ยิ้มละไมใน ฟานเทียต

แม้การโบยตีที่เจ็บแสบของแสงแดดในฤดูร้อนจะไม่ใช่การต้อนรับที่ควรค่าแก่การพึงใจ
แต่อุณหภูมิที่ระอุอ้าวนั้นกลับทำให้ฉันซึมซาบเสน่ห์ของ "ฟานเทียต" ได้อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
การเดินทางกินเวลายาวนานร่วม 6 ชั่วโมง จาก "โฮจิมินห์" มหานครแห่งความทรงจำ ถึงเมืองตากอากาศในฝันอย่าง "ฟานเทียต"
หากเป็นคนขี้เบื่อคงนั่งบ่นจนน้ำลายท่วมรถ แต่สำหรับคนที่โปรดการเดินทาง "ชิล-ชิล" อย่างฉัน การได้นั่งมองภาพเคลื่อนไหวจากนอกหน้าต่างถือเป็นความสุขทางใจอย่างหนึ่ง
ฟานเทียต (Phan Tiet) เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของเวียดนาม แต่ยอมรับว่า ฉันเพิ่งได้รู้จักเมืองนี้อย่างจริงจังก็ครั้งที่เดินทางมาพร้อมกับทีมงานถ่ายทำรายการ "เขียนแผ่นดินสุวรรณภูมิเวียดนาม" ของอาจารย์เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ นี่เอง
ฤดูร้อนอันแสนนานทำให้เมืองทั้งเมืองนั้นถูกปกคลุมไปด้วยเปลวแดดที่กำลังเต้นระบำอย่างเริงร่า ฉันพาตัวเองลงมาจากรถมินิบัสเพื่อลองสัมผัสบรรยากาศของเมืองตากอากาศเมื่อแรกเจอ
น่าแปลก...เปลวแดดชวนร้อน แต่สายลมอ่อนๆ ที่พัดเข้ามาปะทะใบหน้าและร่างกาย กลับทำให้รู้สึกเย็นสบายได้อย่างไม่คาดคิด
และแล้วชีวิตอันน่าตื่นเต้นในเมืองที่เป็น "ปลายทาง" ของนักท่องเที่ยวผู้รักความโรแมนติกก็เกิดขึ้น
. . .
เราสองสามคน ภาพยนตร์ไทยที่เคยฉายไปทั่วประเทศเมื่อปี 2553 เป็นภาพจำของการเดินทางแบบคาราวานที่ชวนหลงรัก อาจเพราะบรรยากาศหนาวๆ กับเรื่องราวสถานที่อันสวยงาม ทำให้หลายคนใฝ่ฝันจะเดินทางในรูปแบบนั้นสักครั้ง
อากาศไม่หนาว และเราไม่ได้เดินทางแบบคาราวาน แต่จุดหมายปลายทางคือฉากหนึ่งในหนังที่ทำให้ใครต่อใครต่างพากันอยากเดินทางมาเยือนเวียดนามมากที่สุด ฉันกำลังหมายถึง "มุยเน่" ทะเลทรายที่มีขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในเมืองฟานเทียต
...ที่ที่น้ำจรดฟ้า ฟ้าจรดทราย
ที่พราวพราย คลื่นพลิ้ว แผ่วพลิ้วไหว
ที่คลื่นเมฆ คลื่นน้ำ ฉ่ำกระไอ
ที่ทรายแดง แสงใส ละไมละมุน
ที่คลื่นทราย พลิ้วเส้น เป็นภูทราย
ที่สนราย ชายหาด ปาดสีฝุ่น
ที่ที่ฟ้า ทาทอง รองอรุณ
ที่แดดอุ่น อวลกระไอ อบทรายแดง
ที่แนวเนิน ทรายขาว ผุดพราวผ่อง
ที่ถิ่นท้อง ทะเลสาบ พลอยอาบแสง
ที่เงางำ ลำดับ ค่อยปรับแปลง
ที่เริงแรง แห่งตะวัน จะบันดล
ที่แสงทอง ทอดประทับ กับผืนทราย
ที่ยังคง ความหมาย ในทุกหน
ที่พายุ บุกล้า ฝ่าผจญ
ที่ใจคน แกร่งเกร็ด ดุจเม็ดทราย...
ทะเลทราย 2 สี บทกวีอันไพเราะงดงามจากปลายปากกาของ อาจารย์เนาวรัตย์ พงษ์ไพบูลย์ ฉายภาพทะเลทรายมุยเน่ได้อย่างชัดเจน อดทึ่งกับความสามารถของศิลปินแห่งชาติคนนี้ไม่ได้ เพราะเพียงแค่ท่านปล่อยอารมณ์ให้ลื่นไหลไปพร้อมกับภาพผืนทรายตรงหน้า หลากถ้อยคำภาษาก็พรั่งพรูออกมาเป็นกวีบทหนึ่งได้อย่างลึกซึ้งจับใจ
วันนั้น ราวตี 5 กว่า พวกเราถูกปลุกขึ้นมาจากภวังค์ด้วยภาพทะเลทรายที่ตั้งตระหง่านอยู่ริมถนนทางหลวงสายหลัก และเมื่อแสงทองค่อยๆ สาดส่องจับขอบฟ้า คลื่นมหาชนจากทั่วสารทิศก็พากันวิ่งขึ้นไปบนเนินทราย แล้วทิ้งตัวลื่นไถลลงไปยังหุบเหวแห่งทรายนั้นอย่างสนุกสนาน
มุยเน่ (Mui Ne) เป็นเมืองทะเลทรายที่ตั้งอยู่ในฟานเทียต เมืองหลวงของจังหวัดบิ่นถ่วน (Binh Thuan) ที่มีชื่อเสียงในเรื่องของทิวทัศน์และหาดทรายที่สวยงาม แม้เมืองนี้จะอยู่ห่างจากนครโฮจิมินห์เพียง 200 กิโลเมตร ทว่า การขับขี่ที่ต้องเป็นไปตามกฎหมาย คือทำความเร็วในเขตนอกเมืองได้ไม่เกิน 80 กม./ชั่วโมง ส่วนในเมืองเหลือเพียง 40 กม./ชั่วโมง ทำให้การเดินทางล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น
แต่มันก็ทำให้เห็นความเคลื่อนไหวของโลกช้าลงเช่นกัน
สำหรับมุยเน่ เดิมทีเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ที่ไม่มีใครรู้จัก วิถีชีวิตของพวกเขาดำเนินไปอย่างเนิบช้า กระทั่งมีคนเดินทางเข้ามาค้นพบว่า ทะเลทรายในหมู่บ้านนี้น่าอัศจรรย์ การท่องเที่ยวทะเลทรายจึงกลายเป็นโปรแกรมใหม่ที่ถูกเพิ่มเข้ามาในรายการท่องเที่ยว โดยมีทะเลทรายสีแปลกตา 2 แห่งเป็นไฮไลต์หลัก
ทะเลทรายแดง (Red Sand Dune) ตั้งอยู่ใกล้กับชายหาดมุยเน่มากที่สุด เดินทางเพียง 10 นาทีก็ถึง จุดเด่นของทะเลทรายแดงแห่งนี้อยู่ที่สีทองของเม็ดทรายที่จะส่องประกายแวววาวเมื่อแสงสีขาวของพระอาทิตย์ตกกระทบ นั่นจึงเป็นคำตอบว่า ทำไมเราต้องเดินทางมาถึงทะเลทรายแห่งนี้ตั้งแต่ฟ้ายังมีสีดำ
กิจกรรมอย่างหนึ่งของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาถึงทะเลทรายแดง นั่นคือ การเล่นสไลเดอร์บนสันทราย แม่ค้าที่สวมหมวกน๊อนล้า(Non la) หรือหมวกสานแบบเวียดนาม มีปริมาณมากพอๆ กับนักท่องเที่ยว พวกเธอจะเดินถือแผ่นกระดานสไลเดอร์ปึกใหญ่แล้วเดินไปเดินมาอยู่บนสันทราย หากใครอยากสนุกสนานก็ซื้อบริการกระดานแห่งความสุขนั้นได้ตามใจชอบ ส่วนมากที่เห็นมักจะเป็นวัยรุ่นหนุ่ม-สาวที่พากันมาเป็นกลุ่ม แล้วก็พากันทิ้งตัวลงไปเป็นกลุ่มๆ เหมือนกัน
ฉันเดินทิ้งฝูงชนออกไปทางด้านซ้ายสุดของทะเลทราย ตรงนั้นมีเนินทรายเล็กๆ ตั้งสลับซับซ้อนกันดูสวยแปลกตา และทันทีที่แสงสว่างส่องผ่านขอบฟ้าสีน้ำเงินออกมา ภาพทะเลทรายตรงหน้าก็เปลี่ยนเป็นสีทองระยิบระยับ สวยจับใจจริงๆ
แดดสายร้อนเกินกว่า...จะชื่นชมผืนทราย พวกเราจึงเคลื่อนย้ายตัวเองออกจากทะเลทรายแดง แล้วมุ่งหน้าต่อไปยัง ทะเลทรายขาว (White Sand Dune) ที่อยู่ไกลออกไปอีกเกือบ 1 ชั่วโมง
ที่นั่นดูไม่ต่างอะไรกับทะเลทรายขนาดใหญ่ที่อยู่ในประเทศแอฟฟริกาเลย ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมใครๆ ก็เรียกว่า "ซาฮาร่าเวียดนาม" เพราะมันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา แถมเนื้อทรายยังละเอียดราวกับผงแป้ง ยิ่งเมื่อมีลมพัดแรง เศษทรายที่พลิ้วกระจายเป็นภาพเคลื่อนไหวที่ดูโรแมนติกมากที่สุด
บริเวณทะเลทรายขาวมีนักท่องเที่ยวไม่คึกคักเท่าทะเลทรายแดง จะเรียกว่าสงบกว่าร้อยเท่าก็คงไม่ผิดนัก เพราะหากไม่นับคณะของเรา ก็มีนักท่องเที่ยวเพียง 2 กลุ่มเท่านั้นที่พวกเราเจอ อาจเพราะความห่างไกลจากชายหาดยอดนิยม จึงทำให้ผู้คนเกียจคร้านจะเดินทางมา แต่ฉันว่าทะเลทรายขาวแห่งนี้มีเสน่ห์มากกว่าทะเลทรายแดง
นอกจากบรรยากาศชวนฝัน เพราะมีทั้งทะเลสาบน้ำจืด สวนสน และเนินทรายโค้งมนได้รูป ทะเลทรายขาวยังมอบความสนุกให้กับผู้มาเยือนได้ด้วยกิจกรรมที่ท้าทาย ไม่ว่าจะเป็นการขับรถจี๊ป หรือรถ ATV ขึ้นไปพิชิตเนินทราย กิจกรรมขี่นกกระจอกเทศที่ดูเหมือนจะได้รับความนิยมมากขึ้นทุกวัน หรือแม้กระทั่งการเปลือยเท้าเปล่าแล้วเดินเข้าไปสัมผัสความนุ่มละเอียดของผืนทราย เหล่านี้คือกิจกรรมที่ทำได้แบบไม่จำกัดเวลาที่ "ซาฮาร่าเวียดนาม"
ฟังดูไม่เข้าท่า แต่อารมณ์ตอนนี้คิดถึง "สุนทรีย์" ในหนัง "เราสองสามคน" ที่สุด ฉันเลยสมมติว่าตัวเองเป็นนางเอก แล้วเดินฝ่าลมเล็กๆ ขึ้นไปบนเนินทราย แน่นอน...มันไม่สบายอย่างที่คิดหรอก
เสน่ห์ของมุยเน่เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอที่จะทำให้นักท่องเที่ยวตัดสินใจมาเยือนฟานเทียต เพราะที่จริงแล้ว เมืองหลวงของจังหวัดบิ่นถ่วนแห่งนี้ยังมีสถานที่ที่น่าสนใจชวนให้ไปเยี่ยมเยือนอีกมาก
ฟานเทียตได้รับฉายาว่าเป็น "เมืองหลวงแห่งรีสอร์ท" เพราะเป็นเมืองชายทะเลที่มีบรรยากาศสบาย ชวนผ่อนคลาย จึงมีโรงแรมขนาดเล็ก-ใหญ่ เปิดรองรับนักท่องเที่ยวเต็มไปหมด แน่นอน ชายหาดที่นี่ถือเป็นสุดยอดชายหาดที่สวยงามลำดับต้นๆ ของเวียดนาม จึงไม่ใช่เรื่องแปลก(อีกแล้ว) ที่ผู้คนจากทุกๆ หย่อมย่านจะพากันมาสัมผัสน้ำทะเลฟานเทียตกันอย่างคึกคัก
ไม่เพียงแค่ธรรมชาติ แต่แหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ก็น่าสนใจเช่นกัน เพราะเมื่ออดีตนั้นเมืองฟานเทียตเคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรจาม จึงมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเมืองโบราณแห่งอื่นๆ
หลักฐานสำคัญชิ้นหนึ่งก็คือ ปราสาทจาม (Po Sanu ChamTower) ที่ประกอบด้วยปราสาท 3 หลัง พร้อมรูปประดับตกแต่งองค์ปราสาทนับร้อยชิ้นในแบบศิลปะจาม ซึ่งแต่เดิมนั้นชนชาติจามเคยยิ่งใหญ่และมีอิทธิพลในดินแดนบริเวณนี้ จึงมีการสร้างปราสาทขึ้นเพื่อถวายแด่พระศิวะในศาสนาฮินดู ประมาณกันว่า ปราสาทแห่งนี้น่าจะถูกสร้างขึ้นราวปลายศตวรรษที่ 8 ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาที่มองเห็นวิวเมืองฟานเทียตได้ชัดเจน
จุดท่องเที่ยวในเมืองฟานเทียตอีกแห่งหนึ่งที่สำคัญ หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้เลยก็ได้ นั่นคือ หอคอยน้ำฟานเทียต (Phan Thiet Water Tower) ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำคาตี (Ca Ty River) หอคอยแห่งนี้ได้รับการออกแบบโดยเจ้าสุภานุวงศ์แห่งประเทศลาว ซึ่งเป็นหัวหน้าวิศวกรของรัฐบาลเวียดนาม โดยได้ออกแบบและก่อสร้างหอคอยน้ำขึ้นราวปี 1928 แล้วเสร็จในปี 1934 และมีความสูง 32 เมตร ปัจจุบันเป็นหนึ่งในสถานที่ "ต้องไป" ของนักท่องเที่ยว
ส่วนอีกแห่งเห็นจะเป็น ประภาคารเคกา (Kega Lighthouse) ที่ตั้งโดดเด่นอยู่ริมทะเล ห่างจากตัวเมืองฟานเทียตออกไปราว 30 กิโลเมตร ประภาคารแห่งนี้ก่อสร้างขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1897 โดยสถาปนิกชาวฝรั่งเศส ซึ่งสร้างให้อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 65 เมตร ใช้กำลังไฟ 2,000 วัตต์ ในการส่งสัญญาณให้กับเรือประมงยามค่ำคืน
หลายคนบอกว่า มันคือประภาคารแห่งแรกในเวียดนาม แต่ก็ไม่มีใครยืนยันแน่ชัด
ฉันเดินผ่านประติมากรรมหินรูปร่างประหลาดแปลกตาไปจนถึงริมทะเลที่อยู่ใกล้ประภาคารเคกามากที่สุด มองจากปากทะเลตรงนั้นจะเห็นว่ามีเรือประมงจอดเรียงกันอยู่ดาษดื่น ส่วนคลื่นเล็กๆ ริมฝั่งก็พัดพาให้ "เรือกระด้ง" ที่มีชาวประมง 2 คนนั่งอยู่ไหลไปตามระลอกคลื่น พวกเขาดูไม่ตื่นเต้น แต่พอใจจะให้เรือของตัวเองลอยไหลไปกับธรรมชาติ
"ตามธรรมชาติ" - บางทีนี่อาจจะเป็นสัจธรรมเล็กๆ ที่ฉันได้รับจากการเดินทางมาเยือนเมืองชายทะเล "ฟานเทียต"
.......................
การเดินทาง
ฟานเทียตเป็นเมืองชายทะเลที่ตั้งอยู่ทางทิศตอนใต้ของประเทศเวียดนาม หากสะดวกหน่อยแนะนำให้เดินทางด้วยเครื่องบินมาลงที่นครโฮจิมินห์ แล้วต่อรถมินิบัสมาที่เมืองฟานเทียต สำหรับสายการบินที่แนะนำคือ สายการบินไทยแอร์เอเชีย โดยมีเที่ยวบินให้บริการจากกรุงเทพฯ(ดอนเมือง) ถึงโฮจิมินห์ ทุกวัน วันละ 3 เที่ยวบิน ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.airasia.com
การเดินทางโดยรถมินิบัสจากเมืองโฮจิมินห์ไปเมืองฟานเทียตใช้เวลาราว 6 ชั่วโมง แต่ก็มีคนไทยไม่น้อยที่นิยมการเดินทางโดยรถยนต์ ซึ่งสามารถเดินทางมาได้ไม่ยากเหมือนกัน แต่อาจใช้เวลานานหน่อย คือสามารถเดินทางข้ามประเทศไทยจากจังหวัดมุกดาหาร ข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาวไปยังแขวงสะหวันนะเขต จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 9 วิ่งตรงไปจนถึงด่านสะหวันที่อยู่ฝั่งลาว ก่อนจะเข้าไปที่ด่านลาวบาวในฝั่งเวียดนาม จากนั้นเลี้ยวขวาเข้าเมืองดงฮา ผ่านเมืองเว้ ฮอยอัน ดานัง ต่อไปเรื่อยๆ จนถึงฟานเทียต แต่อย่างที่บอกถ้าสนใจเส้นทางรถยนต์สายนี้อาจต้องมีเวลามากกว่า 7 วัน
สำหรับเวียดนามเป็นประเทศเพื่อนบ้านของไทยที่ไม่ต้องขอวีซ่า สามารถเดินทางไปได้อย่างสะดวกเพียงแค่ถือพาสปอร์ตเพียงเล่มเดียว ส่วนเรื่องการเงิน เวียดนามใช้เงินสกุล "ด่อง" (Dong) อัตราการแลกเปลี่ยนอยู่ที่ .0014 บาท เท่ากับ 1 ด่อง ลองบวกลบคูณหารดูว่า ถ้าอยู่ที่เวียดนามแล้วถือเงินไทยไปแลกเงินด่องสัก 4-5 พันบาท คนไทยจะกลายเป็นเศรษฐีได้ในพริบตา (^^)







