เพศศึกษาของ 'นางพญาผมขาว'

เพศศึกษาของ 'นางพญาผมขาว'

มองให้ทะลุผ่านม่านศีลธรรมเพื่อแก้ปัญหาท้องไม่พร้อมในวัยรุ่น และให้สังคมก้าวข้ามการ "ตีตราบาป" ไว้ที่ผู้หญิงเพียงฝ่ายเดียว

"อารมณ์น่ะ กูก็มี แต่ถ้าถุงยางไม่มี มึงก็อด..." วลีเด็ดจากละครซีรีส์เรื่องดังจากค่ายจีทีเอช ที่กำลังถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในวันนี้ ดูจะเป็นนิยามทัศนคติเรื่องใต้กระโปรงของวัยรุ่นไทยค่อนข้างชัดเจนในมุมหนึ่ง

ไม่เฉพาะชีวิตของลูกหลานชนชั้นกลาง (โรงเรียนดัง มีฐานะ) ที่โลดแล่นเป็นตัวแทนเหล่าโจ๋กระโปรงบานขาสั้นยุคดิจิทัล จะถูกอธิบายผ่าน "ฮอร์โมน" ชนิดต่างๆ แล้ว ยังมี "เรื่องบนเตียง" ที่ยึดโยงปฏิสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาเอาไว้อย่างเป็นเนื้อเดียวกัน

บ้างก็ว่า เพราะเทคโนโลยีที่เปิดกว้างมากขึ้น ทำให้คนรุ่นใหม่สามารถเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ได้ง่าย โดยเฉพาะเรื่องเพศ

นั่นเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เรื่อง วัยรุ่นวันนี้... "เอากันไวเหมือนกระต่าย" ไม่ก็ "น้ำแตก แล้วแยกทาง" กลายเป็นความกังวลของ "ผู้ใหญ่" หลายๆ คน จะทำให้เกิดปัญหาสังคมตามมา โดยเฉพาะการท้องก่อนวัยอันควร ทั้งที่สังคม (วัยรุ่น) ไทยเรียนรู้สิ่งเหล่านี้มานานแล้ว

"เมื่อก่อนคนเราก็มีคู่กันตั้งแต่อายุน้อยๆ นะคะ" รศ.ดร.กฤติยา อาชวนิจกุล จากสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล พูดถึงความ "ปกติ" ของเมื่อวาน

แน่นอนว่า ปัญหาการ "ท้อง-แท้ง" สำหรับบ้านเราไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ แต่สิ่งที่ทำให้ความเรื้อรังไม่ต่างจากพายเรือวนในอ่าง ก็เพราะอาการกระมิดกระเมี้ยนเรื่องในมุ้งของสังคมไทยที่มี "ความเชื่อ" และ "ทัศนคติ" เป็นประเด็นสำคัญ จนกลายเป็นจุดยืนของการทำงานทั้งในส่วนวิชาการ และเครือข่ายสนับสนุนทางเลือกของผู้หญิงที่ท้องไม่พร้อม

กว่า 3 ทศวรรษของการทำงาน จน "ท้องไม่พร้อม - แท้งถูกกฎหมาย" แทบจะกลายเป็นโลโก้ประจำตัวของเธอไปแล้ว วันนี้ เรื่องนี้ รศ.ดร.กฤติยา ก็ยังยืนยันว่ายังคุยได้ (ชนิด 3 วันไม่จบ)

นี่คือ "เพศศึกษา" ฉบับ "นางพญาผมขาว"

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ตัวคุณยืนยันว่า ท้องไม่พร้อมสามารถทำแท้งถูกกฎหมายได้ก็ตาม แต่มุมหนึ่งต้องถือว่า ค่อนข้างท้าทายหลักการของศาสนา และศีลธรรมจรรยาในสังคมไทยอยู่พอสมควร ?

จริงๆ ศาสนาเป็นเรื่องความเชื่อ เป็นความละเอียดอ่อน ซึ่งเป็นเรื่องส่วนบุคคล เราไม่ควรก้าวล่วงไปบอกว่า ความเชื่อเขาถูก หรือผิด อย่างคนที่ไม่กินเนื้อสัตว์ แต่เราชอบกินเนื้อสัตว์มาก เราไม่ควรเอาการกินเนื้อสัตว์ที่ได้โปรตีนอย่างเต็มที่ ไปตัดสินเขาว่า เป็นคนโง่ ดังนั้น ในกรณีของคนที่ท้องไม่พร้อม แล้วเขาต้องการยุติการตั้งครรภ์ แง่หนึ่งเขาเป็นผู้ป่วยในสังคม เมื่อมีปัญหา เขาต้องการคลี่คลายปัญหา ถ้าเรามีความเชื่ออะไรก็ตาม อย่าเอาความเชื่อของเราไปตีตราเขา ไปทำร้ายทางอ้อม หรือไปทำให้เขาเกิดปัญหามากขึ้น

ในสังคมไทยขณะนี้ ทำอย่างที่พูด ก็คือ คิดว่า การทำแท้งเท่ากับการฆ่า สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ไปตีตราผู้หญิง เป็นแม่ใจอำมหิต แม่ใจยักษ์ แม่ใจร้าย ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้เลยว่า ผู้หญิงคนนั้นเขามีปัญหาอะไร คุณรีบตีตราเขาเลย เสร็จแล้ว พุทธพาณิชย์ หากินกับผู้หญิงกลุ่มนี้ มีการล้างบาป ล้างกรรม คุณไปเซิร์ชเว็บไซต์ดูได้ มันมีรูปแบบในการชำระบาปแก้กรรม แล้วต้องเสียเงินด้วยนะ บางวัดขึ้นคัตเอาท์โฆษณาเลยว่า ถ้าทำแท้งให้มาแก้กรรมได้ที่นี่ กลายเป็นว่า ทางหนึ่งคุณไปตีตราเขา อีกทางหนึ่งเหมือนจะช่วยนะ แต่ไปหากินกับเขาอีก เสร็จแล้วคุณโบยตีความรู้สึกของคนๆ นั้น ซึ่งมันไม่ยุติธรรมอย่างยิ่ง

หากมองว่าเป็นการบำบัดทางจิตอย่างหนึ่งล่ะ ?

ในแง่ของการให้คำปรึกษา หรือการทำงานเรื่องนี้ ถ้าเกิดผู้หญิงเขามีความรู้สึกว่าเขากำลังจะทำบาป เราจะต้องบอกเขาว่า ผู้หญิงจะมีความรู้สึกยังไงบ้างกับสิ่งที่ตัวเองทำ ตัวเองต้องเผชิญกับอะไรบ้าง ถ้าคิดว่าสามารถจะเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ได้ มันก็อยู่ที่การตัดสินใจของผู้หญิงคนนั้น แต่ที่ทำกันอยู่ก็คือ ตัดรอนเลย บอกไม่ให้ทำเท่านั้น แล้วก็ไม่มีทางเลือกอื่นๆ ให้

ทีนี้ก็มีผู้คนจำนวนหนึ่งคิดว่า นี่คือการแก้ปัญหา เขาไม่คิดว่านี่คือการผิดบาป ถ้าคนเชื่ออย่างนั้นก็โอเค โดยส่วนตัวเชื่อว่าเป็นการแก้ปัญหา มันมีคำพูดหลายอัน ซึ่งมันเป็นคำเปรียบเทียบของคุณหมอคนหนึ่งที่เขาสนับสนุนผู้หญิงที่มีปัญหา และต้องการยุติการตั้งครรภ์ก็บอกว่า วันๆ หนึ่งคนเป็นหมอให้ยาฆ่าเชื้อไม่ว่าจะเป็นแบคทีเรีย หรือไวรัส เป็นหมื่นเป็นล้านตัวนะ คุณเป็นแม่บ้านล้างห้องน้ำ คุณก็ฆ่าเชื้อโรค ฆ่าสิ่งมีชีวิตเหมือนกันนะ นี่คือถ้าจะมองเรื่องการฆ่า ถ้าคุณเป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่จะต้องประหารผู้อื่น คุณก็ต้องประหาร ถูกไหม เพราะฉะนั้น มันต้องมองเรื่องพวกนี้แยกจากกัน

วิธีการเปรียบเทียบแบบนี้ ทำให้เห็นภาพว่าตัวผู้หญิงเขาเป็นเจ้าของร่างกายตัวเอง ขณะที่ตัวอ่อนที่ยังไม่คลอดออกมามันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเขา ถ้าเขาหายใจ ตัวอ่อนก็หายใจด้วย เขากินอาหาร มันก็ลงไปเลี้ยงตัวอ่อน เพราะฉะนั้น ถ้าเขามีปัญหา เพื่อให้ชีวิตเขาอยู่รอดได้ด้วยเหตุอะไรก็ตามแต่ เขาเอาตัวอ่อนนั้นออก มันบาปตรงไหน เขารักษาร่างกาย รักษาชีวิตเขา เพราะฉะนั้น มันจึงมีความเชื่อหลายชุดมาก เพียงแต่ของเรามีความเชื่อชุดเดียว และเป็นความเชื่อซึ่งเป็นคนดี ไม่ฆ่าสัตว์ เท่ากับบาป แต่วิธีคิดแบบนี้มันไปโบยตีคนอื่น ไปทำร้าย และสร้างนรกให้คนอื่น

ในทางพุทธศาสนาอย่างที่ท่านพุทธทาสเคยพูดไว้ ศ.ดร. สมภาร พรมทา ซึ่งเป็นอาจารย์ปรัชญาที่อักษรศาสตร์จุฬาฯ หรือ ท่านพระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ก็จะมองคล้ายๆ กัน คือไม่ได้บอกว่า ไม่บาปนะ เพียงแต่ท่านเหล่านี้มีการตีความเรื่องทางโลกกับทางธรรมแตกต่างกัน

โดยส่วนตัวทำงานกับเรื่องนี้มานาน แล้วก็ไม่ได้ต่างจากคนอื่น เพราะเราก็โตมากับชุดความเชื่อ แต่พอทำงานเราก็พบปัญหามากขึ้น พบความซับซ้อนมากขึ้น ก็เชื่อมั่นว่าสิ่งที่เราทำไม่ได้ทำบาป เราช่วยเหลือคนอื่น ก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองทำบุญนะ แต่มันเป็นจุดยืนของตัวเองที่คิดว่า เราทำงานเพื่อแก้ปัญหาให้ผู้หญิงซึ่งเขามีปัญหา

จนถึงวันนี้ โดยเฉพาะวัยรุ่นก็มีการทำความเข้าใจเรื่องเพศ ผ่านสื่อต่างๆ มากขึ้น อย่างล่าสุดที่ออกมาเป็นซีรีส์ทางโทรทัศน์ที่พูดถึงพฤติกรรมวัยรุ่นที่ถูกแสดงออกผ่านฮอร์โมนชนิดต่างๆ ทั้งหมดถือเป็นแนวนำไปสู่การแก้ปัญหาด้วยอีกทางหนึ่งหรืเปล่า

ส่วนตัวไม่ใช่คำตอบ คือ คำอธิบายลักษณะแบบนี้ มันเป็นคำอธิบายที่ดูมิติเดียว เหมือนคนจะอธิบายว่า ผู้ชายมันมีแรงขับทางเพศสูงกว่าผู้หญิง สังคมถึงต้องมีโสเภณี ไอ้เทสโทสเทอโรน (Testosterone) ฮอร์โมนชายมันจะทำให้ผู้ชายมีกำหนัดเยอะ แต่มันแปลกไหมว่า พอบวชพระแล้วไม่เอาเลยตลอดชีวิต ทำได้ไง หรืออะไรอย่างนี้ จริงๆ แล้ว แรงขับเรื่องภายในความรู้สึกทางเพศ มันมีกันทุกคน แต่กฎเกณฑ์หรือกติกาซึ่งเป็นโลกภายนอกร่างกายเราจะเป็นตัวที่บอกว่า เราควรจะมีเพศสัมพันธ์มากน้อยแค่ไหน กับใคร อย่างไร หรือถ้าคุณอยู่ในอาชีพ หรือสภาวะใด คุณไม่ควรจะมีเพศสัมพันธ์ เพราะมันไม่ใช่คำตอบสำเร็จรูป

เหมือนกับคนพยายามจะตอบว่า คนที่เป็นเกย์ เลสเบี้ยน ทอม อะไรพวกนี้ มีปัญหาทางกายภาพ มีต่อมไต อะไรสักอย่างโตผิดปกติ ไม่ใช่คำตอบ ชุดความเชื่อเรื่องคุณค่าต่างหาก ที่มันมีความสำคัญมากในโลกปัจจุบันนี้ ในการที่คนๆ หนึ่งจะดำรงชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งชีวิตทางเพศ เพราะว่าในสังคมไทยมันถูกมองอย่างเป็นเรื่องลบ เป็นเรื่องสกปรก อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับเรื่องเพศมันกลายเป็นเรื่องผิด มันมีโอกาสที่กลายเป็นเรื่องผิดมากกว่าถูก

หากมองอย่างเปิดใจกันจริงๆ สามารถพูดได้ไหมว่า วันนี้ สังคมไทย เรา "แรด" กันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ?

(นิ่งคิด) ... พยายามคิดว่าพูดได้ ไม่ได้ เพราะสมัยก่อนคนมีเซ็กส์อายุน้อย แต่มันไม่ได้มีบันทึกไว้ รัชกาลที่ 5 เขามีกิ๊กคนแรก อายุ 15 นะ คนสมัยก่อนแต่งงานอายุน้อย อายุ 14 -15 ก็แต่งงานมีลูกกันแล้ว ไม่มีใครกรี๊ดกร๊าดจะเป็นลมตกใจอะไรทั้งสิ้น มันหนีตามกันไป หรือมันเอากันข้างกองฟางเป็นเรื่อง "ปกติ" แต่เขาก็มีกลไกทางสังคมที่จะทำให้คนที่มีเพศสัมพันธ์เหล่านี้สามารถจะไม่ถูกตีตรา หรือหลุดรอดออกไปใช้ชีวิตได้ยังไง เช่น การพาหนี การขอขมา หรืออะไรก็ตามแต่ละพื้นที่ไป

แต่ในปัจจุบันเรายังใช้วิธีคิดทางเพศในเชิงอุดมคติ ในเชิงจารีต มาเป็นกรอบในการที่จะตัดสินชีวิตทางเพศของคนทุกเพศทุกวัย แล้วคราวนี้เราทำได้กับเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ เราจะมีวิธีคิดกับเด็กอยู่ชุดหนึ่งว่ามันต้องเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ไม่สอนให้เด็กคิด แต่พอมีเด็กคนหนึ่งคิด และสร้างความต่างขึ้นมา ไปตีตราไอ้เด็กคนนั้นอีกว่าเป็นเด็กมากเรื่อง เป็นต้น

เพราะฉะนั้นแล้ว เราต้องกลับมามองวิธีคิดของสังคมไทยเรื่องเพศด้วย ถามว่ามันแรดกันกว่าสมัยก่อนไหม ตอบไม่ได้เพราะ เนื่องจาก... นี่ตอบอย่างนักวิจัยเลยนะ เพราะไม่มีการศึกษาให้ดูรู้ว่า เมื่อก่อนเขามีเซ็กส์กันครั้งแรกเมื่อไหร่ จริงๆ การศึกษาลักษณะแบบนี้มันไกลที่สุดแค่เมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปในสังคมไทยก็คือ ผู้ชายสมัยก่อนมีเซ็กส์ครั้งแรกกับเมียตัวเอง พอมาอีกรุ่นหนึ่งมีเซ็กส์ครั้งแรกกับโสเภณี แต่ปัจจุบันมันเปลี่ยนไป วันนี้ผู้ชายมีเซ็กส์ครั้งแรกกับเพื่อน ทีนี้ก็ต้องมาดูว่า มันมีอะไรเกิดขึ้นในบริบทของสังคมไทยด้วย

มันเกิดอะไรขึ้น

ไม่ใช่ผู้ชายรุ่นนี้มันไม่เอากับผู้หญิง แต่ต้องไปเสียความบริสุทธิ์กับโสเภณี ไม่ใช่ พอมาอีกยุคหนึ่ง มันเปลี่ยนไป ผู้ชายมีเซ็กส์ครั้งแรกกับเพื่อน หลังจากมีเอดส์ระบาด จุดอ่อนของการทำเซอร์เวย์เรื่องนี้ก็มีเรื่องเซ็กส์กับเพศเดียวกันด้วย แต่สมัยก่อนไม่เคยมีวิธีคิดที่จะถามคำถามเหล่านี้อยู่ หรือถ้ามีมันก็ต่ำมาก เพราะสังคมยังไม่ยอมรับ เลยไม่มีใครตอบ เป็นต้น

มันกลายเป็นบรรทัดฐานที่เปลี่ยนไป จริงๆ มันกลายเป็นเรื่องคุณค่า เรื่องความเชื่อด้วย เป็นคนรุ่นอายุ 60 ขึ้นไป เอากันก่อนแต่งงานเรามีความรู้สึกว่าเพื่อนเราไม่ดีนะ แต่ถ้าลองถามเด็กรุ่นนี้เขาก็จะมองไม่ใช่เรื่องเสียหาย บรรทัดฐานเปลี่ยน ถามว่าสังคมมันเน่าลง หรือแย่ลงไหม ไม่ใช่ ชีวิตมันเปลี่ยนไป บรรทัดฐานมันก็เปลี่ยน เท่านั้นเอง

คือวิธีคิดกับสังคมวันนี้ มันสร้างความจริงใหม่ขึ้นเรื่อยๆ เป็นการหลอมสร้างของสังคม (Social Construction) ขึ้นมาใหม่ บรรทัดฐานของการใช้ชีวิต บรรทัดฐานทางสังคมมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่มีแย่ลงหรือดีขึ้น มันอยู่ที่ความเชื่อของเรา หรือบรรทัดฐานเก่าของเรา อย่างที่เขาใช้คำว่า 'จุงเบย' ถ้ายึดกับพวกภาษาก็จะกลุ้มใจมาก ฉิบหายแล้วภาษาไทยจะล่มจม แต่ถ้าเรามองว่ามันเป็นการที่ภาษามันงอกงามเปลี่ยนแปลง แล้วถ้าคนจำนวนมากรับได้ มันจะอยู่ แต่ถ้าเขาไม่เอา คำว่า 'จุงเบย' นี้จะตายภายใน 1-2 ปี แล้วทำไมต้องตกใจ

เหมือนกัน บรรทัดฐานเรื่องเพศของคนแต่ละวัยเปลี่ยนไป มันไม่ได้แสดงว่าอะไรดีขึ้น หรืออะไรแย่ลง เพียงแต่บรรทัดฐานเปลี่ยน มันก็ขึ้นอยู่กับศีลธรรมในตัวคุณเองที่จะชี้ขึ้นหรือลงเพื่อความสบายใจของตัวคุณเอง แต่เขาก็จะมองว่าดีที่ได้พูดจาอะไรแบบนี้ เพื่อเขาจะได้ทรงตนเป็นคนดีของสังคม

อาการตกใจกับปรากฏการณ์ 'จ๊ะ คันหู' หรือ 'ใบเตย สั้นเสมอหู' ก็ไม่ต่างกัน ?

สมัยก่อนนะ มันไปไม่ไกล แต่สมัยนี้ สื่อและเทคโนโลยีสามารถทำให้ 'จ๊ะ คันหู' สามารถเป็นที่รู้จักทั้งประเทศไทยได้ภายใน 10 นาที เพราะคนก็แชร์ต่อๆ กัน คนก็ตกใจ ส่วนหนึ่งที่คนตกใจเพราะมันไปเร็ว ยิ่งคนที่ไม่ได้ใช้ของพวกนี้ก็ยิ่งตกใจใหญ่ คนขี้ตกใจในประเทศไทยมีหลายแบบนะ คนขี้ตกใจที่ตามไม่ทันเทคโนโลยี คนขี้ตกใจที่ยึดบรรทัดฐานตัวเอง แล้วพวกนี้ถ้าไปเข้าเฟสบุ๊กแล้วเห็นภาษาที่ใช้ก็คงจะอยู่ไม่ได้น่ะ

ส่วนตัว คุณมองว่ากุญแจสำคัญในการแก้ปัญหาท้องไม่พร้อมของสังคมไทยคืออะไร

ความเชื่อ ยิ่งทำงานยิ่งคิดว่าเป็นชุดความเชื่อต่างๆ ที่ไปตีตราคน มันเกี่ยกับเรื่องเพศด้วย ที่เขามองเรื่องการท้องไม่พร้อม ซึ่งมันเป็นเรื่องเพศที่ไม่เหมาะสม ซึ่งจริงๆ เป็นความเข้าใจผิด ผู้หญิงที่ท้องไม่พร้อมส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงที่อยู่ในการแต่งงาน จริงๆ มัน สาม สาม สาม น่ะ คือ มีวัยรุ่นประมาณ 33 เปอร์เซ็นต์ มีผู้ใหญ่ที่เพิ่งเริ่มทำงานปีะมาณ 33 เปอร์เซ็นต์ และมีคนอายุมากกว่า 35 ปีอีกประมาณ 33 เปอร์เซ็นต์ แต่ว่าเราจะไปมองว่าเป็นเรื่องเพศนอกสมรส เพราะฉะนั้น พอท้องขึ้นมาจึงเป็นท้องที่ผิด เราต้องเปลี่ยนมุมมองว่ามันเป็นท้องไม่ผิด เพราะขณะนี้เรามองเรื่องวัยรุ่นท้องนี้เป็นท้องที่ผิด ไม่เหมาะสม ก่อนวัยอันควร แต่เราไม่มองว่า การท้องไม่พร้อมเป็นท้องที่มีปัญหาเราต้องการแก้ปัญหา

ถึงบอกว่าความเชื่อ และทัศนคติเป็นอุปสรรคสำคัญ ที่ทำให้เรื่องนี้ยังแก้ไม่ได้ในบ้านเรา ผู้ให้บริการ ผู้กำหนดนโยบาย ทัศนคติและความกลัวของนักการเมือง บอกได้เลยนะว่าเรื่องนี้ไม่มีนักการเมืองคนไหนกล้าเล่นเลย ซึ่งดิฉันท้ามาแล้ว 30 ปีว่านักการเมืองต้องกล้าออกมาเล่น ไม่มี ประเด็นนี้เป็นประเด็นใหญ่ ผู้หญิงตายทุกวัน เจ็บทุกวัน ชีวิตผู้หญิงพวกนี้ไม่มีปัญหาเหรอ ในกระทรวงสาธารณสุขไม่ใช่ไม่มีคนเข้าใจเรื่องพวกนี้ แต่ไม่มีใครกล้า และยอมที่จะเปลืองตัวออกมายืนแถวหน้าแล้วบอกว่า เรื่องนี้ต้องแก้ เราอยากจะเห็น

ไทยเป็นประเทศที่มีบริการคุมกำเนิดที่ดีมาก ติดอันดับโลก มีคนมาดูงานมากมาย แต่สิ่งที่เรามีความคับแคบอยู่ก็คือ บริการคุมกำเนิดของเราเน้นแต่ผู้หญิงซึ่งอยู่ในการแต่งงาน วันนี้บรรทัดฐานทางเพศเปลี่ยนไปแล้ว มีเพศสัมพันธ์ก่อนการแต่งงานมากขึ้น แต่วิธีให้บริการยังไม่เปลี่ยน เจ้าหน้าที่ยังไม่เปลี่ยนทัศนคติ ทำไมเราไม่ทำแคมเปญเรื่องนี้เหมือนเอดส์ล่ะ ถูกไหม สมัยนี้เด็กอนุบาลเรายังคุยเรื่องเอดส์เลย ทำไมเราไม่คุยเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย การใช้ถุงยาง หรือยาคุมกำเนิดที่ปลอดภัย ถ้าคุณมีเซ็กส์สม่ำเสมอ แล้วไม่อยากท้อง คุณต้องใช้ อะไรปิดปากคุณไว้ล่ะ เพราะคุณคิดว่าคุณจะสอนให้เขามีเซ็กส์ ซึ่งโง่ฉิบหายเลย เพราะจริงๆ คุณไม่ต้องสอน เขามีเซ็กส์ของเขาเอง การชี้โพรงให้กระรอกยังคงเป็นน้ำหนักหลักอยู่ทำให้เกิดการละล้าละลังที่จะทำเรื่องนี้

จริงๆ บ้านเรามีอะไรที่ควรมาแล้วยังไม่มาน่ะเยอะ มันทำให้อะไรที่เหมือนจะดูดีของเรา ติดอันดับโลก กลายเป็นไม่ได้มีครบรอบด้าน อย่างบริการสาธารณสุขเป็นต้น

คาดหวังได้ไหม

เรื่องการบริการคุมกำเนิดภายใน 10 ปีนี้ เปลี่ยนแน่ๆ แต่จริงๆ นะ เราก็อยากให้การเข้าถึงการบริการการทำแท้งที่ปลอดภัยของผู้หญิงที่เขาท้องไม่พร้อมเปลี่ยนใน 10 ปีนี้ด้วย แต่ความหวังกับมันมีไม่เท่าการบริการคุมกำเนิด เพราะเท่าที่ทำงานมา เวลาเราพูดเรื่องการป้องกัน ทุกคนมีความเห็น แห่แหนมาพูดอย่างนั้นอย่างนี้ รู้สึกดี แต่พอมาพูดเรื่องบริการการทำแท้ง ถอยกันหมดเลย พยายามสร้างเงื่อนไขต่างๆ นานา

กว่าจะทำให้คนเข้าถึงบริการการรักษาพยาบาลได้ แล้วก็มาติดที่ความเชื่อของหมอ พยาบาล หมอคนไหนทำมากเกินไป เสือกถูกคนอื่นด่าอีก ที่โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งเขาทำให้ แต่พอทำให้มากๆ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ทุกคนส่งให้หมด มันไม่ควรน่ะ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ยากนะ ไม่ใช่หมอสูติฯ ก็ทำได้ ใช้เครื่องมือซึ่งไม่โหดร้าย แล้วภายใน 12 สัปดาห์ ปลอดภัย 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ไม่ทำให้

เพราะฉะนั้นในการป้องกัน แรงเสียดทานเราเชื่อว่าจะค่อยๆ จาง และภายใน 10 ปีนี้ เราจะเห็นว่ามันจะค่อยๆ ขยายเป็นวงกว้างมากขึ้น แต่เราก็อยากจะให้ไปพร้อมๆ กับยุติการตั้งครรภ์ด้วย เพราะถ้าคุณทำให้ดีโดยส่วนตัวเชื่อว่ามันจะทำให้การทำแท้งน้อยลงนะ ในทางกลับกัน ถ้าคุณมีบริการที่ดี คุณสร้างภูมิคุ้มกันให้ทุกคนที่เข้ามา สิ่งที่เกิดขึ้นไม่มีการแท้งซับซ้อน อย่างในฝรั่งเศสเขายังออกกฎหมายที่มีการท้าทายเลยว่า ภายใน 3 ปี หากพบว่า อัตราการทำแท้งสูงขึ้นเขาก็จะยกเลิก ปรากฏว่าแท้งก็ต่ำลง เพราะมันไปพร้อมกับการป้องกัน ให้คำปรึกษา ไปพร้อมกับการที่จะบอกว่าคุณควรจะต้องระมัดระวังตัวอย่างไร เชื่อเลยว่ามันลด

ถ้าเราทำให้ดีมันจะลดแน่นอน โดยที่ยังไม่ต้องเปลี่ยนกฎหมายปัจจุบันก็ได้ เพียงแต่เข้าใจให้ถูกว่า ถ้าการตั้งครรภ์นั้น ส่งผลทางกาย และจิต คนที่ตั้งครรภ์ แล้วให้หมออีกคนซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นหมอจิตวิทยารับรองอีกคนก็สามารถทำแท้งได้ การตั้งครรภ์นั้นเป็นผลจากการกระทำความผิดทางอาญา การข่มขืน การละเมิดทางเพศกับเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ต่อให้เด็กยินยอม หรือการล่อลวง ค้าบริการ ก็สามารถยุติการตั้งครรภ์ได้

ในภาวะที่ยังไม่มีการแก้ไขกฎหมาย เราก็เรียกร้องให้สถานบริการของรัฐ ทำให้ในสิ่งซึ่งกฎหมายครอบคลุมไว้ อย่างตรงไปตรงมา แต่วันหนึ่งก็อยากจะแก้กฎหมายนะ ถ้าเป็นไปได้ แล้วก็รอนักการเมืองที่กล้าหาญก้าวออกมายืนแถวหน้ากับพวกเราไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ใครที่อ้างว่าจะทำงานเพื่อผู้หญิงและเด็กขอให้ก้าวออกมาได้เลย

อะไรที่เป็นแรงผลักดันให้ตัวคุณยืนยันความเชื่อ และยืนระยะในการทำงานมาได้จนถึงทุกวันนี้

ยากนะ ยากกว่าถามเรื่องท้อง-แท้งอีก (หัวเราะ) คือ เราเลือกทำในสิ่งที่เราอยากทำ ทำแล้วเราสบายใจ ไม่ได้คิดว่าจะต้องมีชีวิตเพื่อคนอื่น แต่เราเชื่อเรื่องสังคมประชาธิปไตยนะ เราเชื่อเรื่องสังคมที่มีความเท่าเทียมกัน ไม่มีการละเมิดสิทธิ์ มีทางเลือก มีเสรีภาพในการพูดการเขียน พูดง่ายๆ น่ะ ดิฉันน่ะเสรีนิยม แล้วเติบโตขึ้นมาแบบในบรรยากาศที่มีเสรีภาพพอสมควร เกิดมาในครอบครัวคนจีนที่อยู่ในเมืองไทย แต่พ่อแม่ก็ค่อนข้างให้อิสระในการใช้ชีวิต ก็ไม่ได้มาห้ามไม่ให้เราทำโน่นทำนี่ จะเรียนอะไร ไม่แต่งงานก็ไม่เคยว่า เพราะฉะนั้น เราก็อยู่ในบรรยากาศของความมีอิสระเยอะ แล้วเราก็พบว่าการมีอิสระของเรา มันทำให้เรามีพลังในการคิด และสามารถจะสร้างงานได้ดี

ถึงที่สุดแล้ว สิ่งที่ตัวเองทำเป็นหลักคือ การสร้างทางเลือกให้คน เพราะยิ่งคนมีทางเลือกมากเท่าไร ก็จะเป็นการเพิ่มโอกาสในชีวิตมากเท่านั้น แล้วก็ต้องเปิดให้เขาเหล่านั้นตัดสินใจเลือกในทางเลือกต่าง ๆ เอาเองว่าทางไหนจะเหมาะกับชีวิตของเขา คนรอบข้างและสังคมแนะนำได้ว่าแต่ละทางเลือกมีอะไรบ้าง อย่างไร แต่ไม่ควรไปตัดสินคุณค่าให้กับแต่ละทางเลือกนั้นๆ เจ้าของชีวิตควรจะได้ตัดสินใจในทางเลือกเหล่านั้นเอง อย่างเรื่องท้องไม่พร้อมที่ผู้หญิงต้องการทำแท้งนั้น มีข้อเท็จจริงอยู่ว่า ไม่มีผู้หญิงคนไหนในโลกตั้งใจท้องเพื่อจะไปทำแท้ง

เห็นว่ามีคนตั้งฉายาให้ว่าเป็น 'นางพญาผมขาว' ด้วย ?

มันเป็นเรื่องตลกมั้ง เพราะเราผมขาว (ยิ้ม) จริงๆ ผมขาวมานานแล้วนะ ตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ.2540 เป็นต้นมา แต่ตอนทำแรงงานข้ามชาติยังผมดำอยู่นะ (หัวเราะ) ทีนี้วิธีการก็คือ คนใช้วิธีให้สมญานามดูจากรูปลักษณ์ที่มันชัดๆ เราผมขาว ก็เรียกว่าเป็นผมขาว แล้วเสียงดังมั้ง

...เป็นนางพญาหรือไม่ไม่ทราบ แต่เราเป็นคนเสียงดังน่ะใช่ (ยิ้ม)