'โรงเจ' ประวัติศาสตร์มีไว้ ...ซ้ำรอย

'โรงเจ' ประวัติศาสตร์มีไว้ ...ซ้ำรอย

ดูหนังม้วนต่อของ "ดราม่าอัมพวา" ผ่านชุมชนโรงเจซำเป้าอัมพวา อีกครั้งของการเดินสวนทางระหว่างชุมชนกับการพัฒนา

ในวันที่ผืนดินริมคลองกำลังกลายเป็น "ขุมทอง" สำหรับนักลงทุน

. . .

หากลองไล่สายตาไปตามลำน้ำ นอกจากความเงียบสงบของเรือนริมฝั่งในวันที่ตลาดน้ำอัมพวา "ปลอดแขก" ก็จะพบว่า พื้นที่สุดปลายคลองอัมพวาที่ขนาบข้างด้วยคลองบางจาก และคลองดาวดึงส์ ของชุมชนโรงเจเง็กเซ็งซำเป้าเก็งเต๊ง หรือ โรงเจซำเป้าอัมพวา จ.สมุทรสงครามแห่งนี้ "เข้าตำรา" พอดิบพอดี

"ทำเลสามน้ำ" ในลักษณะนี้ ถือเป็น "ฮวงจุ้ยท้องมังกร" ซึ่งเชื่อกันว่า "ดีที่สุด"

จากผืนดินในความครอบครองของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ที่ตกทอดมายังลูกหลาน โดยมีชาวบ้านมาเป็นผู้เช่าอยู่อาศัย เกิดเป็นชุมชนริมคลองอีกแห่งขึ้นมา ชาวบ้านส่วนใหญ่ทำเกษตร ประมง ไม่ก็ค้าขาย แล้วแต่ความชอบความถนัด ตกเย็นหลัง 1 ทุ่ม ประตูบ้านทุกหลังจะปิดสนิท เป็นวิถีชีวิตริมคลองที่ดำเนินสืบต่อกันมา

ทันทีที่ ตลาดน้ำอัมพวา ถูกชุบชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง และกลายเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว ด้วยชุมชนริมคลองที่ผูกโยงวิถีอดีตเอาไว้อย่างครบถ้วน จนได้รับรางวัลชมเชยด้านการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมจากองค์กรยูเนสโกเมื่อปี พ.ศ.2551 นอกจากปริมาณคนจะหลั่งไหลเข้ามา ทำให้เม็ดเงินแพร่สะพัดไปทั่วแล้ว ร่มเงาของความเปลี่ยนแปลงก็ยังแผ่ขยายตามมาติดๆ

การเข้ามาของ "คนแปลกหน้า" หรือการเปลี่ยนมือของเจ้าบ้านริมคลอง ภาพสะท้อนความเปลี่ยนแปลงตามกลไกตลาดสมัยใหม่อย่างเป็นรูปธรรมเหล่านี้มีให้เห็นอยู่ตลอดในช่วงที่ ตลาดน้ำกำลังบูม

จนกระทั่ง เกิดกรณี "โครงการชูชัยบุรีศรีอัมพวา" กับเรือนไม้ริมน้ำที่ถูกพูดถึงกันอย่างกว้างขวางบนพื้นที่สื่อ การรักษาวิถีชุมชนดั้งเดิมบนการพัฒนาจึงกลายเป็นคำถามสำคัญขึ้นมาอีกครั้ง

หลังจากกระแสดังกล่าวสร่างซาไปไม่นาน เหตุการณ์ทำนองนี้ก็หวนกลับมาเกิดขึ้นกับ "ชุมชนโรงเจ" กลายเป็น "ภาคต่อ" ของเรื่องนี้ อีกครั้ง

ดราม่า "โรงเจ"

"เริ่มแรก มีนายทุนเจ้าของโฮมสเตย์แห่งหนึ่งแอบไปขอซื้อพื้นที่ริมน้ำสองฝั่งของชุมชนโรงเจ แต่เจ้าของไม่ขาย ด้วยเหตุว่า ต้องซื้อยกแปลงจำนวน 2 - 3 ไร่ ในราคา 8 ล้านบาท" ทนง เผ่าจินดา ชาวชุมชนโรงเจ เกริ่นถึงเหตุการณ์ตอนต้น

ช่วงปลายปี 2552 ถึงต้นปี 2553 มีข่าวหลุดออกมาว่า เจ้าของที่ดินประกาศขายพื้นที่บริเวณชุมชนโรงเจทั้งหมด เมื่อชาวบ้านทราบจึงพากันตามหาผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน เพื่อแสดงเจตจำนงขอซื้อพื้นที่

"พวกเรารีบตามหาเจ้าของที่ และวางมัดจำ 2 แสนบาท โดยมีกำหนดชำระเงินที่เหลือ ให้ครบภายในระยะเวลา 3 เดือน คือ วันที่ 30 มิถุนายน 2553"

ก่อนที่อีกไม่กี่วันต่อมา นายทุนใหญ่อีกเจ้าก็เข้ามาติดต่อขอซื้อเช่นกัน โดยเพิ่มราคาให้เป็น 15 ล้านบาท แต่ถูกปฏิเสธไป เพราะมีร่างสัญญาวางมัดจำกับชาวบ้านไว้แล้ว

เมื่อได้สิทธิ์ซื้อที่ดิน จึงมีการเรียกประชุมชาวบ้านซึ่งเขายอมรับว่า ยากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขาเสียอีก

"มากันไม่ครบ แถมที่ไม่เห็นด้วยก็ตีรวนหาว่าเราจะซื้อที่เพื่อเก็งกำไร เราก็อธิบายว่า หากซื้อที่มาแล้ว จะตัดแบ่งพื้นที่ตามสัดส่วนที่คุณปลูกบ้าน ใครอยากได้มากน้อย เอาตามความพอใจ แต่บ้านข้างๆ ต้องไปเคลียร์กันให้ยอมรับทั้งสองฝ่าย และต้องมาดูที่พร้อมกันเวลาเรียกรังวัดมาวัด"

ในวงประชุมครั้งถัดมา เงิน 8 ล้านบาทก็กลายเป็นปัญหาใหญ่ เพราะหลายคนหาเช้ากินค่ำ ไม่มีทางที่จะหาเงินมาสมทบได้ครบจำนวนจึงหาทางออกด้วยการขอให้ผู้หลักผู้ใหญ่ในเทศบาลช่วยเหลือ ซึ่งก็ดูเหมือนจะได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยมีรับมอบเอกสารประเมินทรัพย์สินของแต่ละบ้านเพื่อจะส่งต่อให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์

แต่หลังจากนั้น ทุกอย่างก็เงียบสนิท นอกจากจะผิดนัด ชาวบ้านยังถูก "สับขาหลอก" ไปสร้างภาพกับสื่ออีกหลายครั้ง จนที่สุด ชาวบ้านต้องกลับมาพึ่งตัวเอง ระดมทุนกัน โดยตัวแทนชาวบ้าน 4 คน รับ "หน้าเสื่อ" ไปก่อนคนละ 2 ล้านบาท เพราะถ้าจะรอเงินส่วนรวม ที่ดินมีโอกาส "หลุดมือ" สูง

จนแล้วจนรอด ก็ยังไม่วายมี "หักมุม" ให้ใจหายใจคว่ำ จู่ๆ หุ้นส่วนคนหนึ่งก็ประกาศถอนตัวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย จึงต้องประชุมกันใหม่ และตัดสินใจแบ่งหุ้นส่วนเป็น 5 หุ้น หุ้นละ 1.6 ล้านบาท การประชุมวันนั้นจึงจบลงด้วยดี ชาวบ้านมีเงินจ่ายเจ้าของที่

ทว่า ประวัติศาสตร์มีไว้ให้ "ซ้ำรอย"

ก่อนถึงกำหนดไม่กี่วัน มีคนประกาศขอถอนหุ้น ทุกคนเครียดมาก บางคนถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่ แกนนำหุ้นทั้งหมดก็อยู่คนละที่ ทนงจึงเสนอให้ "วัด" เป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ แต่เมื่อ "หลวงพ่อ" แจ้งเงื่อนไขการใช้เงินที่ต้องผูกกับความเห็นชอบของกรรมการ ซึ่งตอนนี้อยู่ภาคอีสานกันหมด ดราม่านี้จึงยิ่งซับซ้อนขึ้นไปโดยปริยาย

"แกนนำทั้งหมดกลับมาตั้งสติกันใหม่ เดินไปเคาะประตูบ้านทุกบ้าน ใครมีมากมีน้อยเอาหมด ปรากฎว่าชาวบ้านหลายคนถึงกับไปกู้เงินนอกระบบด้วยอัตราดอกเบี้ยสูงๆ มีน้องผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นคนหาเช้ากินค่ำ แต่สปิริตสูงมาก เขาไปกู้เงินร้านทองมาหนึ่งหมื่นบาท แสดงเจตจำนงขอช่วยพวกเรา เราก็ไม่ปฏิเสธนะ" เขายังจำได้

ในที่สุด เงินก็ครบจำนวนตามต้องการ ชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด

"เราเตรียมเงินทั้งหมดไปในวันนั้น แต่ลืมสนิทว่าต้องมีค่าธรรมเนียมการโอนอีกเป็นแสน ทุกคนจึงรีบไปกดเอทีเอ็มบ้าง กลับไปเอาเงินที่บ้านบ้าง เอามารวมกันไว้ จดชื่อหมดว่าใครให้เท่าไหร่ ตัวแทนเจ้าของที่ได้เห็นถึงความลำบากของชาวบ้าน เขาก็บอกว่า ถ้ารู้ว่าจะลำบากกันขนาดนี้ ก็พร้อมจะเลื่อนวันจ่ายให้ แถมยังบอกกับเราว่า ผู้บริหารท้องถิ่นที่เราไปขอความช่วยเหลือตอนแรกก็มาติดต่อขอซื้อที่ดินด้วย"

ไม่เพียงเท่านั้น หุ้นส่วนที่ถอนตัวไปก่อนหน้านั้น ก็เป็น "หมาก" อีกตัวในแผนการ "ฮุบที่" ด้วย เพื่อให้ชาวชุมชนหาเงินมาจ่ายไม่ทันตามสัญญา

ที่ดินผืนนี้จึงถือเป็นบทเรียนราคาแพงสำหรับชาวชุมชนโรงเจอย่างแท้จริง

ฤาอัมพวาจะซ้ำรอย

เรามักได้ยินวลีที่ว่า "ประวัติศาสตร์มีไว้ให้ซ้ำรอย" หากเทียบเคียงกับเหตุการณ์นี้ ชุมชนโรงเจก็คงไม่ต่างอะไรกับ "เรือนไม้ริมน้ำ" กับ "โครงการร้อยล้าน" ที่เรื่องเพิ่งเงียบไปได้ไม่นานนัก

ไม่ว่าจะเป็น ผลกระทบทางวัฒนธรรมท้องถิ่นอันนำไปสู่การล่มสลายของชุมชนที่ รศ. ศรีศักร วัลลิโภดม เคยพูดถึงอยู่บ่อยครั้ง หรือ ความบิดเบี้ยวระหว่างสังคม วัฒนธรรม ชุมชน ที่มีกรอบของเศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมเข้ามาเป็นบ่วงโซ่ของความขัดแย้งในความเห็นของ นักวิชาการศึกษาชุมชนและวัฒนธรรมเมืองอย่าง ปฐมฤกษ์ เกตุทัต

ชุมชนโรงเจก็กำลังเดินอยู่บนเส้นทาง และความเสี่ยงเหล่านี้เหมือนกัน เพราะแม้ชาวโรงเจจะสามารถรักษาบ้านเกิดเอาไว้ได้ แต่ปัญหาก็ยังไม่หมด โดยเฉพาะการรับมือกับชาวบ้านที่ไม่สนับสนุน และไม่ยอมให้เงินช่วยเหลือ

"ชาวบ้านคนหนึ่งมาขอซื้อที่ในราคาทุน เราก็ปฏิเสธไป ด้วยเหตุผลว่า ตอนทุกคนลำบาก คุณไม่ช่วยสักบาท มาตอนนี้คงสายไปแล้ว ภายหลังชาวบ้านครอบครัวนี้ได้รื้อถอนที่อยู่อาศัย พร้อมเรียกร้องขอค่ารื้อถอนเป็นจำนวนหนึ่งแสนบาท เราก็ให้ไปตามคำขอ ทั้งที่ตามกฎหมายแล้ว เราไม่จำเป็นต้องจ่ายสักบาทด้วยซ้ำ แต่ที่จ่ายเพราะความผูกพันกันมา" ทนงยกตัวอย่าง

มีสุภาษิตกล่าวว่า "สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง" ดังนั้น คงไม่แปลกหากชาวบ้านจะลืม "ร่างปฏิญญาชุมชน" เพื่อกำหนดข้อตกลงร่วมกันว่า จะไม่ขายที่ดินหรือห้ามผู้ใดสร้างเคหะสถานซึ่งทำลายสภาพภูมิทัศน์อันเป็นเอกลักษณ์ของอัมพวา

ข้อผิดพลาดครั้งนี้ก็ให้บทเรียนราคาแพงอีกเช่นเคย

ภายหลังจากการตัดแบ่งที่ดินให้ชาวบ้านเสร็จสิ้น ชาวบ้านผู้หนึ่งได้ "ขายต่อ" ที่ดินให้กับชาวอิตาลีซึ่งมีภรรยาเป็นคนจันทบุรี เป็นจำนวนเงินราว 4-5 ล้านบาท

เริ่มแรก ก็ทำทีว่าจะมาสร้างบ้าน แต่ไม่นานนัก "บ้าน" ค่อยๆ ขยายฐาน ใหญ่ขึ้นสูงขึ้นทุกวัน กระทั่งแปรสภาพกลายเป็น "โรงแรม" ขนาดย่อม และยังสร้างติดบริเวณบ้านข้างเคียงชนิดแทบจะเป็นรั้วเดียวกัน อีกทั้งระหว่างการก่อสร้างก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่อง ป้องกันฝุ่นละออง หรืออุบัติเหตุอันเกิดจากอุปกรณ์ก่อสร้างอย่างเศษหินเศษปูนตกหล่นใส่ข้างบ้านเท่าไหร่นัก

"เทศบาลเคยมาตรวจ เขาบอกว่าไม่ผิด ทั้งๆ ที่เห็นกันอยู่ว่าผิดเพราะที่ดินตรงนั้นปลูกติดกับเขตบ้านผม ส่วนกฎหมายที่บอกว่า กำแพงห้ามสูงเกิน 3 เมตร แต่เขากลับทำให้เป็นโครงสร้างฐานอาคาร ซึ่งถ้ามองดู ก็ฟันธงได้เลยว่าเป็นอาคารแน่ๆ" ชาวโรงเจรายหนึ่งเล่าถึงสิ่งที่เกิดกับบ้านของเขา

หรือที่เคยมีอุปกรณ์ก่อสร้างตกใส่หลังคาบ้านเขา ก็ได้รับการเปลี่ยนใหม่แต่ไม่ใช่หลังคารุ่นที่ใช้อยู่

"สีจากเดิมที่เป็นสีขาวเหมือนตัวบ้าน เขาเปลี่ยนใหม่ให้กลายเป็นสีเขียว นอกจากนี้บ้านผมยังมีเด็กและคนแก่ ซึ่งอยู่กันอย่างเสี่ยงอันตราย เจอทั้งฝุ่นทั้งควัน ลำบากมาก เราบอกเขาไปแล้ว แต่เทศบาลกลับนิ่งเฉย"

เขาเล่าให้ฟังต่อว่า จนถึงตอนนี้สำหรับตัวเองคงทำอะไรไม่ได้ เนื่องจากโรงแรมใกล้เสร็จเข้าไปทุกขณะ จะต่อต้านก็คงไม่ได้ เพราะเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล

"เราขอให้กลมกลืนกับภูมิทัศน์ของสถานที่ คำนึงถึงวัฒนธรรม และรักษาอัตลักษณ์ความเป็นอัมพวาเอาไว้ให้คงเดิม ถ้าไม่อย่างนั้นลองนึกภาพดูสิว่าถ้าเห็นบ้านไม้ในอัมพวาเรียงกันสวยงาม แล้วจู่ ๆ มาเห็นโรงแรมฝรั่งจะรู้สึกยังไง"

เจ้าของบ้านหลังนี้ยังเปรียบเปรยว่า หากอัมพวาเป็นสาวน้อย ก็คงจะเป็นสาวน้อยที่เสียพรหมจรรย์ไปตั้งแต่แรกแย้ม เพราะนอกจากจะมีนายทุนเข้ามาปู้ยี่ปู้ยำแล้ว กฎหมายรวมถึงผู้มีอำนาจในพื้นที่ ก็ไม่สามารถปกป้องอัมพวาเอาไว้ได้เลย

ขณะที่ทนงมองว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด ตนไม่ได้โทษว่าเป็นความผิดของนักท่องเที่ยว เพราะนักท่องเที่ยวมาเที่ยวอัมพวาแค่ฉาบฉวย อาจจะเกิดความรักต่ออัมพวาบ้าง แต่ก็ไม่มากเท่าชาวบ้านท้องถิ่นที่รักด้วยชีวิต และจิตใจ

"ถ้าถามว่าจะฝากอะไร คงฝากถึงคนในท้องถิ่น ฝากเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ผู้ที่เกี่ยวข้อง ผู้รักในเอกลักษณ์ความเป็นไทยของอัมพวา ให้ช่วยกันดูแล ปกป้องอัมพวาของเรา อยากให้มาเปิดหูเปิดตาดู ก่อนที่ปัญหาจะเรื้อรัง ต้องแก้ปัญหาโดยเร็วที่สุด ภายในระยะเวลาหนึ่งปี มิเช่นนั้นคงจะสายเกินแก้แล้ว"

ทั้งหมด สอดคล้องกับสิ่งที่ กาญจนา เหล่าโชคชัยกุล นักวิจัยจากสถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ค้นพบในการลงพื้นที่ "ตลาดน้ำ" ต่างๆ ว่า แท้จริงแล้ว "มูลค่า" ของ "คนใน" กลายเป็น "คุณค่า" สำหรับ "คนนอก" ขณะที่ "มูลค่า" ของ "คนนอก" ก็กลับกลายเป็น "คุณค่า" สำหรับ "คนใน"

ที่สุดแล้ว ความผิดปกติเหล่านี้ ก็กลายเป็นฟันเฟืองสำคัญที่หมุนให้สภาพสังคม "เพื้ยน" ไป

สายน้ำยังไหลเอื่อยผ่านชุมชนอัมพวาไปสมทบกับปากแม่น้ำแม่กลองในบ่ายวันธรรมดาวันหนึ่ง บานเฟื้ยมของเรือนริมคลองพากันปิดสนิท ก่อนจะกลับมาคึกคักอีกครั้งเมื่อถึงปลายสัปดาห์ และนักท่องเที่ยวมาเยือน เม็ดเงินสะพัดที่มาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงยังเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบสำหรับลูกหลานชาวคลองละแวกนี้

อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ได้แต่หวังว่า "บ้านหลังนี้" จะสามารถรอดพ้นจากบ่วงหรือรอยจารึกของวลีคลาสสิคนั้นไปได้สักครั้ง