ลมหายใจใน ‘ปารีส’

ลมหายใจใน ‘ปารีส’

ทุกครั้ง (แม้จะไม่บ่อยนัก) ที่มีโอกาสเยือนมหานครปารีส ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด ทำให้ผมระลึกถึงคำกล่าวของ วิคตอร์ ฮูโก (Victor Hugo)

นักประพันธ์นามอุโฆษชาวฝรั่งเศสขึ้นมาเสมอ ๆ

“Breathing in Paris preserves the soul”

จริงหรือ ที่การได้หายใจอยู่ในนครปารีสจะถนอมรักษ์จิตวิญญาณของเราไว้ ใครบางคนอาจนึกสงสัย หรือบางคนอาจจะไม่เห็นด้วยเลยด้วยซ้ำ กับมุมมองของนักเขียนคนนี้ ซึ่งมีช่วงชีวิตอยู่บนโลกเมื่อร้อยกว่าถึงสองร้อยปีที่แล้ว

เช่นเดียวกันมหานครทั้งหลายในโลก ปารีสวันนี้เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย ในชั่วโมงเร่งด่วน รถไฟใต้ดิน หรือที่เรียกกันว่า Metro ซึ่งมีทั้งหมด 16 สาย ต่างมีสภาพแออัดยัดเยียด จนน่าละเหี่ยใจ เพื่อรองรับผู้คนกว่า 12 ล้านที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่น้อยรายรอบ

คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ทำงานอยู่ในอุตสาหกรรมภาคบริการ (กว่า 65 เปอร์เซ็นต์) โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งกลายเป็นเซ็คเตอร์ที่ทำรายได้เข้าประเทศอย่างยั่งยืน ไม่เสื่อมคลาย แม้ในช่วงเศรษฐกิจตกสะเก็ด ดูเหมือนเม็ดเงินจากทัวริสม์ มีทิศทางเพิ่มขึ้นจากสัดส่วนเดิม 12 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี ขณะที่ในระดับประเทศ ภาคอุตสาหกรรมรถยนต์ “เปอโยต์-ซีตรอง” กำลังตั้งหลักใหม่ ด้วยการปลดคนงานไปเกือบหมื่นเมื่อปีกลายที่ผ่านมา

คงไม่ผิดนัก หากจะบอกว่า เม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวนี่แหละ ที่กำลังหล่อเลี้ยงเมืองเมืองนี้ ซึ่งยังมี “กูดวิลล์” จากสินค้าหรูหราทั้งหลาย

นั่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก หากวันก่อนจะมีข่าวขำๆ ออกมาพูดถึงปารีสว่า ตอนนี้ทางการกำลังรณรงค์ให้ชาวเมืองที่เต็มไปด้วยความยิ่งทะนง และความชื่นชมในภาษาฝรั่งเศสอันไพเราะงดงาม หันมาพูดภาษาอังกฤษกับชาวต่างชาติให้มากขึ้น อย่างมีนัยสำคัญ

-1-

สำหรับนักท่องเที่ยวที่มุ่งหน้ามากวาดสินค้าแบรนด์ดัง ปารีสอาจจะไม่ยกระดับจิตวิญญาณอะไรทั้งสิ้น แต่ปารีสก็มีศักยภาพอย่างสูงในการเป็นพื้นที่ “ดูดทรัพย์” ดังเห็นได้จากการต่อแถวซื้อกระเป๋าใบละแสนสองแสนบาท โดยใช้ระยะเวลาในคิวนานเฉลี่ย 30 นาที ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์แสนธรรมดาเหลือเกิน ทั้งที่ สินค้าของแบรนด์ดังทั้งหลายก็มีช็อปกระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก

เจดี หนุ่มฝรั่งเศส ที่บังเอิญกระเด็นกระดอนมาพบเจอผม ในบาร์เล็กๆ แห่งหนึ่งย่านลาตินควอร์เตอร์ เล่าให้ฟังหลังจากดื่มไปหลายแก้วว่า แถวนักช็อปที่ต่อกันยาวเหยียดนั้น รับรองว่าจะไม่มีคนฝรั่งเศสอยู่ในนั้นแม้แต่คนเดียว ส่วนที่ผมเห็นเป็นคอเคซอยด์ (caucasoid) ฝรั่งผมทองนั้น ให้นึกไว้เลยว่า ต้องเป็นอเมริกันชนแน่ๆ ที่เดินทางมาช็อปแบรนด์ยุโรป อย่าง พราดา, หลุยส์วิตตอง, แอร์เมส ฯ นอกนั้น ร้อยละ 80 เป็นหน้าตาแบบมองโกลอยด์ (mongoloid) จากเอเชียทั้งนั้น

“ทำไงได้พวก คนจีนรวยมาก แต่ยุโรปน่ะลำบากต่อเนื่องกันมาหลายปีแล้วนะ สถิติตกงานกันกว่าสิบเปอร์เซ็นต์" เขาหยุดกลืนน้ำลาย ก่อนจะว่าต่อ "... ไม่นับพวกเด็กจบใหม่ ซึ่งป่านนี้ คงตกงานกันปีละยี่สิบกว่าเปอร์เซ็นต์ แล้วใครจะมาเอาเงิน 3-4 พันยูโรมาซื้อกระเป๋าแบบนั้นไว้ใช้ ไม่เพียงแต่รวยเท่านั้น แถมยังต้องโง่อีกด้วย” หนุ่มที่ถอดแบบหน้ามาอย่างละม้ายคล้ายคลึง “ฌอง ปอง ซาร์ต” ลงท้ายน้ำเสียงนิ่งๆ ราวกับท่วงท่าตามแบบฉบับของนักปรัชญาเอ็กซิสตองเชียลิสม์อย่างไรอย่างนั้น

แน่นอน เมื่อพูดถึง “ชอปปิง” คนไทยเราไม่แพ้ใครหน้าไหนในโลก เพราะในพื้นที่อันโอ่โถ่งของ แกลอรีส์ ลาฟาแยตต์ (Galeries Lafayette) บนถนนโอสมานน์ (blvd Haussmann) ซึ่งเป็นสาขาใหญ่สุดนั้น มีป้ายต้อนรับนักช็อปจากเมืองสยามเป็นภาษาไทยชัดเจน

และหากคุณยืนอยู่ตรงนั้น ในชั่วเวลาไม่กี่อึดใจ คุณก็จะได้ยินเสียงจ้อกแจ้กจอแจด้วยภาษาคุ้นๆ เสมือนกำลังอยู่ในสยามพารากอนเราดีๆ นี่เอง ยิ่งลองแว่วหูฟังสักนิด คุณจะพบข้อมูลว่า เขาและเธอเหล่านั้น จะซื้อสินค้าเหล่านี้ไปใช้เอง หรือตั้งใจจะหอบหิ้วไปขายต่อ เพราะพวกเธอคุยกันเสียงดังสนั่นว่า สนนราคาที่เมืองไทยแพงกว่าแค่ไหนอย่างไร แถมยังไม่มีแบบใหม่ ๆ ให้ซื้อหามาใช้ หรือได้ตื่นตาตื่นใจก่อนใคร เหมือนมาช็อปถึงที่นี่

ไม่ต้องเป็นห่วง หากคุณจะได้ยินใครบางคนคิดออกมาเสียงดังว่า แค่ชอปปิงของใช้สักชิ้นสองชิ้นที่ปารีส ก็คุ้มค่าตั๋วเครื่องบินแล้ว !

-2-

กระแสระบาดของ “โรคช็อป” พลอยทำให้ทัวร์จากเมืองไทยไปปารีส เทน้ำหนักไปที่ “ชอปปิง” กันเสียเป็นส่วนใหญ่ และนั่นทำให้เราห่างไกลมุมมองในแบบ วิคตอร์ ฮูโก เจ้าของบทประพันธ์ "ชายหลังค่อมแห่งนอเตรอดาม" ออกไปทุกที แต่ด้วยอานิสงส์ของนักเขียนดัง อย่าง แดน บราวน์ ที่ผูกเรื่องจากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน ได้จุดกระแส “ดาวินชี โค้ด” จนทำให้การทัวร์พิพิธภัณฑ์ ลูฟร์ (Musee du Louvre) ถูกบรรจุอยู่ในรายการท่องเที่ยว แม้มันจะเป็นเพียงการมาดมกลิ่นนิดๆ หน่อยๆ ก็ตามที

หากศิลปินอย่าง วินเซนต์ แวน โก๊ะห์ ต้องใช้เวลาแรมปีในการชื่นชมปารีส กับการค้นหาความหมายของชีวิตผ่านกระแสน้ำเซน (Seine River) เพื่อเป็นแรงบันดาลใจสร้างงานศิลปะ เราอาจจะต้องใช้เวลาแรมเดือน ในการเสพรับทุกอณูของปารีส ดังนั้น การใช้เวลาอยู่ใน "ลูฟร์" เพื่อสัมผัสงานศิลปะ ก็น่าจะใช้เวลาไม่น้อยกว่า 1 วันเต็มๆ

"ผมขอเรียนให้ทุกท่านทราบว่า นี่คือเส้นทางเดินชมของเราในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ซึ่งมีขนาดใหญ่มาก และคุณอาจจะหลงได้" เสียงมัคคุเทศก์สำเนียงแปร่งๆ บอกกล่าวแก่กลุ่มนักท่องเที่ยว "ท่านคงไม่มีเวลามากนัก หากพูดให้ชัดแจ้งว่านั้น ท่านคงต้องใช้เวลา 9 เดือนเต็ม ถึงจะชมงานศิลปะได้ลูฟร์ได้ครบทุกชิ้น ดังนั้น วันนี้ ผมจะนำเสนอไฮไลต์ของที่นี่ให้แก่ท่าน... "

เวลากลายเป็นอุปสรรคของการชื่นชมงานศิลปะ ใครบางคนอาจจะนั่งชมภาพ Liberty Leading the People ของ ยูจีน เดอลาครัวค์ (Eugen Delacroix) ได้เป็นชั่วโมงๆ เพื่อเชื่อมโยงถึงบรรยากาศก่อนช่วงเวลาของการปฏิวัติฝรั่งเศส (The French Revolution) โดย เดอลาครัวค์ เขียนภาพนี้ขึ้นในปี 1830 แต่เมื่อทุกคนมีเวลาจำกัด แทนที่จะใช้สายตาเปิดรับความทรงจำให้มากที่สุด ต่อผลงานศิลปวัตถุที่มองเห็น คนส่วนใหญ่พึงใจกับการถ่ายภาพเก็บไว้มากกว่า

ในแต่ละวัน จึงมีคนแวะเวียนมาชื่นชม “โมนาลิซา” ที่มีขนาดเล็กกว่าที่คาดคิดไว้มาก เธอกับรอยยิ้มที่แฝงด้วยปริศนา รอคุณอยู่ที่ห้อง 13 ชั้น 1 ของปีกอาคารส่วน Denon Wing พวกเขาได้แต่รุมถ่ายภาพเธอเก็บไว้ ดูเผินๆ มันไม่ต่างจากการรุมทึ้งเท่าใดนัก

แรกเริ่มที่ "ลูฟร์" เปิดให้บริการในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 นั้น มีภาพจิตรกรรมราว 2,500 ภาพ เวลาผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ลูฟร์ มีภาพที่ใช้แสดงถึง 30,000 ภาพ ยังไม่นับรวมงานประติมากรรมและศิลปะแบบอื่นๆ นั่นหมายถึงความจำเป็นในการปรับปรุงพื้นที่ที่เกิดขึ้นเป็นระยะๆ (ดังในสมัยประธานาธิบดี มิตเตอร์รองด์ มีการเพิ่มพื้นที่อีกเป็นเท่าตัว) โดยในภายหลังการออกแบบ “แกรนด์ ปิรามิด” หลังคาแก้วสูง 21 เมตร มาจากฝีมือของสถาปนิกชาวอเมริกันเชื้อสายจีน IM Pei ทำให้สัญลักษณ์ของที่นี่เปลี่ยนแปลงไปในแบบร่วมสมัยยิ่งขึ้น

แม้พิพิธภัณฑ์ ลูฟร์ จะมีขนาดใหญ่อย่างล้นเหลือ จนบางคนรู้สึกว่าเกินพอ แต่สำหรับคอศิลปะตัวจริงยังพิพิธภัณฑ์อีกหลายแห่งด้วยกันที่เหมาะสำหรับการค้นหา ไม่ว่าจะเป็น โอแซย์ , โรแดง หรือ ปิคาสโซ ฯลฯ

ในมุมมองของผม การเดินอยู่บนถนนสายต่างๆ ในเขตต่างๆ ของปารีส ก็ไม่ต่างจากการเสพผลงานศิลปะเท่าใดนัก เพราะจากอาคารสถาปัตยกรรมต่างๆ ที่มีให้มองกันอย่างเพลิดเพลินตลอดสองข้างทาง ตั้งแต่ มหาวิหารนอเตรดาม ในแบบของโรมัน, Hotel de Cluny ในแบบโกธิค, Palais Royal ในแบบบาโร้ค รวมถึงบรรดานีโอคลาสสิกและ อาร์ต นูโว อีกมากมาย หลายแห่งยังมีการติดป้ายขึ้นเป็นโบราณสถานหรือพื้นที่อนุรักษ์เอาไว้ด้วย

นับเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับคนปารีส เพราะขณะที่เมืองต่างๆ ในยุโรปถูกทำลายลงอย่างราบคาบ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ปารีส กลับได้รับพิษภัยจากสงครามไม่มากนัก ในช่วงเวลาแห่งสงคราม กองทัพนาซี และหน่วยเกสตาโป ต่างสำเริงสำราญอยู่ในปารีส มหานครแห่งนี้ยังเจิดจรัสด้วยความบันเทิง ที่ผลิตโดยมันสมองของเหล่าบรรดาศิลปิน

-3-

มองให้ไกลจากเรื่องวัตถุ ไปสู่แง่มุมของวิถีชีวิต ปารีส เป็นนครที่มีสีสัน เปี่ยมแง่มุมให้ค้นหา ให้ความรู้สึกรื่นรมย์ทางสติปัญญา ทั้งจากเรื่องราวประวัติศาสตร์ และความเคลื่อนไหวอันล้ำสมัย

จากมหาวิหารนอเตรอดาม, หอไอเฟล, พิพิธภัณฑ์ ลูฟว์ ไปจนถึงถนนฌองเอลิเซ่ อันโอ่สง่า ไกลออกไปไม่ถึงคือ ประตูชัย อันยิ่งใหญ่ (Arc de Triomphe) และ แม่น้ำเซน ซึ่งเคยเป็นแรงบันดาลใจให้แก่หลากหลายศิลปินมาแล้ว

ปารีส มีหลายสิ่งให้ชมให้ฟัง ทั้งคลับแจ๊ส โอเปร่าเฮ้าส์ และคาบาเร่ต์ โชว์ เปิดให้สัมผัสด้วยโสตประสาททุกส่วน แม้กระทั่งในเรื่องของกลิ่น เพราะนอกจากน้ำหอมนานาชนิดกว่า 20,000 กลิ่นแล้ว หลายคนยังติดใจกรุ่นกลิ่นกาแฟจากคาเฟ่ริมทาง

การนั่งเสพบรรยากาศในร้านกาแฟเป็นความสุขใจอีกประการหนึ่งของคนที่เคยมาเยือนปารีส การได้จิบ ลิ้มรส ฟังสรรพสำเนียงรายรอย การได้เห็นกิจวัตรของผู้คนที่นี่ ซึ่งมี "คาเฟ" เป็นศูนย์กลาง ซึ่งโดยปกติ คนฝรั่งเศสจะไม่นั่งในจุดที่ทำให้ราคากาแฟแพงขึ้น โดยเฉพาะ พื้นที่ริมทางเท้า หรือจุดที่มองเห็นวิวทิวทัศน์ดี ๆ ซึ่งพลอยทำให้ราคากาแฟแพงขึ้นอีก 1-2 เท่าตัว

ที่ผ่านมา มีร้านกาแฟอย่าง Cafe des Phares เป็นที่ชุมนุมของบรรดานักคิดและปัญญาชนเพื่อถกเถียงเรื่องปรัชญาอย่างเข้มข้นมานานแล้ว สมกับที่นี่เป็นเมืองของนักคิดอย่างแท้จริง ตั้งแต่ เรอเน เดส์คาร์ตส์, ฌอง จ็าค รุสโซ เรื่อยมาจนถึง ฌอง ปอล ซาร์ตร์ เจ้าสำนัก เอ็กซิสตองเชียลลิสม์ กับงานเขียน Being and Nothingness ซึ่งเกิด เติบโต และตายที่นี่

เพราะแนวคิดในการอนุรักษ์เมือง พลอยทำให้อาคารเก่าแก่เหล่านี้มีชีวิตขึ้นมา นักท่องเที่ยวต่างสัมผัสได้ถึงเรื่องราวอันยิ่งใหญ่แต่ครั้งอดีต ก่อเกิดเป็นบทกวี บทเพลง นวนิยาย และภาพเขียนที่อิงฉากของเมืองปารีสไว้มากมาย ชนิดที่สามารถหยิบจับมาเขียนเป็นหนังสือได้เล่มหนา

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์เกิดขึ้นที่นี่ หากยังจำกันได้ ชื่อของศิลปะสกุลนี้ มาจากผลงานของ โคลด โมเนต์ (Claude Monet) ภาพเขียน Impression : Soeil Levant (Impression : Sunrise) ซึ่งออกแสดงเมื่อปี ค.ศ.1874 และมันได้ส่งอิทธิพลต่อทั้งวงการจิตรกรรมและดนตรีในระนาบกว้าง

หลายคนทราบกันดีถึงการปรากฏตัวของศิลปินชาวดัตช์ วินเซนต์ แวน โก๊ะห์ ซึ่งเดินทางมาสร้างสรรค์งานศิลปะส่วนใหญ่ในฝรั่งเศส และใช้ชีวิตวาระสุดท้ายที่ Auver-sur-oise ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของปารีสราว 35 กิโลเมตร

ระหว่างจิบกาแฟที่ในพื้นที่เฉพาะของชาวปารีเซียง อย่าง Aux Folies บนถนนเบลวิลล์ ชวนให้เราคิดถึงนักร้องยอดนิยมเมื่อครั้งอดีต อย่าง เอดิธ เพียฟ (Edith Piaf) ซึ่งเธอเคยอยู่ที่นี่ หากจำกันได้ เอดิธ ถ่ายทอดเสียงร้องเกี่ยวกับปารีสไว้ในเพลง Amants de Paris ขณะที่นักประพันธ์เพลงอย่าง เวอร์นอน ดุก (Vernon Duke) และ ยิบ ฮาร์เบิร์ก (Yip Harburg) ก็เคยพรรณนาฉากแห่งฤดูใบไม้ผลิไว้ในเพลงสแตนดาร์ด อย่าง April in Paris ซึ่งยังคงความอมตะมาตราบจนทุกวันนี้

ในบรรดาเพลงร้องทั้งหลายที่เกี่ยวกับปารีส ผมคิดว่าเพลง Under Paris Skies หรือในชื่อภาษาฝรั่งเศสว่า Sous Le Ciel De Paris เป็นหนึ่งในบทเพลงที่สะท้อนถึงความสง่างามและอ่อนไหว อันเป็นบุคลิกภาพของเมืองนี้ได้เป็นอย่างดี เพลงนี้ประพันธ์ดนตรีโดย Herbert Giraud เนื้อร้องภาษาฝรั่งเศสเป็นฝีมือของ Jean Drejac ส่วนเนื้อร้องอังกฤษโดย Kim Gannon ซึ่งแม้ทั้งสองสำนวนจะมีความหมายไม่ตรงกันเสียทีเดียว แต่เนื้อร้องภาษาอังกฤษก็สะท้อนถึงความโรแมนติกของวิถีชีวิตผู้คนในเมืองนี้ไม่น้อยเลย

ฟังเพลงนี้ พร้อมๆ กับดูหนัง "ปารีส เฌอแตม" ย่อมทำให้คุณสนใจเมืองนี้ และจะหลงใหลยิ่งขึ้นในวิถีของปารีส เมื่อถึงคราวมาเยือน ดังที่ วิคตอร์ ฮูโก กล่าวไว้ การได้มาสูดอากาศหายใจในปารีส ย่อมถนอมรักษ์จิตวิญญาณคุณ ไม่ทางใดทางหนึ่ง

ชมศิลปะ ฟังเพลง จิบไวน์ฝรั่งเศสดีๆ ที่มีให้เลือกสรรมากมาย หรือแม้กระทั่งการได้ชอปปิงในสิ่งของถูกใจ ล้วนให้ประสบการณ์แห่งความสุขทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับว่าคุณชอบชีวิตแบบใด.

การเดินทาง

ห้างแกลอรีส์ เดอฟาแยตต์ ตั้งอยู่บนเลขที่ 40 โอสมานน์บูเลอวาร์ด ใช้รถใต้ดินสาย Auber และ Chaussee d’Antin
ห้างแพรงตองป์ส ตั้งอยู่บนเลขที่ 64 โอสมานน์บูเลอวาร์ด ใช้รถใต้ดินสาย Havre Caumartin

Musee Du Louvre ใช้รถไฟใต้ดินสาย Palais Royal-Musee Du Louvre ค่าบริการ 7.50 ยูโร สำหรับ Permanent Collection และ 11.50 ยูโร สำหรับ Permanent Collection และ Temporary Exhibitions

Aux Folies ตั้งอยู่บนเลขที่ 8 ถนน Rue de Belleville