เที่ยวดอยด้วยรักษ์ 'สุรสิทธิ์ ดลใจไพรวัลย์'

สำหรับนักเดินทางหัวใจสีเขียว การออกท่องเที่ยวแต่ละครั้งไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการได้เที่ยวไปในป่าเขาลำเนาไพร
และศึกษาเส้นทางธรรมชาติบนยอดดอยในพื้นที่ตอนเหนือของประเทศไทย
แต่หากต้องการเดินป่าและสัมผัสวิถีชีวิตของคนชนเผ่าไปด้วย หมู่บ้านผาหมอน น่าจะตอบโจทย์ได้ตรงใจได้มากที่สุด
บ้านผาหมอน อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ เป็นหมู่บ้านขนาดกลาง ก่อตั้งมาประมาณ 136 กว่าปีมาแล้ว ในอดีตประชากรอพยพมาจากอำเภอแม่สะเรียงและอำเภอปาย และปลูกบ้านเรือนบริเวณใกล้ๆ หุบเขาที่ล้อมรอบไปด้วยดอยทั้งสองฟากฝั่ง ตัวหมู่บ้านตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของดอยอินทนนท์ ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่โดยผ่านอำเภอหางดง - สันป่าตอง - จอมทอง จากเชียงใหม่มุ่งสู่ดอยอินทนนท์จนถึงชุมชนมีระยะทางประมาณ 100 กิโลเมตร อยู่ช่วง กม. 26 ก่อนขึ้นยอดดอยอินทนนท์ โดยทั่วไปมีบรรยากาศเหมือนเมืองปายในยามเช้า มีนาขั้นบันไดที่สวยงามเป็นชั้นๆ ได้ชมวิถีชีวิตของชาวกะเหรี่ยงในหมู่บ้าน
ที่สำคัญคือ ได้เรียนรู้การอนุรักษ์ป่าและพิธีกรรมดั้งเดิมของชาวกะเหรี่ยง ผ่านโปรแกรมการท่องเที่ยวที่ชาวบ้านในพื้นที่ลุกขึ้นมาจัดการการท่องเที่ยวด้วยตัวเอง โดยมี สุรสิทธิ์ ดลใจไพรวัลย์ ผู้ประสานงานการท่องเที่ยวโดยชุมชนบ้านผาหมอน เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักในการผลักดันให้เกิดการท่องเที่ยวในพื้นที่อย่างยั่งยืน
- การท่องเที่ยวโดยชุมชนของบ้านผาหมอน มีจุดเริ่มต้นอย่างไร
ย้อนไปเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ชุมชนของเราเริ่มอยู่ในลูปการท่องเที่ยวแล้ว แต่ไม่มีรูปแบบการจัดการ ใครอยากมาก็มา ขณะเดียวกันก็มีงานวิจัยถาโถมเข้ามาในพื้นที่ของเราเยอะ แต่ก็ยังไม่เห็นเป็นรูปธรรม ก็เป็นอย่างนั้นมาได้ระยะหนึ่ง ผมเองในฐานะคนในชุมชนแล้วก็ได้ออกไปรียนไปทำงานในเมือง และได้กลับมาที่ชุมชนบ่อยๆ เราก็ปรึกษากันกับผู้หลักผู้ใหญ่คนอื่นๆ ในชุมชนว่า ในพื้นที่เรามีนักท่องเที่ยวเข้ามาก็จริงแต่มันไม่มีทิศทาง เราน่าจะทำวิจัยเพื่อหารูปแบบการท่องเที่ยวที่มันเป็นรูปแบบของชุมชนเอง เราก็เริ่มพัฒนาชุมชนมาตั้งแต่ปี 2546 พอปลายปี 2548 เราก็เริ่มทำงานวิจัย เราไปขอทุนจากสกว. มาทำงานวิจัยกัน นั่นเป็นจุดเริ่มต้นในการวางรากฐาน
- งานวิจัยที่ทำคืออะไร
เราเรียกชื่อโครงการว่า 'การท่องเที่ยวเชิงศึกษานิเวศและวัฒนธรรมของชนเผ่าในพื้นที่ดอยอินทนนท์' ก็คือชนเผ่ากะเหรี่ยง แล้วหัวข้อย่อยเราก็สนใจศึกษาว่าจะหารูปแบบในการจัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชนได้อย่างไร เราก็แบ่งทีมงานออกไปทำงานวิจัย ก็มีฝ่ายศึกษาเรื่องประวัติศาสตร์ชุมชน การนิเวศศึกษา การเกษตร การทอผ้า จักสาน สมุนไพร หลายๆ เรื่องก็แบ่งหน้าที่กัน ก็เป็นคีย์ในการหาข้อมูลชุมชนว่าอะไรที่เหลืออยู่ อะไรที่สามารถเพิ่มเติมเข้ามาได้บ้าง
ตอนที่ทำวิจัยชิ้นนี้ก็เกิดมรสุมหลายๆ อย่าง เข้าใจกันบ้างไม่เข้าใจกันบ้าง อย่างผมนี่โดนหนักเลย เพราะผมเป็นหัวหน้าโครงการด้วย ผมได้ไปเห็นข้างนอกมา ผมก็พยายามเอามาปรับให้มันเหมาะสม ทำไปสัก 6 เดือน เราก็มาสรุปการทำงานและมาทบทวนกันดูว่า ชุมชนมีความขัดแย้งอย่างไร และเราจะต้องเดินหน้าต่อไปอย่างไร เกือบจะล้มโครงการไปเหมือนกัน หลายคนก็แสดงความเป็นห่วงว่าถ้าจัดการไม่ดีก็จะล้มนะ ในทีมนักวิจัยข้างนอกที่มาช่วยทำงานก็บอกว่า ถ้าเกิดว่าเราไม่จัดการด้วยตนเองแล้วให้คนนอกเข้ามาทำ มันก็อาจจะเกิดปัญหาเยอะกว่านี้ ก็เป็นการถกเถียงกัน ในระยะ 1-3 ปี ก็เป็นบทพิสูจน์ว่าเราทำได้หรือไม่ได้ พอวันที่ 26 มกราคม 2549 เราก็สรุปเวทีงานวิจัยและปิดโครงการ พร้อมกับเปิดการท่องเที่ยวโดยชุมชนบ้านผาหมอน วันแรกที่นักท่องเที่ยวเข้ามาก็เกิด Impact มาทันที เพราะว่าการสื่อสารระหว่างชุมชนกับบริษัททัวร์ก็เข้าใจกันง่าย นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามามากมาย
- การจัดการที่วางไว้มีรูปแบบอย่างไร
เรามีผู้จัดการ ทำหน้าที่จัดการทัวร์ในชุมชนทั้งหมด ทั้งเรื่องจัดหาไกด์ เรื่องอาหารการกิน เรื่องจิปาถะ แล้วก็มีคณะกรรมการชุดใหญ่ชุดหนึ่งคอยดูแลระบบทั้งหมด ก็จะมีประธาน รองประธาน หน้าที่ของเขาก็คือว่าเวลาเกิดปัญหาหรือว่าเวลาชุมชนต้องการความช่วยเหลือจากเรา ก็จะนำเรื่องเข้าที่ประชุมเพื่อให้ที่ประชุมหาข้อตกลงร่วมกัน แล้วก็การจัดการรายได้ ในส่วนของไกด์ท้องถิ่นที่ได้เงินจากการท่องเที่ยวก็ต้องแบ่งเงินให้ชุมชน 10 เปอร์เซ็นต์ อาหาร 5 เปอร์เซ็นต์ รถขนส่ง 5 เปอร์เซ็นต์ ทุกอย่างคืนให้กับชุมชน ส่วนในบทบาทหน้าที่ของผม ผมก็จะเป็นคนกลางคอยประสานงานระหว่างท่องเที่ยวชุมชน บริษัททัวร์ และงานวิชาการ ถ้าปัญหาหนักๆ ผมก็ต้องเข้ามาทำหน้าที่ไกล่เกลี่ย เป็นคนกลาง
- ปัญหาหนักๆ ที่ว่าคืออะไร
ก่อนที่บริษัททัวร์จะนำนักท่องเที่ยวเข้ามา เขาค่อนข้างเข้าใจว่าในมิติของชุมชนการจัดการต้องเป็นรูปแบบอย่างนี้ เราไม่ต้องการจำนวนนักท่องเที่ยวเยอะ เขาต้องเคารพกฎชุมชน เคารพวัฒนธรรมชุมชน ส่วนนี้เขาเข้าใจ และเขาก็คอยชี้แจงกับนักท่องเที่ยวให้ เรื่องของความไม่เข้าใจของนักท่องเที่ยวแทบจะไม่มี นักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาเขาต้องเรียนรู้เรื่องต่างๆ เหล่านี้ก่อน แต่ที่มีปัญหาคือในตัวชุมชนเอง ความร่วมมือร่วมใจของคนในชุมชนยังไม่เต็มร้อยเปอรืเซ็นต์ แต่ทุกวันนี้ก็ถือว่าดีขึ้นมากกว่าแต่ก่อน ตอนนี้ก็น่าจะประมาณเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ อย่างบ้านพักที่เราสร้างขึ้นเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว ชาวบ้านทุกคนเป็นเจ้าของร่วมกัน ครอบครัว 200 กว่าหลังคาเรือนก็เข้ามามีส่วนร่วมหมดแล้ว บางคนก็มามีส่วนร่วมในแง่ของความเข้าใจ บางคนก็อาจจะคิดในเรื่องของผลประโยชน์ก็มี ซึ่งมันเป็นเรื่องธรรมดาที่แต่ละคนจะคาดหวังจากตรงนี้ แต่ถ้าเทียบกับสมัยก่อนคือ จากหน้ามือเป็นหลังมือเลย
- ที่นี่มีกิจกรรมอะไรที่น่าสนใจบ้าง
เราจัดเป็นแพ็คเกจท่องเที่ยว 2 วัน วันแรกที่มาถึง ไกด์จะพานักท่องเที่ยวเดินผ่านถนนใหญ่เข้ามา ซึ่งทางนี้เป็นทางที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์เคยเสด็จข้ามดอยมา ในมิติตรงนี้เราก็ใช้องค์ความรู้ของงานวิจัยเรื่องป่านิเวศศึกษามาอธิบายให้นักท่องเที่ยวฟังไปด้วยขณะเดินเที่ยว ใช้เวลาเดิน 3-4 ชั่วโมง ไกด์จะพูดให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดการป่า การใช้ป่าของคนในชุมชน จากนั้นจะเดินทะลุมาถึงทุ่งนา โรงเรียน แล้วก็มาถึงบ้านพัก ส่วนกระเป๋าสัมภาระเราจะมีรถในชุมชนไปรับมาส่งไว้ให้ที่บ้านพัก
วันที่สอง ช่วงเช้าก็จะพาไปเดินเที่ยวในชุมชน ดูวิถีชีวิตว่าเขาอยู่ยังไง กินยังไง บางวันก็อาจจะเจอทอผ้า เราไม่ได้เซ็ตกิจกรรมอะไรที่มันหลุดไปจากวิถีจริงๆ ของคนที่นี่ ส่วนตอนบ่ายก็ปั่นจักรยาน มีเม้าเทนท์ไบค์ไว้บริการ พาไปเที่ยวน้ำตก ชมโครงการหลวงตามยอดดอย ซึ่งโปรแกรมทั้งหมดชุมชนมาช่วยกันออกแบบ ช่วยกันคิดและวิเคราะห์ต่อว่าควรใส่อะไร ควรจะมีอะไรเพิ่มบ้าง
- พอนักท่องเที่ยวเข้ามาเยอะๆ มันทำให้วิถีดั้งเดิมเปลี่ยนไปไหม
จริงๆ แล้ว ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมมันเกิดขึ้นทุกวัน แต่ในวิถีที่เราเรียนรู้จากสังคมภายนอกมันก็สอนเราเหมือนกัน เพียงแต่ว่าเราจะคิดได้หรือเปล่า ถ้าผมยกมาตรฐานของตัวเองในฐานะที่ผมเดินทางบ่อย ผมก็รักในสิ่งที่ผมเป็น แต่คนอื่นที่เขาเปลี่ยนแปลงตัวเองก็ไม่ได้แปลว่าเขาไม่รักถิ่นฐานหรือรักในอัตลักษณ์ของเขา เพียงแต่เขาก็เปลี่ยนไปตามยุคตามสมัยเท่านั้นเอง อย่างในวิถีของกะเหรี่ยง เขาอยู่กับป่ามากกว่า เขาก็รักในสิ่งนี้ แต่ในอีกมิติอย่างแม่แจ่มก็คือมีกลุ่มนายทุนเข้าไปเปลี่ยนแปลง วิถีตัวเองก็ลืมไป อย่างนี้ก็มี
- สอดแทรกเรื่องอนุรักษ์ไว้ในการท่องเที่ยวโดยชุมชนอย่างไรบ้าง
เราใช้กระบวนการวิถีท่องเที่ยวชุมชน คุยเรื่องสิ่งที่เราเป็นอยู่แล้ว อย่างการใช้ทรัพยากรป่า เราไม่ต้องบอกว่าเราทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เราบอกว่าเราใช้ป่าอย่างไร ซึ่งก็เป็นกระบวนการหนึ่ง แต่ในแง่วัฒนธรรมนั่นอีกอย่าง ถ้าเดินไปเจอเขาทำพิธีกรรมอะไรก็แล้วแต่ ถ้าไปเจอแล้ว เราก็อธิบายว่านี่คือวิถีของคนที่นี่ เขาไปทำงานที่โครงการหลวง ทำงานที่สวนกลับมา ทำไมต้องผูกข้อมือ ปีใหม่ต้องมีพิธีอะไรยังไง ก็เชื่อมโยงให้นักท่องเที่ยวได้เห็นภาพ
ถือว่าโปรแกรมทัวร์ของที่นี่เราใช้องค์ความรู้ของท้องถิ่นตัวเองจริงๆ







