บั้งไฟที่ได้เห็น

ผมไปเห็นการประชาสัมพันธ์งานแห่บั้งไฟของเมืองยโสธร มาจากเว็บไซต์หนึ่ง นั่นไม่ได้ทำให้ผมสะดุดใจเท่ากับความเห็นท้ายข่าวที่คนอ่านเขามาเขียนต่อ
บอกว่า “เป็นเทศกาลที่คนเมืองนี้เขาปิดเมือง ดื่ม(เหล้า) และเต้น กันทั้งเมือง” แค่นี้ก็ทำให้คนที่ไม่เคยไปงานนี้อย่างผมอยากไปเห็นเองสักครั้งว่าคนเขากล่าวหา เมืองยโสธร หรือเปล่า ใครไม่เคยไปก็มาฟังเป็นข้อมูลดูก็แล้วกัน
ปีนี้เขาจัดช่วงวันที่ 10-13 พฤษภาคม 2556 งานแบ่งเป็นสองส่วนคือมีขบวนแห่บั้งไฟ และการประกวดขบวนแห่บั้งไฟ ก็จะเป็นของอำเภอต่างๆ เรียงกันมาโชว์หน้าปะรำพิธีที่จัดบนถนนหน้าที่ว่าการอำเภอเมือง และอุทยานการเรียนรู้ ถนนเส้นนี้ทั้งสายนี่แหละที่เขาปิดไม่ให้รถวิ่ง ซึ่งถือเป็นถนนสายหลักๆ ของเมืองยโสธร
ใครจะไปอุบล ใครจะไปร้อยเอ็ด ก็ต้องเลี่ยงเมือง เข้าไปในเมืองไม่ได้ ริมถนนเส้นนี้จะมีเวทีสองฝั่ง ห่างกันเวทีละไม่มาก เปิดเครื่องเสียงดังลั่น เต้นกันกระหึ่มทุกเวที นัยว่าเป็นเวทีประกวดกองเชียร์บั้งไฟ แต่ผมเห็นแต่คนเมาที่เต้นกันเหมือนคนบ้า แล้วตามซุ้มบ้านก็มีการตั้งเวที เปิดเครื่องเสียง เมาและเต้นเช่นเดียวกัน คงจะแบบนี้นี่เองที่ดูเหมือนว่าเมืองนี้เขาปิดเมืองกิน ดื่ม เมา และเต้นกันอย่างที่คนเขาไปให้ความเห็น
ขบวนแห่ก็จะเหมือนขบวนแห่ทั่วไปที่มีการรำ การฟ้อนของชาวบ้าน ดนตรีอีสานนั้นสนุกอยู่แล้วเลยทำให้งานคึกคัก ปีนี้พิเศษตรงที่มีบั้งไฟจากญี่ปุ่นมาโชว์ด้วย แล้วช่วงสำคัญจะไปอยู่ตรงที่การจุดบั้งไฟ ซึ่งปีนี้ใช้พื้นที่สวนสาธารณะพญาแถน มีบั้งไฟเข้าร่วมงานประมาณ 26 ลูก ประกวดบั้งไฟแสนและบั้งไฟแฟนตาซี
บรรยากาศที่สวนพญาแถน เช้าวันจุดบั้งไฟนั้นคึกคักแต่เช้าครับ รถรา ร้านค้าเต็มกันทั้งบริเวณ รถขนบั้งไฟวิ่งเข้ามาเรื่อยๆ ซุ้มต่างๆ ของบั้งไฟแต่ละลูกก็จะกระจายกันอยู่ตามที่ต่างๆ แต่ละซุ้มจะมีการแต่งบั้งไฟ เช็คความพร้อม ใส่พวงมาลัย ซึ่งน่าจะมีการไหว้บอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผมได้พี่หมานและลุงเดช คนเมืองยโส เป็นไกด์ให้ข้อมูลและพาดูบั้งไฟครั้งนี้ ซึ่งปีนี้มีฐานบั้งไฟที่จะยิงแค่ 2 ฐาน คือฐานของบั้งไฟแสน ส่วนฐานสูงและใหญ่ซึ่งเป็นบั้งไฟล้านนั้น ปีนี้ไม่มีการจุด แล้วก็จะเป็นฐานเล็กๆ ไว้สำหรับบั้งไฟแฟนตาซี
โดยบั้งไฟแสนนั้นเขาจะให้มีขนาดท่อเหลือแค่ 5 นิ้ว ซึ่งก่อนหน้านั้น เคยให้ถึง 6 นิ้ว ซึ่งขนาดยิ่งใหญ่ แรงอัดแรงดันก็จะมากขึ้น แต่มาระยะหลังปรากฏว่า บั้งไฟมันไม่สนุกอย่างเดียวครับมันมีทุกข์ด้วย นอกจากจะเป็นอันตรายกับการบินแล้ว ยังมีปัญหากับชุมชนต่างๆ ด้วย เพราะเคยเกิดกรณีว่าบั้งไฟมันขึ้นฟ้าไประยะหนึ่งแล้วดันเปลี่ยนทิศปักหัวลง วิ่งไปชนบ้านคน ทำให้ไฟไหม้บ้านทั้งหลังมาแล้ว พอจะมีงานบั้งไฟชุมชนที่คาดว่าบั้งไฟอาจตกใส่จะถูกให้ออกไปจากบ้านเรือนในช่วงของการจุดบั้งไฟก่อน แล้วมีการทำประกันในการจัดงานบั้งไฟทุกปี
บั้งไฟนั้นจะมีชื่อทีม ซึ่งเดี๋ยวนี้นอกจากชื่อคุ้มบ้านแล้วก็จะเป็นชื่อห้างร้านบริษัทมาเป็นเจ้าของบั้งไฟด้วย โดยไกด์ของผมทั้งสองให้ข้อมูลว่า แต่ก่อนเขาทำเป็นประเพณี ไม่ได้ทำกันบ่อยๆ รู้ว่าช่างคนไหนเก่งก็พยายามดึงตัวเข้ามาร่วมทีม แต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นช่างทำบั้งไฟก็จะทำบั้งไฟให้ใครก็ได้ที่อยากจะเอามาจุดร่วมในงาน อาจเป็นนักการเมืองท้องถิ่นหรือธนาคารมาซื้อ วันงานช่างคนนั้นก็จะเอามาประกอบ เอาขึ้นฐานยิงให้เสร็จสรรพ ก็เลยกลายเป็นงานรับจ้างของช่างทำบั้งไฟไป
เวลาที่เขาเอาบั้งไฟขึ้นฐานนี่จะนาน ฐานยิงนี้จะทำเอียงนิดๆ โดยมีการคำนวณไว้หมดว่าจะไปตกทิศไหนทางไหน พอพร้อมก็จะให้สัญญาณจุด ซึ่งกว่าบั้งไฟจะขึ้น ควันจะโขมงจนทั่วบริเวณ กติกาก็จะดูว่าตั้งแต่บั้งไฟตั้งแต่ขึ้นจนตกนั้นใช้เวลากี่วินาที เวลาที่เขาเล่นพนันก็จะตั้งเวลาขึ้นมา แล้วดูว่าลูกนั้นจะน้อยกว่าเวลานั้นหรือมากกว่าเวลานั้นแล้วก็พนันกัน บางลูกขึ้นไปแล้วควงสว่านซึ่งเขาใช้ศัพท์ว่า “รำดาบ” บั้งไฟลูกไหนรำดาบก็จะทำเวลาได้น้อย บางทีพนันกันถึงว่าลูกไหนจะรำดาบหรือไม่ก็มี
“บางครั้งมีข่าวบั้งไฟระเบิดคนตาย” “ ช่างมันแทงชนวนไม่ตรงกลาง” เซียนบั้งไฟของผมให้ข้อมูล “บางทีขึ้นแล้วหางมันหลุด หมุนควงตกลงมาก็มี”
ส่วนบั้งไฟแฟนตาซีนั้น ฐานจะตั้งชัน ตัวบั้งไฟจะเป็นท่อมีขนาดเล็กๆ อาจเพิ่มลูกเล่นเช่นมีควันสีต่างๆ เข้าไป แล้วใส่ร่มชูชีพเล็กๆ กระดาษเงินกระดาษทอง พอยิงขึ้นไประยะหนึ่งร่มก็จะถูกปล่อยออกมา เขาก็จะดูว่าร่มมีกี่อัน กางสวยไม่สวย บางลูกขึ้นไปแล้วไม่ปล่อยร่ม กลับตกลงมาทั้งยวงก็มี ตอนนี้แหละที่ต้องระวัง ดูๆ อยู่พี่เดชก็คว้าแขนผมเดินออกห่างเมื่อเห็นบั้งไฟแฟนตาซีลูกหนึ่งกำลังหล่นลงมาในบริเวณ
“บั้งไฟแสนไม่น่ากลัวหลอกเพราะมันมักไปตกที่อื่น ยกเว้นถ้าหางมันหลุด ทิศทางมันก็อาจเพี้ยนวิ่งเข้ามาทางนี้ได้ แต่บั้งไฟเล็กๆ อย่างบั้งไฟแฟนตาซีนี่แหละที่มักตกลงมาโดนคน คนมาดูต้องระวังด้วย หลายปีก่อนก็ตายไป 3 ศพ” พร้อมทั้งชี้จุดเกิดเหตุให้ผมดู
กลับกลายเป็นว่า การมาดูบั้งไฟนี้ นอกจากคนไปดูจะต้องหูตาไว ขืนเดินเล่นหรือนั่งเมากัน (ซึ่งผมเห็นชาวบ้านหอบเสื่อ ขนเครื่องดื่มมึนเมามาตั้งวงทั่วบริเวณงาน) อาจตายได้โดยไม่ทันรู้ตัว หรืออยู่ดีๆ บ้านตัวเองก็ถูกบั้งไฟตกใส่หรือไฟไหม้ จะคุ้มกันไหมกับที่เรียกว่า “ประเพณี”
แล้วเดี๋ยวนี้บ่อนบั้งไฟระบาดในภาคอีสาน จัดกันเพื่อให้เล่นพนันอย่างเดียว โดยไม่เกี่ยวกับช่วงเทศกาลใดทั้งสิ้น ก็ดูเหมือนประเพณีที่เราอ้างชักจะเพี้ยนกันไปใหญ่ ปีนี้ที่ยโสธรไม่มีข่าวว่าคนโดนบั้งไฟตกใส่ แต่มาเป็นข่าวที่ศรีสะเกษว่าที่นั่นบั้งไฟตกใส่เด็กที่ไปดูถึงกับต้องหามเข้าโรงพยาบาล
ที่ญี่ปุ่นนั้นเขาจุดบั้งไฟหลังการเก็บเกี่ยวเพื่อขอบคุณสวรรค์ ขอบคุณฟ้า แต่ที่ไทย เราขออย่างเดียว ตั้งแต่ขอฝนให้ตกต้องตามฤดูกาล เดี๋ยวนี้อาจจะต้องขอว่าบั้งไฟอย่าตกใส่เรา อย่าตกโดนบ้านเราด้วย
แบบนี้ประเพณีเพี้ยนหรือคนเพี้ยนกันแน่ครับ....







