วินาที...จากพราก

วินาทีระหว่างความเป็นกับความตาย มีปริศนาอะไรซ่อนอยู่ เรื่องนี้คนทิเบตมีคำอธิบายเชิงนามธรรม
“มะเร็งกระจายแล้ว เราก็บอกตัวเองว่าไม่เป็นไร ไม่ใช่วันสุดท้าย เวลาที่เหลือก็ดูแลตัวเองไป และทำความดีก็ช่วยเราได้ จึงมาเป็นจิตอาสาช่วยเยียวยาคนป่วย และเตรียมตัวในวินาทีสุดท้ายของชีวิต”
“ครั้งแรกพอรู้ว่าเป็นมะเร็ง กระจกก็ไม่อยากมอง สามีก็ไม่อยากให้สัมผัส และทุกคนเศร้าไปกับเรา ถ้าเราไม่ปรับตัว ก็ยิ่งทุกข์ จึงหันมาทางธรรมมากขึ้น ช่วยได้เยอะ จากที่เมื่อก่อนชอบขีดกรอบให้ลูกและสามี ตอนนี้ใครอยากทำอะไร ทำแล้วมีความสุข ก็ทำไป ”
“เป็นมะเร็งมาแปดปี ถ้าไม่เข้าใจเรื่องชีวิต ก็จะกินไม่ได้ นอนไม่หลับ ปลดล็อคความกังวลไม่ได้ ต้องทำใจ เปลี่ยนวิธีคิด ปฏิบัติธรรม ทำสมาธิก่อนนอน ทำให้หลับสนิท ไม่ฝัน และช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี”
..........................
จิตอาสาหลายคนของมูลนิธิชีวันตารักษ์ เล่าให้ฟังในช่วงสามวันที่อยู่ในคอร์ส มรณานุสติ ตามแนวทางทิเบต โดย อ.กฤษดาวรรณ หงศ์ลดารมภ์ บรรยายและนำปฏิบัติ ณ ศูนย์ขทิรวัน อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
หลายคนในจำนวนนั้นเป็นจิตอาสาที่ป่วยเป็นมะเร็ง พวกเขาใช้เวลาส่วนหนึ่งไปเยี่ยมผู้ป่วยระยะสุดท้ายด้วยกัน และพวกเขาเข้าใจความรู้สึกลักษณะนี้ได้ดีกว่าคนไม่ป่วย ทำให้ผู้ป่วยหลายคนปรับเปลี่ยนวิธีคิด สู้ชีวิตมากขึ้น
เมื่อถึงวาระสุดท้าย ไม่ว่าจะคนป่วย หรือ ไม่ป่วย คนทิเบตเชื่อว่า ต้องมีการเตรียมตัวตายตามแนวทางคัมภีร์มรณศาสตร์ที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน
มิติความตาย
ไม่ว่าสังคมไหนในโลกใบนี้ คนส่วนใหญ่เลี่ยงที่จะพูดถึง"การจากไปชั่วนิรันดร" เพราะมันดูเศร้า เจ็บปวด อ้างว้าง และเมื่อใดคนที่เรารักจากไป หลายต่อหลายคนรู้สึกว่าเหมือนขาดที่พึ่งพิง
อย่างไรก็ตาม โลกเป็นไปตามวิถี สรรพชีวิตเป็นไปตามวัฏสงสาร (ภพภูมิที่มนุษย์ทุกคนต้องเวียนว่ายตายเกิด )
ดังนั้นคนทิเบตที่นับถือพุทธศาสนา สายวัชรยาน พวกเขาสามารถพูดเรื่องความตายได้ง่ายๆ เสมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และเชื่อว่า คนเราต้องเตรียมตัวในเรื่องนี้ด้วย
“ในสังคมตะวันตก พวกเราไม่สามารถพูดเรื่องการตายต่อหน้าผู้ป่วย แม้กระทั่งความชรา คนตะวันตกก็ไม่พูดถึง คนอายุ 50-60 ก็ยังหนุ่มสาว พระอาจารย์ท่านหนึ่งเล่าว่า เคยอาสาช่วยผู้หญิงคนหนึ่งถือของ แทนที่เธอจะดีใจ กลับรู้สึกว่า ทำไมเราไปมองว่า เธอไม่มีศักยภาพ ดูถูกความสามารถของเธอ” อ.กฤษดาวรรณ เล่า เพื่อเปรียบเปรยให้เห็นถึงวิธีคิดและความเชื่อที่ต่างจากสังคมทิเบต
หากย้อนมาที่สังคมไทย แม้จะมีการพูดถึงเรื่องนี้มากขึ้นในคนกลุ่มเล็กๆ มีการสร้างจิตอาสาทำงานเพื่อดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายมากขึ้น แต่เรื่องการเตรียมตัวตายกลับเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยง ส่วนใหญ่จะเน้นเรื่องการทำพินัยกรรมแบ่งทรัพย์สมบัติให้ลูกหลาน
ในสังคมทิเบตจะมีประเพณีที่เกี่ยวกับความตายเขียนไว้ในคัมภีร์มรณศาสตร์และคัมภีร์อื่น สายวัชรยานในเรื่องการเตรียมตัวตาย ในวาระสุดท้ายของพวกเขา ต้องมีพระอาจารย์หรือผู้ปฏิบัติธรรมมาสวดมนต์หรืออ่านคัมภีร์ให้ เพราะคนส่วนใหญ่เข้าใจสภาวะ และรู้ว่า สภาพแบบไหน ผู้ป่วยจะจากไป
“พวกเขาอาจไม่เก่งด้านเทคโนโลยี แต่เขามีภูมิปัญญาที่สืบทอดต่อกันมา อย่างในช่วง 1 สัปดาห์ ถ้าคนนั้นจะจากไป จะมีสัญญาณทางหน้าตา ยกตัวอย่างอาจปากเบี้ยว จะไม่สมประกอบเหมือนหน้าตาคนปกติ และอาการอื่นๆ เมื่อธาตุในร่างกายแตกสลาย " อ. กฤษดาวรรณ เล่าถึงสัญญาณตามธรรมชาติที่คนทิเบตเเรียนรู้ โดยพวกเขาจะบำเพ็ญกุศลให้ผู้จากไปในช่วง 49 วันช่วยกันสวดมนต์อย่างตั้งใจ อธิษฐานเพื่อให้ผู้ตายเปลี่ยนจิต ตัดเยื่อใยจากโลกใบนี้
แต่สำหรับในสังคมไทย เป็นเรื่องทำใจยาก และไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการภาวนา เพื่อช่วยให้คนที่จากไปได้รับพลังแห่งความเมตตากรุณา ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่งานพิธีศพเป็นแค่การแสดงความเสียใจ ไม่ได้ช่วยกันแผ่เมตตาให้ผู้จากไป และบางครั้งก็ไปนั่งนินทาผู้ตาย ซึ่งคนทิเบตเชื่อว่า ดวงจิตรับรู้
"เรื่องนี้ต่างจากสังคมทิเบต ในพิธีกรรมความตาย พวกเขาจะสวดมนต์อย่างต่อเนื่องและใช้จิตที่มั่นคง ไม่หวั่นไหว หรือปรุงแต่งใดๆ ภาวนาส่งบุญให้ผู้จากไป นั่นก็เป็นการใช้ใจเยียวยาและลาจาก และการสวดมนต์ก็เพื่อไม่ให้จิตหวั่นไหว เพราะจิตที่หวั่นไหวคือ จิตปรุงแต่งจะทำสมาธิได้ไม่ดี คำสวดมนต์มีพลัง มีอำนาจมหาศาล ทำให้คนผู้นั้นจากไปด้วยดี แต่ต้องตั้งใจสวด"
คนทิเบตเชื่อเช่นนั้น และในคัมภีร์มรณศาสตร์เขียนไว้ตั้งแต่ขั้นตอนการจากไป สภาวะจิตตอนตาย ฯลฯ ซึ่งพวกเขาเรียกว่า บาร์โด (สภาวะที่อยู่ระหว่างการมีอยู่และการจากไป) เพื่อให้คนเข้าใจว่า ในระหว่างความตาย จิตมีสภาวะอย่างไร แม้แต่องค์ดาไล ลามะ ก็ต้องซ้อมการเตรียมตัวตายก่อนนอนทุกวัน เพราะเมื่อใดธาตุทั้งสี่ค่อยๆ แตกสลาย สภาวะจิตตอนนั้นจะสั่นคลอนตามร่างกาย จึงจำเป็นต้องเตรียมจิต
ก่อน...ลาจาก
เหมือนเช่นที่รู้ดีว่า เมื่อเรากำลังจะจากไป สิ่งเดียวที่กำหนดได้คือ จิต เพราะเมื่อใดธาตุในร่างกายแตกสลาย นอกจากปรากฏทางกาย ยังมีปรากฏทางจิต
“บางคนทุรนทุรายหายใจไม่ออก ลมหายใจจะค่อยๆ ช้าลง ชีพจรเต้นเร็ว ความดันโลหิตต่ำ และใบหน้าดูหมอง ผู้ป่วยมะเร็งบางคนอาเจียนเป็นเลือด” ทวีวัฒนา ทุนคุ้มทอง อาสาสมัครวัดคำประมง เล่าประสบการณ์ก่อนจากลาของผู้ป่วยระยะสุดท้าย
การจากไปของคนที่ป่วยจะมีอาการที่แสดงให้เห็นทางกายภาพ เมื่อธาตุในร่างกายไม่ทำงานแล้ว สภาวะจิตของผู้ป่วยจะรู้สึกว่า หมดแรง ไม่สามารถตั้งตัวอยู่ได้
“ในทางทิเบต เขามีคำอธิบาย การรับรู้ของแต่ละคนในช่วงนั้นไม่เหมือนกัน บางคนรู้สึกไหวๆ ไม่นิ่ง จิตใจรุ่มร้อน อธิบายไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แพทย์พยาบาลก็ไม่เข้าใจ แต่คนไข้เห็นปรากฏการณ์ในจิตตัวเอง บางทีพูดเหมือนเพ้อว่าไปนั่นไปนี่ ในคัมภีร์ทิเบต อธิบายว่า เขาจะเห็นเป็นแสงกระพริบสีเหลือง เพราะธาตุดินทำงานไม่มั่นคงแล้ว ตาก็พร่ามัว และไม่ว่าจะเห็นปรากฎการณ์ใดก็ตาม คนทิเบตจะสวดมนต์” อ.กฤษดาวรรณ เล่า
และเมื่อมีคนถามกรณีคนที่กำลังจะตาย เพ้อถึงคนที่ตายไปแล้ว นั่นหมายถึงอะไร ผู้รู้ทางทิเบตบอกว่า นั่นเป็นความทรงจำเก่าๆ เพราะวินาทีนั้นคนป่วยไม่ค่อยได้เจอเรื่องใหม่ๆ ในชีวิต ความทรงจำเก่าจึงกลับมา ดังนั้นให้ยึดคำสอนพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ
“ครูบาอาจารย์สายทิเบตทั้งหมดที่เคยภาวนา บอกเราว่า ให้เรากลับมาสู่สภาวะเดิมคือ จิตเดิมแท้ หรือการทำจิตให้ว่าง และความว่างหรือสุญญตาคือ สภาวะธรรมชาติ เต็มไปด้วยศักยภาพการหลุดพ้น “
อย่างไรก็ตามในสายทิเบต ยังบอกอีกว่า การจากไปแบบเฉียบพลัน ซึ่งรวดเร็วมาก อย่างกรณีคนถูกยิ่งเสียชีวิต บาร์
โดขณะกำลังจะตาย อ.กฤษดาวรรณบอกว่า ธาตุในร่างกายแตกสลายเร็วมาก คนตายอาจจะไม่มีสัญญาณทางจิต ไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ทางจิตได้ ต่างจากคนป่วย เมื่ออวัยวะต่างๆ ไม่ทำงานแล้ว
"ดังนั้นเราต้องเปลี่ยนช่วงเวลาเศร้าหมองเป็นการเจริญสติ ประคับประคองให้เบิกบาน เพราะมนุษย์เรามีศักดิ์ศรีที่ยิ่งใหญ่สามารถตายอย่างมีคุณภาพได้ แต่ทั้งหมดต้องฝึกฝน”
ห้วงเวลามืดมิด
ถ้าคนไทยพูดว่า ความตายเป็นเรื่องธรรมชาติ เขาอาจไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น เพราะพุทธศาสนาในบ้านเราไม่ได้อยู่ในวิถีชีวิต แต่อยู่ในพิธีกรรม ซึ่งต่างจากคนทิเบตที่มีความเชื่อและศรัทธาในพุทธศาสนา จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต พวกเขาเชื่อด้วยหัวใจว่าความตายเป็นเรื่องธรรมดาและธรรมชาติของชีวิต ไม่เช่นนั้นคงไม่มีประเพณีโยนศพให้แล้งกิน
พระอาจารย์ทิเบตท่านหนึ่งบอกลูกศิษย์ว่า “เมื่อคนตายแล้ว เอามาหนุนเป็นหมอน ยังได้เลย เพราะไม่มีอะไรอยู่แล้ว”
จึงไม่แปลกที่ใครๆ พบเห็นคนทิเบตนั่งสวดมนต์ได้ทั้งวัน หรือระหว่างการทำงานก็สวดมนต์ ดังนั้นการสวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตายจึงเป็นธรรมดา
“ในช่วงสามวันที่คนทิเบตเสียชีวิต จะไม่มีการแตะต้องศพ ศพจะอยู่ในที่ๆ พวกเขาจากไป เมื่อหนอนและเชื้อโรคจากไปแล้ว ก็พร้อมจะนำร่างกายไปกำจัด หั่นให้แล้งกิน หรือโยนให้ปลากินเป็นอาหาร เพราะพวกเขาคิดว่า การทำอย่างนั้นจะทำให้คนจากไปได้บุญมากที่สุด"
นอกจากนี้ยังมีบางกรณีนำไปเผาหรือฝัง แต่ด้วยพื้นที่ของทิเบตที่มีภูเขามากและแห้งแล้ง การเผาจึงเป็นเรื่องยุ่งยาก และพวกเขาเชื่อว่า ครูบาอาจารย์ที่ตั้งจิตดี ปฎิบัติดี ตลอดชีวิต เวลานำไปเผาจะไม่มีมลพิษ และเผาแล้วจะเป็นอากาศธาตุที่บริสุทธิ์ เยียวยาจักรวาลได้
ความเชื่อมากมายในเรื่องความตายที่อาจารย์กฤษดาวรรณ เล่าให้ฟังส่วนอาจารย์มิว เยินเต็น ชาวทิเบตที่มาช่วยให้ความรู้เรื่องเกี่ยวกับทิเบต ณ ศูนย์ขทิรวัน เขาบวชเรียนใช้ชีวิตในวัดมานานกว่า 27 ปี และมีลุงเป็นพระอาจารย์ในวัด เขาจึงได้เรียนรู้พุทธศาสนา พิธีกรรมและประเพณีการจัดพิธีศพของคนทิเบต
“ภูมิปัญญาคนทิเบตจะถ่ายทอดจากครูสู่ศิษย์ จากรุ่นสู่รุ่น เรื่องจิตมนุษย์ไม่เคยเปลี่ยน แต่สิ่งที่เปลี่ยนคือ การปรุงแต่ง ลุงผมเป็นภิกษุอยู่ในวัด ปฎิบัติธรรมอย่างพากเพียร ลุงช่วยดูแลการก่อสร้างวัด ผมสนิทกับลุงมาก ตอนป่วย ลุงบอกว่า คงไม่รอด แต่ผมไม่เชื่อ และตั้งใจว่าจะดูแลลุงไม่ไปไหน ผมก็นอนข้างเตียง ในช่วงลุงป่วย ก็มีพิธีสวดมนต์ให้ลุง ถ้าลุงไม่หาย ก็ให้จากไปโดยได้รับพรนั้น ”
ก่อนจากลาลุงของเขามีเงินอยู่ 7,000 หยวน จึงได้สั่งเสียให้เขานำเงินไปทำบุญ และมอบให้กัลยาณมิตรที่เคยช่วยเหลือลุงของเขา
“ตอนตี 4 ลุงบอกว่าต้องจากไปแล้วนะ ให้จับลุงนั่ง ผมก็ไปเอาโอสถทิพย์ ซึ่งเป็นยาลูกกลอนสำหรับวาระสุดท้ายของชีวิตมาให้ลุงกิน ตอนนั้นผมสังเกตเห็นว่า ลุงมีลมหายใจออกเยอะ หายใจเข้าแผ่วเบา ผมจะกระซิบคำสอนข้างหูลุง เพื่อให้ลุงนำไปใช้ ลุงจากไปอย่างอ่อนโยน” เยินเต็นเล่าให้ฟัง และคุยต่อว่า ปกติคนจากไปตัวจะเย็นมาก ในพิธีกรรมของทิเบต จะมีการนำกระดาษยันต์ทาเนยปิดตามตัว แต่ยันต์ที่ติดบนตัวลุงของเขาหลุดออกมา เพราะลุงยังปฏิบัติสมาธิในระหว่างบาร์โดนั้น ๆ ในสายทิเบตเชื่อว่า คุรุที่ภาวนาเข้มจะสามารถควบคุมจิตได้ ดังนั้นขณะกำลังจะตายและระหว่างตาย จิตยังอยู่ในระหว่างการภาวนา
“นั่นเป็นการตายภายนอก ธาตุลมสลาย แต่ดวงจิตยังตามลมสมาธิอยู่ 7 วัน เพราะลุงเข้าใจสภาวะการแตกสลายของธาตุ และรู้ล่วงหน้าว่าจะจากไป “ เยินเต็น เล่าการจากไปตามความเชื่อแบบทิเบต
อย่างไรก็ตามในส่วนนี้ อ.กฤษดาวรรณ บอกว่า ถ้าเราสังเกตคนที่โคม่ามากๆ จะไม่รับรู้แล้ว บางคนนอนนิ่งๆ เป็นอาทิตย์ ร่างกายจะบวม
“เขาไม่สามารถบอกเราได้ว่ารู้สึกยังไง ไม่ว่าร้อนหรือหนาว แต่สิ่งสำคัญคือ ปรากฏที่เกิดขึ้นในจิตคนๆ นั้น ให้เรากลับไปหาความว่าง สภาวะจิตเดิมแท้ ตอนยังไม่จากไปให้ซ้อมอยู่เรื่อยๆ ”
นี่คือ ความเชื่อตามภูมิปัญญาทิเบต ซึ่งเป็นเรื่องนามธรรม รู้ได้เฉพาะตน เหมือนคำสอนของพระพุทธเจ้า







