไม่สามารถทำงานได้ ไม่ว่าจะเป็นเด็ก แม่บ้าน ไปจนถึงสมาชิกในครอบครัวที่บาดเจ็บหรือทุพพลภาพ ซึ่งทางมูลนิธิฯ ยังทำงานใกล้ชิดกับศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย จังหวัดลำปาง เพื่อให้การดูแลช้างได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ยังดูแลควาญช้างและครอบครัวครอบคลุมไปทั้งในส่วนของบ้านพัก อาหาร ประกันสุขภาพ การเรียนของบุตรหลาน รวมถึงการฝึกอาชีพทอผ้าไหมที่ช่วยสร้างรายได้ให้แก่แม่บ้านอีกด้วย
จอห์น โรเบิร์ต ผู้อำนวยการฝ่ายอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ มูลนิธิช้างเอเชียสามเหลี่ยมทองคำ กล่าวว่า แรกทีเดียวแคมป์ช้างเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจโรงแรม แต่เมื่อมีโอกาสทำงานคลุกคลีกับศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย ก็เริ่มเห็นปัญหาช้างเร่ร่อน จึงพยายามยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ
"สิ่งที่เราทำ มันก็ช่วยแก้ปัญหาได้สำหรับกรณีของควาญช้างที่เขาเต็มใจมาอยู่ที่นี่ คือมันต้องควบคู่ไปกับกฎหมาย พอเริ่มออกกฎหมายว่าห้ามนำช้างไปเดินในเมืองมันก็ช่วยได้ แต่มันก็ช่วยได้เฉพาะบุคคล คนที่เต็มใจมาอยู่ก็เป็นการแก้ปัญหา แต่มันก็ยังมีคนอื่นที่เขาไม่มาก็ยังเป็นปัญหาอยู่...ส่วนกฎหลักๆ ของเราก็คือพยายามดูตามกฎของโรงแรม ควาญช้างก็เหมือนเป็นพนักงานคนหนึ่ง อย่างกฎขั้นพื้นฐานเรื่องการห้ามดื่มสุรา เรื่องของการทารุณสัตว์ ซึ่งเราพยายามใช้วิธีละมุนละม่อม เพราะการที่เราจะชวนควาญช้างมาอยู่ที่นี่กับเรา เราก็ต้องให้เขารู้สึกเหมือนที่นี่เป็นบ้านของเขา ให้เขาอยู่อย่างอิสระ ต้องไม่เข้มงวดเกินไป"
นอกจากครอบครัวควาญช้างทุกคนจะได้รับการดูแลอย่างดีในทุกๆ เรื่องแล้ว ช้างทุกเชือกที่อยู่ภายในการดูแลของมูลนิธิช้างเอเชียสามเหลี่ยมทองคำก็ยังจะได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน ทั้งยังมีการตรวจสุขภาพประจำปี มีสัตวแพทย์ที่เชี่ยวชาญคอยดูแลอย่างใกล้ชิด โดยช้างเหล่านี้จะถูกฝึกให้ทำกิจกรรมเพื่อสนับสนุนงานในอนันตรา รีสอร์ท ส่วนลูกค้าก็สามารถเข้ามาเรียนรู้วิถีชีวิตของช้าง รวมถึงฝึกเป็นควาญช้างที่โรงแรมได้อย่างปลอดภัย
ผ่านมา 8 ปี มูลนิธิช้างเอเชียสามเหลี่ยมทองคำ ช่วยเหลือช้างเร่ร่อนไปแล้วกว่า 30 เชือก แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 25 เชือก เพราะมีควาญช้างส่วนหนึ่งตัดสินใจ "ขายช้าง" ในราคาสูงให้กับนายทุนอื่นๆ หรือนำช้างกลับเข้าสู่ระบบเก่าๆ เพราะรายได้สูงกว่าหลายเท่าตัว แน่นอนว่า รายได้ที่ควาญช้างได้รับจากมูลนิธิช้างเอเชียสามเหลี่ยมทองคำ จำนวน 18,000 บาทต่อเดือนต่อช้าง 1 เชือกนั้น จะ "เพียงพอ" ได้ก็ต่อเมื่อควาญช้างและครอบครัวมีความ "พอเพียง" จริงๆ
"อย่างน้อยปัญหาในถนนมันก็ลดลงไปแล้ว หลังจากมีกฎระเบียบห้ามนำช้างไปเร่ร่อน แต่ตอนนี้เริ่มมีแคมป์ช้างเปิดในที่ต่างๆ ที่รองรับนักท่องเที่ยว ซึ่งเขาให้มากกว่า ประมาณ 30,000 บาท เน้นการนั่งเสลี่ยงบริการนักท่องเที่ยวอย่างเดียว คือเขาได้ 30,000 บาทก็จริง แต่เขาต้องเดินเทรกกิ้ง ซึ่งกว่าจะได้เท่านี้ช้างต้องทำงานเป็น 10 ชั่วโมง ญาติๆ ควาญช้างที่เขาไปอยู่ทางนั้นก็มาชักชวนว่าได้เงินมากกว่านะ มันก็เป็นบทพิสูจน์เหมือนกันว่า ควาญช้างที่เขาตัดสินใจอยู่ที่นี่ เขาได้เงินน้อยกว่า แต่เขาแคร์ช้างมากกว่า เขาสนใจในความเป็นอยู่ที่ดีของช้างมากกว่ามองตัวเงินเป็นหลัก"
"จาก" คือ "จบ"
"เงิน" สามารถซื้อทุกอย่างบนโลกนี้ได้ แม้กระทั่ง "ใจ" คน แต่ก็มีคนอีกจำนวนไม่น้อยเหมือนกันที่มองเห็น "ความสุข" สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด รินดา และ สมพงษ์ มณีวัน ควาญช้างจากจังหวัดสุรินทร์ เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น
"เรารัก เราผูกผันกับเขา ถ้ามีคนเอาไปคงร้องไห้ตายเลยแหละ หรือจะมาขอซื้อ 2 ล้านเราไม่ขาย 3 ล้านก็ไม่ขาย จะกี่ล้านเราก็ไม่ขาย" รินดา ยืนยัน
ภรรยาควาญช้างเมืองสุรินทร์ เล่าว่า ครอบครัวของเธอเลี้ยงช้างมาตั้งแต่รุ่นทวด โดยทวดของเธอเป็นหมอช้าง และใช้ช้างทำงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นขนของ ขนไม้ ขนข้าวใส่ยุ้งฉาง ต่อเมื่อไม่มีงานแบบเดิมให้ทำ ช้างก็แทบจะหมดความหมาย ควาญช้างเองก็ไม่มีรายได้อะไร เธอและสามีจึงตัดสินใจพา "ปลื้ม" ช้างมรดกวัย 5 ปี ออกไปเร่ขายอาหารแลกกับเงิน
"จะทำยังไงได้ เพราะเราไม่มีรายได้ แล้วสุรินทร์ก็ยังไม่มีใครมาพัฒนาในตอนนั้น ก็เลยตัดสินใจว่าไปเลย จ้างรถสิบล้อขนไป ตอนนั้นจำได้ว่าไปแถวถนนพระรามเก้า แล้วก็เร่ไปเรื่อยๆ ที่หนึ่งก็อยู่ไม่นาน อยู่ๆ ไปก็จะมีเทศกิจ มีอะไรมาไล่ เราก็ต้องย้ายไปเรื่อยๆ พอเงียบๆ ค่อยกลับมาใหม่ แล้วก็ไปสมุทรปราการ ไปเพชรบุรี ไปพัทยา ไปเรื่อยๆ"
ถามถึงเรื่องรายได้ รินดา ตอบทันทีว่า ดีมาก แต่ก็ต้องรับสภาพที่ต้องโดน "สังคมรังเกียจ" ให้ดี
"ได้วันละ 3,000 บาท ปีใหม่จะได้ 4,000-5,000 บาท แต่คนไม่ชอบเขาก็ต่อต้านว่าทำไมเราเอาช้างมาเดินถนน แต่จะทำยังไงได้ เราไม่มีอะไรทำ ก็ต้องพาช้างออกเร่ แล้วก็ไปกันทั้งครอบครัว มีลูก 1 คน ไปที่ไหนก็เอาลูกไปด้วยตลอด เคยเจอเหตุการณ์แรงๆ หลายครั้ง ตอนอยู่ที่เพชรบุรีเขาไล่แรงมาก ถูกกดดันมาก เจ้าหน้าที่กรมป่าไม้มาไล่ แล้วก็มาที่พัทยา แฟน(สมพงษ์)ถูกเทศกิจตีจนตัวช้ำไปหมด เทศกิจเขาไม่ให้เข้าเมืองไง แฟนก็เลยขี่ช้างหนี เขาก็ไล่ลงมาแล้วตีๆๆ จนเรารู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว เลยตัดสินใจมาอยู่กับคุณจอห์น"
คุณภาพชีวิตดีขึ้นมาก ควาญสมพงษ์ บอกอย่างนั้น เพราะนอกจากที่อยู่ที่กินแบบสบายๆ ทั้งครอบครัวแล้ว ช้างทุกเชือกยังได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี ทั้งยังมีประกันชีวิตให้ ส่วนคนในครอบครัวก็มีประกันสุขภาพ แค่นี้ก็ถือว่าเพียงพอแล้วสำหรับชีวิตครอบครัวเล็กๆ ของเขา
"อยู่มา 6 ปีแล้ว อยู่สบาย ธรรมชาติก็ดี อาหารช้างก็ดี ลูกก็ได้เรียน ส่วนปลื้ม(ช้าง)ก็อยู่ที่ baby elephant คือทางแคมป์ฝึกให้เขาทำกิจกรรมกับแขก ฝึกต้อนรับแขกอะไรแบบนี้ ตอนนี้เขายังเล็กอยู่แค่ 11-12 ขวบ ก็ต้องค่อยๆ ฝึกกันไป"
ถามว่า เคยมีคนมาชักชวนให้ไปทำงานในปางช้างอื่นๆ หรือขอซื้อลูกช้างบ้างไหม รินดา ตอบทันควันเลยว่า มี แต่เธอและสามีไม่ไป เพราะอยู่ตรงนี้สบายใจดีแล้วทั้งคนและช้าง
ทบทวน "สำนึก"
จอห์น โรเบิร์ต ยอมรับว่า การซื้อใจคนเป็นเรื่องยาก แต่เขาก็พยายามปลูกฝังให้ทุกคนตระหนักถึงคุณภาพชีวิตที่ดีของช้าง รวมถึงปลูกฝังเรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติและสัตว์ป่าให้กับทุกๆ คน
"ก่อนที่ผมจะมาทำงานกับอนันตรา ผมอยู่ที่เนปาล ทำเรื่องอนุรักษ์สัตว์ป่า อนุรักษ์ช้าง อนุรักษ์เสือ แต่ผมมีความเชื่อว่า ก่อนที่เราจะไปอนุรักษ์อะไร เราต้องอนุรักษ์ป่าก่อน นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการอนุรักษ์ทั้งหมด ซึ่งในเรื่องของช้างเร่ร่อนที่เราทำอยู่ เรามอง 2 ส่วน คือเรื่องช้างป่าและช้างบ้าน เพื่อไม่ให้มันมีผลกระทบต่อกัน เพราะจริงๆ มีคนไปดึงช้างป่าออกมา คือเมื่อจำนวนช้างป่าเพิ่มมากขึ้น ก็อาจจะมีคนเอาช้างป่าออกมาสวมรอยเป็นช้างบ้าน"
ผู้อำนวยการฝ่ายอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ หมายถึง ขบวนการล่าลูกช้างป่าเพื่อนำมาจำหน่ายให้นายทุน โดยอาศัยช่องโหว่ของกฎหมาย ซึ่ง พ.ร.บ.สัตว์พาหนะ พ.ศ.2482 ได้กำหนดการจดทะเบียนทำตั๋วรูปพรรณของช้างไว้เมื่ออายุย่างเข้า 8 ปี นั่นแปลว่า ช่วงอายุระหว่าง 0-7 ปีนั้น ลูกช้างยังไม่มีการขึ้นทะเบียน และการซื้อขายก็จะทำได้แบบไม่ผิดกฎหมาย ที่สำคัญข้อมูลจากกองทุนสัตว์ป่าโลก ระบุว่า ราคาซื้อขายลูกช้างป่า 1 เชือก อยู่ที่ราว 150,000 - 600,000 บาท ราคาจูงใจขนาดนี้จึงมีข่าวลักลอบนำลูกช้างป่าออกมาขายให้นายทุนอยู่เป็นระยะๆ ซึ่งนายทุนบางกลุ่มจะนำช้างเข้าสู่กระบวนการธุรกิจท่องเที่ยว และมีไม่น้อยเลยทีเดียวที่นำลูกช้างป่ามาเดินเร่ขอทานในเมือง
ด้าน สพ.ญ.ฐิติพร กีรติมโนชญ์ หรือ หมอเชอร์รี่ สัตวแพทย์หญิงประจำแคมป์ช้างของมูลนิธิช้างเอเชียสามเหลี่ยมทองคำ ซึ่งเป็นผู้ดูแลทั้งเรื่องสุขภาพอนามัยและความเป็นอยู่ที่ดีของช้างในแคมป์ช้าง อนันตรา เสริมว่า ปัจจุบันกฎหมายเกี่ยวกับช้างยังมีช่องโหว่เอื้อให้เกิดการกระทำความผิดอยู่มาก ทั้งกฎหมายเกี่ยวกับงาช้างที่กำลังเร่งเอาจริงเอาจังกับผู้กระทำผิด หรือกฎหมายเกี่ยวกับการลงทะเบียนช้าง
"เราคิดว่าต้องลงทะเบียนช้างตั้งแต่เยาว์วัย 1 เดือนอย่างน้อยน่าจะดี แต่ตอนนี้มัน 8 ปี รอให้โตก่อนแล้วไปอำเภอจดทะเบียน ตรวจดีเอ็นเอ แต่การตรวจดีเอ็นเอเอย อะไรเอย มันก็ยังมีข้อจำกัด และถ้ารอ 8 ปี ก็อาจจะบอกว่าแม่ช้างไปแล้ว หาต้นตอไม่ได้ สามารถนำช้างมาสวมตั๋วได้ง่าย บางทีอาจจะเอามาจากป่า พรากมาจากแม่ช้าง อะไรแบบนี้ ซึ่งจริงๆ มันก็เป็นปัญหาเรื่องของกฎหมายที่มันยังกระจัดกระจายด้วยนะ อย่างเรื่องการลงทะเบียนมันอยู่ที่มหาดไทย หรือเรื่องฝังไมโครชิพมันเป็นเรื่องของปศุสัตว์ หรือกระทรวงเกษตร ทีนี้กฎหมายมันกระจัดกระจายแบบนี้ ทำให้การทำงานมีจุดรั่วเยอะ จริงๆ ก็มีการพยายามแก้กฎหมายอยู่ แต่รัฐบาลเปลี่ยนเรื่อยๆ พอนำเสนอไปมันก็ตกทุกที"
สุดท้ายแล้ว จอห์น โรเบิร์ต ที่อุทิศชีวิตให้การอนุรักษ์ธรรมชาติและสัตว์ป่ามานานกว่า 20 ปี บอกว่า สถานการณ์ช้างในเมืองไทยภาพรวมถือว่าดีขึ้นมาก แต่ก็ต้องได้รับการสนับสนุนจากทุกฝ่าย รวมถึงภาครัฐที่มีหน้าที่ดูแลโดยตรงด้วย
"มันดีนะ...แต่อาจจะยังดีไม่พอ ผมว่าเราคงต้องส่งเสริมเรื่องการศึกษา ให้ความรู้ถึงความสำคัญของช้างและป่าไม้ ปลูกจิตสำนึกเรื่องการอนุรักษ์เข้าไป ดีกว่ามานั่งแก้ไขปัญหากันที่ปลายเหตุ" ผู้อำนวยการฝ่ายอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ มูลนิธิช้างเอเชียสามเหลี่ยมทองคำ สรุป







