"เงามืด" ที่ "บางกอก"

"เงามืด" ที่ "บางกอก"

เมื่อกรุงเทพฯถูกเลือกเป็นฉากหลังของเรื่องราวมุมมืดในหนังว่าด้วยอาชญากรรม

ในขณะที่โลกของหนัง กำลังเตรียมตัวพบงานใหญ่ประจำปีอย่างเทศกาลหนังเมืองคานส์ กลางเดือนพฤษภาคมนี้ หนังไทยไม่มีชื่อเข้าแข่งขัน หรือได้รับเลือกอย่างเป็นทางการเข้าร่วมในเทศกาล (ยกเว้นที่ไปเปิดบูธฉายเพื่อขายให้ผู้จัดจำหน่ายนานาชาติ) เมืองไทยก็ยังไม่ตกสำรวจจากแผนที่(โลกหนัง) เพราะหนึ่งในหนังรับคัดเลือกสายประกวด (Main Compettion) ชิงปาล์มทองปีนี้ มีเรื่องราวที่ใช้ฉากหลังของกรุงเทพฯ และเล่าเรื่องของกรุงเทพฯ กระทั่งหนังตัวอย่างที่ปล่อยออกมาทางยูทูบรอบหนึ่งเดือนที่ผ่านมา มีเพลงไทยและชื่อภาษาไทยอยู่ในนั้นด้วย

การเลือกฉากหลังเป็น กรุงเทพฯ เพื่อเล่าเรื่องมุมมืดในหนัง ไม่ใช่เรื่องใหม่ และไม่ใช่มุมใหม่ เพียงแค่เปลี่ยนสไตล์ที่แตกต่างไปตามแนวทางของผู้สร้างและผู้กำกับแต่ละคน ภาพกรุงเทพฯในหนัง ถูกเสียดสีล้อเลียนจนดูไม่มีดีอย่างในหนังฮอลลีวู้ดทำเงินระดับท็อปเท็นบ็อกซ์ออฟฟิศอย่าง Hang Over II แนวตลก และหนังที่ถูกทำซ้ำสองหนอย่าง Bangkok Dangerous ทั้งในเวอร์ชั่นไทยโดยผู้กำกับฮ่องกง ออกไซด์ แปง และเวอร์ชั่นพระเอกฮอลลีวู้ด แสดงนำโดย นิโคลาส เคจ และล่าสุดในเรื่อง Only God Forgives เขียนบทและกำกับโดย นิโคลาส วินดิง เรเฟิน ผู้กำกับชาวเดนมาร์ก

เวนดิง-เรเฟิน สร้างชื่อจากหนังชีวิตอาชญากรรม ความรุนแรงและมุมมืดของสังคม ที่เน้นสไตล์ภาพและเสียงซาวนด์แทร็คมากกว่าบทสนทนา ใน Drive ทำให้คว้ารางวัล "ผู้กำกับยอดเยี่ยม" จากเทศกาลหนังนานาชาติเมืองคานส์ ที่ฝรั่งเศส ปี 2011 และปี 2013 เวนดิง-เรเฟน กลับไปสู่เวที ประกวดหนังของคานส์อีกครั้ง และคราวนี้เป็น หนังที่เกิดเรื่องราวในกรุงเทพฯ และถ่ายทำในกรุงเทพฯเกือบทั้งหมด แต่เป็นมุมอาชญากรรมที่เกิดขึ้น ในกรุงเทพฯ

พล็อตเรื่องที่ว่าด้วย เรื่องวุ่นวายว่าด้วยการล้างแค้นและปัญหาพัวพันที่เกิดขึ้นกลาง แสงนีออนเมืองใหญ่ เหตุเกิดในบาร์คาราโอเกะ ในร้านก๋วยเตี๋ยวโต้รุ่ง และมีตัวละครครบครันของด้านมืดสังคมไม่ว่า จะเป็นตำรวจร้าย มาเฟียโหด โสเภณีเด็กวัยรุ่น และแก๊งค้ายาเสพติด

หนังเล่าถึงหนุ่มอเมริกัน (แสดงโดย ไรอัน กอสลิ่ง พระเอกแถวหน้าของฮอลลีวู้ด จาก The Notebook ,Blue Valentine, The Ides of March และ Drive) ที่เปิดค่ายมวยไทย เป็นฉากหน้า เบื้องหลังค้ายาและมีแม่เป็นมาเฟียที่บังคับให้เขาต้องดวลกับมาเฟียไทย เพื่อล้างแค้นให้กับพี่น้องของเขาที่ถูกฆ่าตายในโลกเบื้องหลัง

Only God Forgives มีสิทธิ์เข้าชิงรางวัลปาล์มทองและเป็นหนังที่ถูกจับตามองมากที่สุดเรื่องหนึ่งในสายประกวดหลัก ของเทศกาลหนังนานาชาติเมืองคานส์ ประจำปี 2013 จัดระหว่างวันที่ 15-26 พฤษภาคมศกนี้ ที่ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งคณะกรรมการตัดสินนำโดย สตีเวน สปีลเบิร์ก และหนึ่งในนั้นมี นิโคล คิดแมน ที่ช่วงต้นอาชีพของเธอ เคยร่วมแสดงในหนังเรื่องราวเกิดขึ้นในกรุงเทพฯ ในมินิซีรีส์ทางทีวีออสเตรเลีย เริ่มปี 1989 เรื่อง Bangkok Hiltonที่เล่าถึงห้องขังชื่อ(สมมติ)บางกอก ฮิลตันที่กรุงเทพฯ ในช่วงสงครามเวียดนาม

"พี่พูดในฐานะที่เคยผ่านชีวิตในเมืองที่เป็นคอสโมโปลิแทน (นิวยอร์ก-กรุงเทพฯ) อยู่แล้ว ว่า ในเมืองใหญ่ๆ ทุกแห่งในโลกมีความรุนแรงอยู่แล้ว มีอบายมุข มียาเสพติด มีโสเภณี หนังที่มาถ่ายเมืองไทยหลายเรื่องเจาะจงเรื่องพวกนี้ แต่ถามว่า เมืองอื่นมีไหม มีสิ ที่แอลเอ ก็มี ลาสเวกัส ก็มี สิ่งเหล่านี้มันอยู่ในสังคมเราอยู่นี้ ถ้าเราทำเป็นไม่สนใจ ไม่อยากนำเสนอมัน ทำท่าเหมือนมีแต่เรื่องบลิงค์ๆ (สวยงาม)ในสังคม ก็ยิ่งเป็นการบิดเบือนความจริง"

วิทยา ปานศรีงาม หนึ่งในนักแสดงนำของ Only God Forgives โดยวิทยารับบท เป็นมาเฟียโหดในกรุงเทพฯ ให้ความเห็นต่อเนื้อหาที่พาดพิงถึงด้านอัปลักษณ์ของกรุงเทพฯ ภาพอันตรายที่ซ่อนอยู่ในเมืองจะเป็น Bangkok Dangerous เวอร์ชั่นของนิโคลาส

ย้อนกลับเมื่อต้นปี 2012 ระหว่างที่ถ่ายทำหนังเรื่องนี้ที่กรุงเทพฯ นิโคลาส เวนดิง เรเฟิน ได้ร่วมเสวนาในรอบฉาย Drive ภาพยนตร์ว่าด้วยอาชญากรรมในแอลเอ ที่โรงภาพยนตร์เฮ้าส์ อาร์ซีเอ และมีคำถามจากผู้ชมชาวไทย ที่ถามถึง แรงดลใจในการนำเสนอด้านมืดของกรุงเทพฯ หรือใช้กรุงเทพฯเป็นฉากหลังหนังอาชญากรรมของเขา ทำไมต้องพูดถึงสิ่งเหล่านี้

เวนดิง-เรฟิน ตอบผู้ชมในวันนั้นว่า เพราะสิ่งเหล่านี้มันเป็นสิ่งที่ดึงดูดและมันเป็นเรื่องอันตรายที่มีอยู่ โดยผู้กำกับดาวรุ่งพุ่งแรงจากสายอินดี้ของฝั่งฮอลลีวู้ดคนนี้ ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อที่เมืองไทยว่า เขาได้ดูผลงานหนังไทยแนวแอ็คชั่นกระแสหลักอย่าง องค์บาก และชอบหนังไทย เรื่อง ฟ้าทลายโจร ซึ่งเป็นหนังคารวะหนังคาวบอยของไทยโดยผู้กำกับ วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง ด้วย

แม้ผู้กำกับเดนมาร์กจะความประทับใจต่อความสวยงาม คนน่ารัก วัฒนธรรมที่มีเสน่ห์ของเมืองไทย แต่การเรียงร้อยเรื่องราวในหนังของเขา กลับเป็นมุมมองอีกด้าน

วิทยา ที่รับบทเด่นเป็นผู้ร้ายจอมโหด (ที่เห็นจากหนังตัวอย่างที่ปล่อยมาในช่วงเดือนนี้) แสดงความเห็นต่อฉากหลังกรุงเทพฯ ในงานของผู้กำกับคนนี้ว่า

"จากหนังนะ มันเป็น Bangkok Dangerous พอๆ กับ Delhi Dangerous หรืออาจจะเป็น Taipei Dangerous ก็ได้ ในแง่ที่โลกมืดเหล่านี้มันซุกซ่อนอยู่ทุกเมือง เมื่อหนังนำเสนอ เรารับได้ไหม สำหรับส่วนตัวคิดว่า มันคือการเปิดกว้างทางความคิดนะ แน่นอนเราคงปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นแค่หนัง (เป็นเรื่องแต่ง) แต่หนังบางเรื่อง เราจะเอาแค่บันเทิงอย่างเดียวหรือ? จะเอาให้มันมี message (สาระ) บ้างก็ได้ สำหรับกรุงเทพฯ เราจะแสดงแต่ภาพวัดๆ สวยๆ งามตลอด แต่พอนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเจอถูกปล้นอ่ะ(หัวเราะ) เขานึกว่าเมืองไทยเป็นดิสนีย์แลนด์เหรอ ไม่ใช่อยู่แล้ว โลกนี้มันมีความชั่วความดี เราก็อย่าปฏิเสธเลย" วิทยา ให้ความเห็นเพิ่มเติมอีกว่า

"โสเภณีเด็กอายุ 16 ปีที่มีในบทหนัง มันก็มีอยู่ มุมมืดมีจริงไหม มีโสเภณีเด็กมีไหม มี เราปฏิเสธไม่ได้นะ ความจริงมันมีอยู่ ในหนังมันก็เป็นการสะท้อนภาพเหล่านั้นออกมา"

มุมมืดของกรุงเทพฯ ที่กลายเป็น ฉากคลาสสิกในงานหนังฝั่งฮอลลีวู้ด ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ยุค 70s แจ้งเกิดด้วยหนังชุดเจมส์ บอนด์ ตั้งแต่ตอน The Man With the Golden Gun ที่ออกฉายทั่วโลกเมื่อปี 1974 กับฉากไล่ล่าในคลองบางกอกน้อย ก่อนที่จะไปลุยต่อในฉากโรงเรียนคาราเต้ที่สมุทรปราการ ขณะที่ในหนังที่เล่าถึงสงครามเวียดนาม อย่าง The Deerhunter หนังออกฉายในปี 1976 ก็มีฉากดราม่าที่เขย่าขวัญจิตวิทยาคนดูหนัง อย่าง ฉากเล่นเกมรัสเซียน รูเล็ตต์ (เอาปืนจ่อหัว) ที่เกิดขึ้นในบาร์แห่งหนึ่งบนถนนพัฒน์พงษ์

ในบรรดาหนัง "ดัง" ที่ใช้สถานที่เกิดเหตุในเมืองไทย ตามรายงานในเว็บไซต์ About.com ทาง Yahoo โดยซูซาน แนม นักเขียนชาวอเมริกันปักหลังในไทยมาหลายปี มี The Hang Over II และมี Bridget Jones Diary ภาคสอง Bridget Jones The Edge of Reason ที่มีฉากผจญภัยในกรุงเทพฯ ทำให้เห็นภาพของสาวขายบริการในซอยคาวบอย หรือ Brokedown Palace ที่เล่าถึงสาวต่างชาติที่เป็นแพ้คดีค้ายาและผจญด้านมืดในคุกที่กรุงเทพฯ หรือหนังบู๊สไตล์พระเอกลุยเดี่ยวในสถานการณ์วุ่นวาย และภาพของเมืองคอรัปชั่นของ Bangkok Dangerous เวอร์ชั่น นิโคลาส เคจ แม้กระทั่งหนังไทยที่ดังก้องโลกอย่าง องค์บาก ก็เล่นล้อกับด้านมืดของกรุงเทพฯ และฉากอาชญากรรมในเมืองเช่นกัน

หนังต่างประเทศ เกี่ยวกับอาชญากรรมในกรุงเทพฯ ในปี 2013 นอกจาก Only God Forgives แล้ว ฉากหลังที่เมืองเทวดาแห่งนี้ ยังมีในหนังนานาชาติอย่าง Bang Bang Bangkok สัญชาติอินเดีย พูดภาษาฮินดี แต่เป็นหนังแอ็คชั่นผสมตลกกับเรื่อง "คราวเคราะห์" ของตัวละครเอกที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ แต่หนังที่เป็นบันเทิงเหล่านี้ ก็อาศัยแค่ฉากหลังเพื่อเป็นองค์ประกอบของการสร้างเรื่องราวมุมมืดของชีวิตตัวละครสมมติเท่านั้น

"เราคงได้เห็นบางกอกแดนเจอรัสในอีกสไตล์ เขา (เวนดิง-เรเฟิน) โชว์ด้านมืดเมืองไทยแน่ๆ แต่จะบ่อนทำลายให้เมืองไทยเสื่อมเสียไหม ผมคิดว่า เรามีบ่อนการพนัน มีข่าวทลายซ่องอยู่บนข่าวหน้าหนึ่ง(นสพ.)มาก่อนอยู่แล้ว แสดงว่ามันก็มีอยู่แล้ว" วิทยา ให้ความเห็น

แน่นอนว่าหนังชิงปาล์มทองเรื่องที่วิทยาและเวนดิงเรฟินรับผิดชอบนี้ และไม่ใช่เรื่องล่าสุดที่ฉายเงามืดในกรุงเทพฯสู่สายตาชาวโลกแน่นอน