สายสัมพันธ์บ้านพี่เมืองน้อง อยุธยา" - "เมืองกุม อิหร่าน

งาน ความสัมพันธ์อยุธยา-อิหร่าน จะมีพิธีเปิดงานในวันที่ 17 พฤษภาคมนี้ เวลา 18.00 น. ที่ลานหน้าหอศิลป์แห่งชาติหรือศาลากลางหลังเก่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จัดแสดงถึง 20 พฤษภาคม ภายในงานมีการออกร้านจำหน่ายสินค้าและของที่ระลึก การสาธิตและจำหน่ายงานศิลปหัตถกรรม และระหว่างเวลา 16.00 - 21.00 น. มีการแสดงด้านศิลปวัฒนธรรมต่างๆ
จากประเทศเปอร์เซียที่เก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์สืบทอดมาจากเผ่าพันธุ์อารยันและอาณาจักรเปอร์เซียที่เจริญรุ่งเรืองด้วยอารยธรรมในอดีตกว่า 6,000 ปี เปลี่ยนชื่อมาเป็นอิหร่านเมื่อปี พ.ศ. 2463 (ค.ศ.1920) และสถาปนาเป็น “สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน” เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2522 หลังจาก “การปฏิวัติขาว” ที่นำโดยผู้นำทางศาสนา อญาโตลลอฮ์ รูโฮลาห์ โคไมนี
นักประวัติศาสตร์และโบราณคดีสันนิษฐานกันว่า ในสมัยสุโขทัยก็น่าจะมีการค้าขายกับเปอร์เซียแล้ว จากข้อความบางตอนในศิลาจารึกหลักที่ 1 ที่มีคำว่า “ตลาดปสาน” ซึ่งนักปราชญ์ด้านโบราณคดีและภาษาศาสตร์ให้ความเห็นว่ามาจากคำว่า “บอซัร” หรือ “บาซาร์” ที่แปลว่า “ตลาด” และคำว่า “เหรียญ” ที่ไทยและเขมรใช้เรียกเงินตรานั้นก็มาจากคำว่า “เรียล” ซึ่งเป็นภาษาเปอร์เซีย นอกจากนี้ หลักฐานทางโบราณวัตถุต่างๆ ที่ขุดพบ บ่งบอกว่าพ่อค้าชาวเปอร์เซียเคยติดต่อค้าขายกับอาณาจักรจามปาและลังกาสุกะ ตลอดทั้งหมู่เกาะในอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์มาตั้งแต่สมัยสุโขทัย
ความสัมพันธ์ระหว่างอยุธยากับอิหร่านหรือเปอร์เซีย มีหลักฐานว่าเริ่มตั้งแต่ปลายรัชสมัยของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (พ.ศ. 2133-2148) ตรงกับช่วงของราชวงศ์ซอฟาวียะฮ์ เมื่อเรือสำเภาของเฉกอะหมัดกุมมี และน้องชาย-มะหะหมัด ซาอิด เดินทางมาจากเมืองกุมของเปอร์เซียมาเทียบท่าที่ป้อมเพชร เข้ามาทำการค้าขายเมื่อจุลศักราช 964 (พ.ศ. 2145) โดยตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ท่ากายีกับบ้านท้ายคู ในจดหมายเหตุประถมวงศ์สกุลบุนนาค ระบุว่า “เข้ามาตั้งห้างค้าขายอยู่ในกรุงศรีอยุธยาสยามประเทศ เมี่อจุลศักราช 964 ปีขาล จัตวาศก” ชาวเปอร์เซียเรียกอยุธยาว่า “ชะฮ์รินูว” ซึ่งแปลว่าเมืองใหม่ บ้างก็ว่า “ซะฮ์รินาว” คือ “เมืองเรือ” หรือ “นาวานคร” เพราะใช้เรือเป็นหลักในการคมนาคม และเป็นเมืองท่าศูนย์กลางการค้านานาชาติที่สำคัญ โดยเปิดรับการตั้งถิ่นฐานของชนต่างชาติต่างศาสนาอย่างเสรี และชาวเปอร์เซียได้มีอิทธิพลด้านเศรษฐกิจและการเมืองในอยุธยาเป็นอย่างมาก
เฉกอะหมัด กุมมี ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตจากสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ให้จับจองที่ดินเพื่อทำการค้าและเพื่อประกอบศาสนกิจ ซึ่งต่อมาศาสนาอิสลามนิกายชีอะฮ์หรือนิกายเจ้าเซ็นก็ได้รับการเผยแพร่ในแผ่นดินอยุธยา ในขณะที่การค้าขายก็เจริญรุ่งเรือง จากนั้นได้เข้ารับราชการในแผ่นดินพระเจ้าทรงธรรม รับผิดชอบงานทั้งด้านการค้าและการต่างประเทศด้วยความสามารถและซื่อสัตย์จงรักภักดีมีคุณธรรม โดยได้เลื่อนบรรดาศักดิ์และตำแหน่งเรื่อยมาจนเป็นเจ้าพระยาบวรราชนายก จางวางกรมมหาดไทย และถึงแก่อสัญกรรมในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ทั้งยังมีทายาทสืบทอดการรับราชการต่อมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ โดยเฉกอะหมัด กุมมี เป็นต้นตระกูล “บุนนาค” และยังมีสายสกุลสำคัญที่สืบทอดกันอีกมากมาย อาทิ ศุภมิตร อะหะหมัดจุฬา บุรานนท์ จุฬารัตน์ ศรีเพ็ญ เป็นต้น
ชาวเปอร์เซียได้ขยายชุมชนและมีบทบาทสำคัญทางการค้า-การเมืองมากขึ้น บางคนดำรงตำแหน่งขุนนางระดับสูงและได้เป็นเจ้าเมืองสำคัญหลายเมือง มีบันทึกของชาวฝรั่งเศสในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชระบุว่า พวกแขกมัวร์หรือมุสลิมนิกายชีอะฮ์จากเปอร์เซียในสยามมีจำนวนมากพอๆ กับชาวจีน ทั้งยังเป็นกลุ่มที่มีบทบาทและอิทธิพลสูงมาก จะเห็นได้จากที่ตั้งประชาคมซึ่งอยู่ภายในกำแพงเมือง บนถนนสายหลักทางการค้าขาย ซึ่งเรียกว่าถนนมัวร์ หรือถนนอิฐบ้านแขกใหญ่ อีกทั้งยังมีศาสนสถานที่เรียกว่า “กุฎีทอง” หรืออิหม่ามบาราห์ (ImamBarah) ภายในเขตชุมชน เพื่อใช้ประกอบพิธีกรรม
สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงมีพระราชนิยมตามแบบชาวเปอร์เซีย ที่มีเสื้อคลุมยาวสวมทับเสื้อ-กางเกง สวมถุงเท้า รองเท้า เหน็บกริช สวมหมวกแขก ในราชสำนักของพระองค์จึงมีวัฒนธรรมการแต่งกายที่คล้ายกัน อาทิ ฉลองพระองค์ครุย หรือเสื้อครุยของขุนนาง มีรูปแบบที่สันนิษฐานว่าน่าจะได้รับอิทธิพลมาจากเสื้อคลุม “Chuga” ที่ใช้ในราชสำนักเปอร์เซีย ลอมพอก หรือหมวกยอดแหลมสูง ซึ่งเห็นได้จากภาพวาดคณะราชทูตไทยสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเมื่อเข้าเฝ้าฯ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส เป็นรูปแบบที่น่าจะพัฒนามาจากหมวกทรงสูงมีริ้ว 12 ริ้วอันเป็นสัญลักษณ์ของ 12 อิหม่าม ที่เรียกว่า Taj ซึ่งใช้สวมเป็นเครื่องหมายแห่งอำนาจในช่วงต้นราชวงศ์เศาะฟะวียะฮ์ของอิหร่าน และ ฉลองพระบาทเชิงงอน เป็นรูปแบบที่มีหลักฐานว่านำเข้ามาโดยชาวเปอร์เซีย และยังคงเป็นหนึ่งในเครื่องราชกกุธภัณฑ์ของพระมหากษัตริย์ไทย นอกจากนี้ ยังทรงโปรดรสอาหารแบบอิหร่าน โดยมีพ่อครัวสำหรับเตรียมพระกระยาหารถวาย และมีการรับรองพระราชอาคันตุกะด้วยมอระกู่หรือหม้อสูบยาตามแบบที่นิยมในราชสำนักเปอร์เซียและราชสำนักโมกุลของอินเดียด้วย
ในยุคปัจจุบันไทย-อิหร่านได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2498 ต่อมาในปี พ.ศ. 2519 ได้ทำสัญญาข้อตกลงระหว่างประเทศในการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม เพื่อกระชับความสัมพันธ์และพัฒนาความร่วมมือในหลายๆ ด้าน
และล่าสุด จังหวัดพระนครศรีอยุธยากับเมืองกุม (Qom, Qum) แห่งอิหร่านหรือเปอร์เซีย ได้ร่วมลงนามเป็นบ้านพี่เมืองน้องกันเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2556 และเตรียมจัดงาน “ความสัมพันธ์อยุธยา-อิหร่าน” เพื่อแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองแผ่นดินที่ผูกพันแนบแน่นมาตลอดระยะเวลากว่า 400 ปี โดยได้รับความร่วมมือจากศูนย์วัฒนธรรม สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ประจำกรุงเทพฯ
นายวิทยา ผิวผ่อง ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า “เมืองกุมและอิหร่านจะมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างชาวไทยกับชาวมุสลิมทั่วโลก โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเคารพยอมรับและเข้าใจซึ่งกันและกัน ในความแตกต่างของเชื้อชาติ ศาสนา สังคม และวัฒนธรรม โดยเมืองกุมเป็นเมืองมหาวิทยาลัยอิสลามและการสอนศาสนาเปรียบเทียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ทั้งยังเป็นแหล่งจัดพิมพ์หนังสือ หลักธรรม วรรณกรรมต่างๆ โดยแปลเป็นภาษาอื่นๆ อีกมากมาย มีห้องสมุดนับร้อยแห่ง บางแห่งมีหนังสือกว่า 1 ล้านเล่ม การจัดงานความสัมพันธ์บ้านพี่เมืองน้องในครั้งนี้จึงมีทั้งกิจกรรมเชิงวิชาการ ร่วมกับสถาบันการศึกษา เช่น สัมมนา นิทรรศการ ฯลฯ และกิจกรรมเฉลิมฉลองที่ผสมผสานบรรยากาศของอยุธยาและเปอร์เซียอย่างกลมกลืน ทั้งการแสดงศิลปวัฒนธรรม การสาธิตงานหัตถกรรม การออกร้านจำหน่ายสินค้าที่ขึ้นชื่อของเมืองกุมและอยุธยา”
ด้าน มร.มุศฏอฟา นัจญาริยอน ซอเดะห์ ที่ปรึกษาฝ่ายวัฒนธรรม และผู้อำนวยการศูนย์วัฒนธรรม สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐแห่งอิหร่าน ประจำกรุงเทพฯ ให้รายละเอียดว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะนำมาแสดง สาธิต หรือจำหน่ายในงานครั้งนี้ มีความพิเศษสุดคือจะนำมาจากเมืองกุมทั้งหมดซึ่งจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น พรม เครื่องแก้ว กระเบื้องเคลือบ เครื่องประดับ ภาพจิตรกรรม และขนมซูฮาน เป็นต้น นอกจากนี้ยังจัดแสดงดวงตราไปรษณียากรหรือแสตมป์ที่ระลึกของเฉกอะหมัด กุมมี เป็นสัญลักษณ์ความสัมพันธ์ของ 2 ชนชาติและ 2 เมืองที่เป็นบ้านพี่เมืองน้องกันอีกด้วย ”
งาน “ความสัมพันธ์อยุธยา-อิหร่าน” จะมีพิธีเปิดงานในวันที่ 17 พฤษภาคมนี้ เวลา 18.00 น. ที่ลานหน้าหอศิลป์แห่งชาติหรือศาลากลางหลังเก่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จัดแสดงถึง 20 พฤษภาคม ภายในงานมีการออกร้านจำหน่ายสินค้าและของที่ระลึก การสาธิตและจำหน่ายงานศิลปหัตถกรรม และระหว่างเวลา 16.00 - 21.00 น. มีการแสดงด้านศิลปวัฒนธรรมต่างๆ จากเมืองกุม รวมถึงฯลฯ และการแสดงของอยุธยา อาทิ การแสดง แสง เสียง และสื่อผสม ชุด “เปอร์เซียสู่ถิ่นปฐพินทร์ไทย” โขน และระบำกุหลาบ ฯลฯ รายละเอียดเพิ่มเติมกรุณาติดต่อฝ่ายประชาสัมพันธ์การจัดงาน โทร.08 9484 9894, 08 1848 1484







