ลอนดอนในสายหมอก (Advertorial)

ที่เห็นได้แจ่มชัดที่สุดคงเป็น อาคารรัฐสภา อีกสัญลักษณ์หนึ่งของกรุงลอนดอน ตั้งตระหง่านตรงข้ามฝั่งแม่น้ำเทมส์ ติดกับอาคารวิกตอเรีย
.....ไม่มีแสงละมุนต้อนรับจากลอนดอน....
ลมหนาวเพิ่งโชยพัดมาทักทายลอนดอน หากแต่อากาศที่ปกคลุมเกาะอังกฤษกลับเย็นเฉียบจับขั้วหัวใจ เหมือนเดินป้วนเปี้ยนอยู่ในโรงงานน้ำแข็งอย่างไรอย่างนั้นหนาวนรกได้สมคำขู่จริงๆ
เมฆหมอกหนาทึบปกคลุมเหนือมหานครลอนดอนเหมือนไม่อยากพรากจาก ราวกับว่าลอนดอนกำลังอารมณ์เสีย หน้าตาบึ้งตึง
บางที รอยยิ้มในลอนดอนจึงอาจหายากพอกับแสงแดด!!!
เดินท้าทายลมหนาวบนถนนอ็อกซ์ฟอร์ด เพื่อทำความรู้จักกับลอนดอน จึงพบว่านอกจากอารมณ์ไม่ดี ยังดูเย็นชาอีกต่างหาก
ทุกชีวิตเร่งรีบ กึ่งเดินกึ่งวิ่ง เร็วรี่จนบางคนปานจะเหาะไปบนถนน
คนไทยหัวใจผู้ดีอังกฤษไขข้อข้องใจว่า ชาวลอนดอนเขาเดินเร็วกันทุกวี่ทุกวันไม่ว่าร้อน ฝน หรือหนาว
ถ้าเห็นฝรั่งเดินเนิบนาบอ้อยอิ่งล่ะก็ ไม่ใช่ชาวลอนดอนแน่ ของแท้ต้องเดินตีน ขวิดเหมือนควายหาย คนที่นี่เขาทำอะไรตรงเวลาเป๊ะ
นอกจากเดินเร็ว คนลอนดอนยังมีวิถีชีวิตแบบต่างคนต่างอยู่ และไม่ค่อยสุงสิงกับคนแปลกหน้า
จนมีคำกล่าวที่ว่า “ชาวสก็อตแลนด์สองคนเจอกันคุยกันแต่เรื่องต้มเหล้า ชาวเวลส์สองคนเจอกัน ก็คอยแต่จะชกต่อยกัน แต่คนอังกฤษสองคนเจอกันไม่ยักมีอะไรเกิดขึ้น ”
นั่นเพราะคนอังกฤษเขาไม่ยุ่ง ไม่ทักทาย ไม่สนทนาปราศรัยกัน จะเกิดบทสนทนา ก็ต่อเมื่อมีบุคคลที่สามเข้ามาเป็นสะพานเชื่อมแนะนำบุคคลทั้งสองให้รู้จักกัน
ไม่รู้จะเดินเร็วกันไปถึงไหน จะมีประโยชน์อะไร ถ้าถึงที่หมายไว หากแต่ระหว่างทางกลับไม่ได้ลิ้มรสเรื่องราวรื่นรมย์เลยแม้แต่น้อย
เจออากาศหนาวเข้า แถมผู้คนเย็นชาเป็นองค์ประกอบเสริม ทำเอาลอนดอนในสายตาฉัน ขี้ริ้วไปถนัดตา
ค่ำคืนอันเหน็บหนาว แทนที่จะซุกตัวอยู่ในผ้าห่มผืนโต ฉันเลือกออกมาเดินเตร็ดเตร่โต้ล้มหนาวบนถนนอ็อกซฟอร์ด
เปล่า ไม่ได้หวังจะช้อปปิ้งใน John Lewis, Selfridges, Mark and Spencer หรือบริโภคเสื้อผ้าแบรนด์เนมเป็นอาหารตา แค่เดินโต๋เต๋ดูแสงสีของดวงไฟที่กระหน่ำติดตั้งแต่หัวถนนยันท้ายถนน
การเดินเหินไปอย่างไร้จุดหมาย นี่แหละคือเสน่ห์อย่างหนึ่งของการเดินทาง
เทศกาลคริสมาสต์กำลังจะเดินทางมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แสงสีเลยระยิบระยับแยงตาจนเกือบกลับโรงแรมแทบไม่ถูก ทั่วทั้งลอนดอนแพรวพราววูบวาบเหมือนสาวผู้ดีใส่เพชรเต็มตัว
ดวงไฟที่ประดับประดาเต็มท้องถนนช่วยทำให้อิ่มตา แต่แบรนด์เนมทั้งถนนอ็อกซฟอร์ดไม่ช่วยทำให้ฉันอิ่มท้องเอาซะเลย เลยเดินลัดเลาะเข้าซอยไปหาอะไรกินแถวย่านโซโห
โซโหทำเอานึกว่าเดินแกว่งแถวเยาวราช อยู่บนแผ่นดินผู้ดีอังกฤษแท้ ๆ แต่เดินแถวนี้แทบไม่ได้กลิ่นนมเนย หรือ Fish&Chip เลยซักนิด
มองไปทางไหนมีแต่เป็ดไก่แขวนเป็นราว ร้านอาหารจีนตั้งกันพรึ่บพรั่บ แต่อย่าเดินสะเปะสะปะเข้าไปสั่งโต๊ะจีนเชียวนะ ขืนสั่งแบบไม่ยั้งปากตอนเช็คบิลแล้วจะสะอื้น หรือไม่ก็ร้องเสียงหลงเป็นงิ้วเลย
เดินเซจากโซโหไปเซิ้งต่อแถวถนนรีเจ้นท์ คึกคักครึกครื้นไม่แพ้ถนนอ็อกซฟอร์ด ถึงดึกดื่นค่ำมืดแค่ไหน แต่ผู้คนยังแห่แหนออกมาช้อปปิ้งกันเป็นบ้าเป็นหลังชนิดไม่แยแสลมหนาว
ยิ่งใกล้คริสมาสต์ยิ่งกระตุ้นให้ทุกคนจับจ่าย เลือกซื้อของขวัญอย่างมันส์มือ แค่ดูของลดราคาก็ตาลายพออยู่แล้ว แต่นี่มีผู้คนมากหน้าหลายตาออกมาเบียดเสียดกัน เหมือนลอนดอนมีงานวัดอย่างไรอย่างนั้น
ถ้าลอนดอนเหมือนมีงานวัด ลอนดอน อาย (British Airways London Eye) คงเหมือนชิงช้าสวรรค์ที่ใครๆก็ขึ้นไปเสียวบนที่สูงได้
เกือบจะกลายเป็นสัญลักษณ์ของอังกฤษแทนหอนาฬิกาบิ๊กเบนไปซะแล้ว สำหรับบริติช แอร์เวยส์ ลอนดอน อาย ที่สร้างขึ้นเพื่อรับปีค.ศ. 2000
แค่ก้าวขาขึ้นกระเช้าของลอนดอน อาย ฉันรู้สึกเหมือนกลับไปขึ้นชิงช้าสวรรค์เหมือนครั้งเป็นเด็ก
จะต่างกัน ก็ตรงที่มองจากลอนดอน อายลงไปแล้ว ไม่ยักเห็นมอเตอร์ไซค์ไต่ถัง โรงลิเก สาวน้อยตกน้ำและเมียงู แต่ที่เห็นกลับเป็นตับไตใส้พุงของมหานครลอนดอน
ที่เห็นได้แจ่มชัดที่สุดคงเป็น อาคารรัฐสภา (House of Parliament) อีกสัญลักษณ์หนึ่งของกรุงลอนดอน ตั้งตระหง่านตรงข้ามฝั่งแม่น้ำเทมส์ ติดกับอาคารวิกตอเรีย โดยมีหอนาฬิกาบิ๊กเบน วางตัวเด่นตระหง่านเป็นเพื่อน
เดิมทีอาคารรัฐสภาเป็นพระราชวัง จึงเคยเป็นอาคารที่พักอาศัยของชนชั้นปกครองและข้าราชสำนัก แต่ในยุคที่รัฐบาลมีอำนาจการปกครองมากกว่าพระมหากษัตริย์ พระราชวังเวสต์มินสเตอร์นี้ จึงกลายเป็นที่ตั้งของสภาสูงและสภาล่าง
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พระราชวังแห่งนี้ได้รับการปฏิรูปเมื่อปี 1840 เป็นอาคารแบบโกธิก ครอบคลุมบนพื้นที่ 8 เอเคอร์ มีห้องหับน้อยใหญ่กว่า 1,100 ห้อง แต่คงมีห้องโถงของอาคารรัฐสภา เพียงแห่งเดียวที่ยังคงรูปแบบเดิมของพระราชวังไว้
ชื่อของโบสถ์เวสต์มินสเตอร์ (Westminster Abbey) เป็นที่รู้จักสำหรับท่องเที่ยวมากขึ้น หลังจากที่ได้จัดพิธีศพของเจ้าหญิงไดอาน่า ว่ากันว่า ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นถึง 300% อันนี้ไม่รู้เท็จจริงเป็นยังไง
โดยปกติแล้วโบสถ์แห่งนี้ใช้เป็นสถานที่จัดงานราชาภิเษกและพิธีศพ ด้านในของพระราชวัง จึงบรรจุหลุมฝั่งศพของผู้มีชื่อเสียงกว่า 3,000 คน
แม้โมงยามที่จะไม่เคยย้อนกลับ และผู้มาเยือนจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาทักทายหอนาฬิกาบิ๊กเบนแทบไม่ซ้ำหน้า แต่บิ๊กเบนยังคงส่งเสียงเหง่งหง่างอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
พูดถึงสัญลักษณ์ประจำมหานนครลอนดอนแห่งนี้ สร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อปี 1858 คุณสมบัติของบิ๊กเบนไม่ได้เป็นเพียงหอนาฬิกาธรรมดา ๆ เท่านั้น แต่ยังเป็นหอระฆังที่ใหญ่ที่สุดที่มีระฆังน้ำหนักประมาณ 14 ตัน
ค่อยๆ ทำความคุ้นเคยกับลอนดอนทีละนิด ด้วยการล่องแม่น้ำเทมส์ ประมาณว่านั่งเรือล่องแม่น้ำเจ้าพระยา ชมวัดอรุณฯ วัดพระแก้ว อารมณ์เดียวกันเลย
ต่างกันตรงที่ไม่มีไออุ่นจากแม่น้ำเทมส์ให้คนพลัดบ้านได้ชอนไช มีเพียงแต่สายลมหนาวที่คอยถาโถมให้หัวใจสั่นไหว