ศิลปะในการเมือง

ศิลปะในการเมือง

แทบทุกครั้งที่มีกิจกรรมการเรียกร้องทางการเมืองหรือที่เรียกรวมๆ ว่า "ม็อบ" สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ในกระบวนการเคลื่อนไหวคือ "ศิลปะ"

ที่ปรากฎในรูปของป้ายคัทเอาท์ขนาดใหญ่หรือโปสเตอร์ เพื่อสื่อสารความคิดหรือข้อเรียกร้องต้องการต่างๆ ศิลปะจึงเป็นสื่อที่มีพลังและขาดเสียมิได้ในการแสดงออกทางการเมืองทุกครั้งที่ผ่านมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

หนึ่งในศิลปินร่วมสมัยที่แสดงบทบาททางสังคมการเมืองมายาวนานอย่าง วสันต์ สิทธิเขตต์ มองว่า ศิลปะกับการเคลื่อนไหวทางสังคมเกิดจากการสืบทอดความคิดจากนักคิดนักเขียนที่มีแนวคิดเชิง "ก้าวหน้า" ที่มองเห็นปัญหาความทุกข์ยากของคนส่วนใหญ่ อาทิ เปลื้อง วรรณศรี กุหลาบ สายประดิษฐ์ ต่อเนื่องมาจนถึง จิตร ภูมิศักดิ์

"ก็มีความคิดที่คุกรุ่นมาตั้งแต่ก่อนจิตร ภูมิศักดิ์แล้ว เมื่อก่อนคนที่มีความคิดในเชิงสังคมส่วนใหญ่จะเป็นนักเขียน นักหนังสือพิมพ์ เพราะได้เห็น ได้รายงานความทุกข์ ความจริงต่อสังคม คนที่มีความคิดก้าวหน้าก็จะอ่านหนังสือของคนพวกนี้ ความคิดก็เลยถ่ายทอดกันต่อมาเป็นทอดๆ นำเสนอออกมาเป็นบทกวี บทเพลงก่อน พอหลัง 14 ตุลาก็เห็นชัดเจนขึ้น มีแนวร่วมศิลปินที่่ก่อตั้งขึ้นมา มีเรื่องของการเขียนโปสเตอร์ขับไล่อเมริกา สนับสนุนการต่อสู้ของชาวนา กรรมกร นี่คือความคิดก้าวหน้าที่อยู่ในหมู่ศิลปิน หลัง 6 ตุลาฯ 19 ศิลปินหลายคนก็กระจายกันไป ศิลปินแนวร่วมเข้าป่ากัน แต่ผมทำงานในเมือง เขียนโปสเตอร์งานรำลึก 14 ตุลา 6 ตุลา จัดตั้งกลุ่มนักเรียนเด็กศิลปากร เพาะช่าง อาชีวะ ก่อนพฤษภาทมิฬก็มีการจัดตั้งกลุ่มศิลปินเพื่อประชาธิปไตย เราก็ต่อต้านอำนาจอธรรมทุกรูปแบบที่เราทำได้ ต่อเนื่องมาถึงรุ่นน้องก็ได้เรียนรู้สืบเนื่องกันมา"

วสันต์ มองว่า บทบาทสำคัญของศิลปะร่วมสมัยคือการมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนไปสู่สังคมที่ดีกว่า ด้วยการทำความเข้าใจกับความทุกข์ของชาวบ้าน ผู้ด้อยโอกาสในสังคม นำมาสะท้อนผ่านผลงานศิลปะ

"งานศิลปะวัฒนธรรมเป็นกองหน้าของงานการเมือง ผมว่าถ้าเราทำด้วยจิตใจบริสุทธิ์จะสามารถกระตุ้นให้ผู้คนคล้อยตามหรือเห็นดีเห็นงามไปกับความงดงามทางศิลปะที่เราแสดงออก การเรียกร้องจะไม่นำไปสู่ความรุนแรง ผมคิดว่ามันมีพลังนะ ศิลปวัฒนธรรมมีพลังทางจิตใจ การเคลื่อนไหวทางภาคประชาชนก็ต้องอาศัยศิลปวัฒนธรรมเป็นสื่อ ศิลปะไม่ว่าเป็นบทเพลง กวี ดนตรี เรื่องสั้น ภาพวาด ภาพถ่าย คือการบันทึกยุคสมัย ศิลปินสามารถไปเรียนรู้ปัญหากลับมาถ่ายทอด ผมไปเดินขบวนกับสมัชชาคนจนเพื่อจะเรียนรู้ความทุกข์ของเขา ผมไปวาดรูปที่บ้านกรูด ไปวาดรูปที่แก่งเสือเต้น เอามาแสดงที่กรุงเทพฯ เพื่อจะให้คนกรุงเทพฯ ได้รับรู้ ให้คนชั้นกลางในเมืองได้รับรู้ว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมมันเป็นอย่างนี้ ตรงนี้เป็นสิ่งที่ศิลปินเราเข้าไปรับผิดชอบได้"

ตี๋ - ชิงชัย เจริญอุดมกิจ อีกหนึ่งศิลปินร่วมสมัยที่เข้าร่วมกิจกรรมทางการเมือง ชิงชัยเล่าว่า นอกจากการบันทึกเหตุการณ์และเรื่องราวทางสังคม งานศิลปะคือส่วนหนึ่งที่สามารถกล่อมเกลา บรรเทาอารมณ์ที่คุกรุ่นของผู้ชุมนุมให้สงบลงได้

"เข้าไปร่วมชุมนุมก็ไปวาดรูป ทำงานศิลปะ ช่วยเขียนป้าย ทำกล่อง อะไรเกี่ยวกับศิลปะเราช่วยหมดเลย ชาวบ้านไม่ถนัดเรื่องพวกนี้ ศิลปินก็ไปช่วย พอศิลปะเข้าไปทำให้การเรียกร้องมีสีสัน สื่อกับคนอื่นได้ง่าย เห็นพอเห็นป้ายก็ทำให้คนนอกดูแล้วเข้าใจว่าคุณเรียกร้องอะไร ศิลปะเป็นการเคลื่อนไหวในเชิงบวก ช่วยให้อารมณ์ร่วมของคนที่อาจจะเกิดความรู้สึกรุนแรงได้ปรับลง อย่างดนตรีมีส่วนช่วยมาก เวทีไหนเริ่มร้อนแรงเกินไป ก็จะมีการเอาดนตรีเข้ามาแทรกเพื่อจะเบรกอารมณ์ของผู้ชุมนุม บางเวทีก็ให้ผู้ชุมนุมมาช่วยกันเขียนรูป ก็เป็นการผ่อนคลาย เบรคอารมณ์ไม่ให้มีแต่ความโกรธแค้นอย่างเดียว บางทีก็กลายเป็นเรื่องขำ เหมือนเราโกรธตัวตลก ถ้าในเวทีไหนไม่มีศิลปะจะมีแต่ความก้าวร้าว มีแต่ความรุนแรง"

การร่วมเคลื่อนไหวใน 7 ตุลาคม 2551 ทำให้ชิงชัยได้รับบาดเจ็บสาหัสมือขวาขาด กล่องเสียงถูกทำลาย แต่ก็เป็น "ศิลปะ" นั่นเองที่ทำให้เขาประคองสติอยู่ได้ และยังคงทำงานศิลปะเพื่อสังคมอยู่จนถึงปัจจุบัน

"ไปเคลื่อนชุมนุมโดนยิงแก๊สน้ำตา โดนระเบิดมือขาด คนทั่วไปมองว่ารัฐโหดร้ายเกินไป อีกฝั่งก็บอกว่าแล้วคุณจะไปกันทำไม แต่ตัวเราไปด้วยจิตบริสุทธิ์ การทำงานสิลปะทำให้เราต้องรับมันให้ได้ เราทำงานศิลปะโดนกระทำจนมือขาดก็รู้สึกว่าไม่ต้องตีโพยตีพาย ใช้ศิลปะนำ ใช้ธรรมะนำ เป็นการปล่อยวาง ไม่ยึดติด แม้แต่มือเราขาดก็คิดว่าสละอวัยวะรักษาชีวิต สละชีวิตรักษาธรรม การถูกกระทำเหมือนการทดลองจิตว่าเรารับมันได้ไม๊ เราคิดได้ระดับนี้ถือว่าภูมิใจ"

วันเวลาผ่านไป นักการเมืองเปลี่ยนหน้ากันเข้ามาครองอำนาจ แต่ปัญหาทางสังคมไม่เคยหมดไป ในยุคที่โซเชียลมีเดียอย่าง "เฟซบุ๊ค" เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันโดยเฉพาะสำหรับชนชั้นกลางในเมือง แทน ราศนา อดีตคนทำงานในกลุ่มแนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทย ริเริ่มโครงการเขียนภาพเหมือนบุคคลผ่านทางเฟซบุ๊คเพื่อหารายได้สนับสนุนกลุ่มคนที่ได้รับความเดือดร้อนจากโครงการของรัฐโดยไม่เลือกฝักฝ่าย

"เราเห็นปัญหาบ้านเมืองแล้วก็ทุกคนก็มีความอึดอัดใจ เหมือนกับประชาชนทั่วไปที่ไม่รู้แสดงออกยังไง เราก็หารือกันว่าเราจะทำอะไรได้บาง โดยเฉพาะคนที่ไม่เห็นด้วยกับหลายนโยบายของรัฐบาล และการทำหน้าที่ที่ฝืนกระแสความรู้สึกของสังคมมาโดยตลอด เราเห็นประชาชนหลายกลุ่มเริ่มออกมาเคลื่อนไหว แต่ละกลุ่มก็ไม่มีทุนรอนสนับสนุน ก็เลยคิดกันว่าน่าจะมีโครงการขึ้นมาสนับสนุนตรงนี้ เราได้ทำงานศิลปะไปด้วย หาสร้างรายได้ช่วยคนที่เดือนร้อนด้วย และก็พยายามสื่อให้ชนชั้นกลางในเมืองได้เห็นสภาพปัญหา ให้เข้าใจว่าอย่างไรก็มีคนที่ต้องการแสดงออกในทางที่เป็นคุณกับสังคม ไม่ได้แสดงอาการก้าวร้าว ไปประท้วงรุนแรง ก็เลยคิดโครการนี้ขึ้นมา"

แทน ราศนา วสันต์ สิทธิ์เขตต์ ดินหิน รักษ์พงศ์อักษร และชิงชัย เจริญอุดมกิจ คือศิลปินกลุ่มแรกที่อาสาเข้าร่วมโครงการ

"ก็คิดจะทำงานศิลปะเพื่อช่วยเหลือประชาชนในเรื่องความเป็นธรรมทางสังคม ไม่มีอะไรมาก ไม่มีเบื้องหลังทางการเมือง พวกศิลปินการเมืองไม่เข้าหาหรอกครับ ศิลปินเรามีแต่พู่กันจะไปทำอะไรใครได้ เรื่องการไปทำให้สังคมเดือดร้อนรุนแรงเราไม่ทำอยู่แล้ว และเราคงไม่ได้เลือกว่าจะช่วยกลุ่มไหนบ้าง ขอให้เป็นประชาชนทั่วไปเดือดร้อนจากผลพวงของนโยบายของรัฐ เราก็พร้อมจะหนุนช่วย ถ้าทำได้เต็มรูปแบบต่อไปอาจจะจัดเป็นนิทรรศการที่สนามหลวงหรือที่อื่น ใช้พื้นที่สาธารณะให้คนรู้ความเคลื่อนไหวของเรา ได้บอกสังคมรู้ว่าเราคิดอะไร เรากำลังทำอะไร" แทน ราศนา กล่าว

"ความสามารถที่เรามีคือการเขียนพอตเทรต ก็เอามาแปรเปลี่ยนเป็นทุนสนับสนุนการต่อสู้ ต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมของสังคม อาจจะไม่ใช่เงินมากมาย แต่เป็นการจุดประกายว่าเราจะมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงสังคมได้อย่างไร เราหวังแค่นี้ก่อน เรามองว่าสังคมนี้มันเกินจะเยียวยาจริงๆ แต่เราก็หวังว่าสักวันสังคมจะตื่น คนจะตื่นรู้" วสันต์ กล่าว

วสันต์มองอีกว่า โซเชียลเน็ตเวิร์คเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ในการรณรงค์ทางสังคมการเมืองในประเทศไทย อย่างน้อยก็เพื่อแบ่งปันข้อมูลและเปิดประเด็น อย่างไรก็ตาม หากจะให้การเคลื่อนไหวเห็นผลเป็นรูปธรรมก็ยังคงต้องอาศัยการเคลื่อนไหวบนท้องถนนอยู่นั่นเอง

"โซเชียลเน็ตเวิร์คเราใช้ประโยชน์จากมันได้ ประเทศที่กดขี่มากๆ ส่วนใหญ่ก็ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คในการสร้างกระแสต่อต้าน เรียกคนมารวมกัน ในบ้านเราอาจจะใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คในการเชื่อมร้อยคนที่รักความเป็นธรรม รักธรรมชาติเข้าด้วยกัน คุยกันเรื่องปัญหาน้ำมัน ปัญหาเขื่อน ปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่ผมมองว่าสุดท้ายแล้วก็ต้องมีการเดินขบวน มีการยื่นหนังสือ มีการกล่าวคำประกาศอะไรออกไป เป็นการขับเคลื่อนจากในจอไปสู่การลงมือทำเพื่อบอกข่าวสารต่อสังคม ต้องมีแอคชั่นหน้าจอและแอคชั่นในความเป็นจริงด้วย"

"แนวโน้มมันจะเป็นพลังที่เข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนชั้นกลางที่เล่นอินเตอร์เนต โซเชียลเน็ตเวิร์คจะช่วยขายความคิดเรื่องสังคม ช่วยปลุกความคิดที่มีเหตุผลได้มาก เป็นช่องทางที่คนชั้นกลางจะร่วมเคลื่อนไหวทางสังคมด้วย" วสันต์ สรุป