ปิดตลาดงาช้างเลือด

ปิดตลาดงาช้างเลือด

น่าติดตามอย่างต่อเนื่อง สำหรับการสืบหาความจริงกรณีขบวนการ 'ล่าช้าง' ในผืนป่าของอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน

แม้วันนี้ยังจับตัวผู้บงการใหญ่ไม่ได้ แต่เชื่อแน่ว่าคนไทยอยากเห็นตลาดการค้าอวัยวะสัตว์ป่าปิดฉากลงเสียที

. . .

เป็นเรื่องอื้อฉาวกันตั้งแต่ต้นปี 2556 กับกรณีที่ กองทุนเพื่อสัตว์ป่าโลก(WWF) ออกมาเปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจว่าสยามเมืองยิ้มของเรากลายเป็นแหล่งค้าสัตว์ป่าและค้างาช้างเถื่อนที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยเฉพาะสถานการณ์ของช้างไทยและช้างทั่วโลกพบว่ากำลังถูกคุกคามอย่างหนัก มีข้อมูลระบุว่า

"ช้างถูกล่าปีละมากกว่า 10,000 ตัว ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในแอฟริกากลาง"

"ในปี 2554 มีอัตราการล่าช้างสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์"

"จีนและไทยเป็นตลาดที่มีผู้บริโภคงาช้างที่ใหญ่ที่สุด"

"แม้การขายงาจากช้างแอฟริกันจะเป็นสิ่งผิดกฎหมายในประเทศไทย แต่สำหรับงาช้างในประเทศแล้วสามารถขายได้อย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นช่องโหว่ทางกฎหมายของไทยที่เอื้อประโยชน์ต่อเครือข่ายอาชญากรรมในการลอบขนงาช้างจากแอฟริกามาขายในไทย และจากข้อมูลเมื่อเร็วๆ นี้พบว่า อัตราการลักลอบค้างาช้างในระดับนานาชาติพุ่งสูงที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกมา และประเทศไทยเป็นตลาดค้างาช้างเถื่อนที่ใหญ่ที่สุดในโลก อีกทั้งเป็นแรงขับสำคัญให้เกิดการล่าและลักลอบค้างาช้าง"

ข้อมูลเหล่านี้ ทำให้กลุ่มนักอนุรักษ์ช้างและกลุ่มอนุรักษ์ป่าต่างออกมาวิพากษ์วิจารณ์กันในวงกว้าง และกระแสนี้ยิ่งโหมกระพือมากขึ้นเมื่อ WWF ประเทศไทย ป่าวประกาศเชิญชวนให้ประชาชนและสื่อมวลชนแขนงต่างๆ มาร่วมกิจกรรม 'ไถ่ชีวิตช้างด้วยชื่อ ช่วยช้างแอฟริกา หยุดค้างาช้างในไทย' ซึ่งจัดไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และก่อนหน้านั้น 'ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ' พระเอกหนังคนดังในฐานะสมาชิกของ WWF ได้ออกมารณรงค์อย่างจริงจังโดยส่งอีเมลส่วนตัวพร้อมลงชื่อในคำร้องออนไลน์ เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีไทยออกกฎหมายห้ามค้างาช้างทุกรูปแบบในประเทศไทย ซึ่งจากเหตุการณ์ครั้งนั้นนอกจากจะเรียกความสนใจจากสื่อไทย หรือจากแฟนๆ ของพระเอกหนุ่มได้แล้ว

มากไปกว่านั้น... มันสะท้อนความอ่อนแอของกฎหมายไทยและความหละหลวมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

อวัยวะทำเงิน

ในมุมหนึ่งแม้ว่าจะมีการรณรงค์ให้หยุดฆ่า-หยุดค้างาช้างจากองค์กรอนุรักษ์ของไทยและต่างประเทศหลายองค์กร แต่อีกมุมของผืนป่าก็ยังมีการลักลอบฆ่าช้างอย่างต่อเนื่องเหมือนว่าวงจรนี้ยังดำเนินต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด

ล่าสุด.. ก็มีข่าวครึกโครมออกมาซ้ำเติมอีกว่า มีการยิงช้างป่าตายในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานอย่างอุกอาจ หลายคนจึงตั้งคำถามว่าทำไมเหตุการณ์เช่นนี้จึงเกิดขึ้นได้แม้แต่ในเขตพื้นที่ของอุทยานฯ เอง เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกจนพูดได้ว่าสถานการณ์ของช้างไทยในปัจจุบันมีความน่าเป็นห่วงมาก เพราะถูกล่าอย่างหนักและมีการนำอวัยวะของสัตว์ป่าเหล่านั้นมาขายกันอย่างโจ่งครึ่ม

จากการตรวจสอบของ ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน พบว่า การล่าช้างในผืนป่าไทย นอกจากฆ่าแม่ช้างเพื่อเอาลูกช้างไปขายในตลาดมืดแล้ว ยังเป็นการฆ่าเพื่อเอาอวัยวะสำคัญที่นับว่ามีราคาแพงที่สุด นั่นคือ งาช้าง ซึ่งมีราคาถึง 300,000 บาทต่อ 1 คู่ นอกจากนั้นยังมีการล่าช้างเพื่อเอาอวัยวะอื่นๆ อีก เช่น อวัยวะเพศ งวงช้าง และหางช้าง เพื่อนำไปทำเป็นเครื่องรางของขลัง ทำเสน่ห์เมตตามหานิยม ทำยาโด๊ป หรือเอาไปปรุงเป็นเมนูพิสดารเอาใจนักชิมของแปลก

ชัยวัฒน์ เล่าว่า กลุ่มล่าช้างที่พบมีอยู่ 3 กลุ่ม กลุ่มแรก ยิงเพื่อเอางา กลุ่มที่สอง ยิงแม่เพื่อเอาลูก และกลุ่มที่สาม คือ กลุ่มตัดอวัยวะ ซึ่งกลุ่มหลังสุดสามารถแบ่งได้อีกสองกลุ่มย่อย คือ กลุ่มตัดอวัยวะเพื่อเอาไปเปิบพิสดาร ส่วนกลุ่มสอง คือ ตัดอวัยวะไปทำเครื่องรางของขลัง เช่น งวงช้าง นำไปทำเป็นเครื่องรางเชื่อกันว่าเป็นพุทธกวัก เป็นที่ต้องการของพ่อค้าและนักเสี่ยงโชค, หางช้าง นำไปทำแหวน เป็นเครื่องรางของขลังอีกแบบหนึ่ง, อวัยวะเพศช้าง (ทั้งตัวผู้และตัวเมีย) นำไปทำยาโด๊ปหรือเป็นเมนูเปิบพิสดาร และทำเสน่ห์เมตตามหานิยม, นมช้างและน้ำมันช้างโขลง (น้ำมันพลายจากช้าง) นำไปทำยาเสน่ห์เช่นกัน

"เหตุการณ์ยิงช้างตายที่เพิ่งเกิดขึ้น เราพบว่าเป็นกลุ่มฆ่าช้างเพื่อเอาอวัยวะ เพราะมีการตัดเต้านมและอวัยวะเพศของช้างออกไป ซึ่งตอนนี้มีการส่งมอบคดีให้ดีเอสไอช่วยตามสืบและรวบรวมหลักฐานเพื่อดำเนินการกับผู้กระทำผิดต่อไป จากที่พบมาช้างตัวหนึ่งถ้าจับออกจากป่าได้มีราคาถึง 600,000 บาท งายาวคิดตามน้ำหนักเป็นกิโลๆ ละ 25,000 บาท - 30,000 บาท งาช้างคู่หนึ่งหนักเป็นสิบๆ กิโลกรัม ลองคิดดูว่าแบบนี้มันจะหมดป่ามั้ย ยังมีการล่าลูกช้างอีก ลูกช้างสูง 5 ฟุตตัวละ 5 แสน ถ้าลักษณะดีก็ราคา 6- 7 แสน จับในป่าเอาขึ้นรถ จ่ายตังค์เลย สถานการณ์ของการล่าช้างในไทยตอนนี้รุนแรงมาก ช้างป่าที่แก่งกระจานลดลงจริง จำนวนของช้างป่าเหลืออยู่ที่ประมาณ 2,600 - 2,700 ตัวเท่านั้น"

ดัชนีชี้ความสมบูรณ์

การลักลอบฆ่าช้างเพื่อเอางา หรืออวัยวะอื่นๆ ไปขาย นอกจากจะผิดกฎหมายอย่างเต็มประตูแล้ว การที่ช้างลดจำนวนลงอย่างรวดเร็วยังส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศวิทยาครั้งยิ่งใหญ่ต่อผืนป่าโดยรวม

รศ.ดร.นริศ ภูมิภาคพันธ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านนิเวศวิทยาสัตว์ป่า คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อธิบายถึงคุณค่าความสำคัญของช้างป่าว่า หากมองในเชิงนิเวศวิทยาแล้ว ถือว่าเป็นกุญแจสำคัญของระบบนิเวศ เพราะช้างคือตัวช่วยกระจายเมล็ดพืช โดยลักษณะการอยู่อาศัยช้างจะเดินหากินไปในบริเวณกว้าง อาจจะกินลูกไม้ของต้นนี้แต่เดินไปปล่อยเมล็ดไว้ตามบริเวณอื่นๆ ทั่วผืนป่า ถือว่าช่วยปลูกป่าทำให้ป่ามีความอุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลาย

อีกทั้งยังช่วยแบ่งปันอาหารให้สัตว์อื่นๆ ในแง่ที่ว่าพอช้างล้มต้นไม้ที่มีลูกไม้สุกลงมา สัตว์อื่นๆ ก็มีผลพลอยได้ในการกินลูกไม้นั้นด้วย นอกจากนี้ช้างยังช่วยจัดการเปิดพื้นที่ป่าให้โล่ง ซึ่งพื้นที่โล่งมีความสำคัญมากในธรรมชาติ พอป่าถูกเปิดโล่ง ต้นไม้ใหญ่โดนโค่นด้วยช้าง แสงแดดสามารถส่องผ่านลงมาถึงพื้น ทำให้พืชล้มลุกเจริญเติบโตได้ดี พืชเหล่านั้นก็จะเป็นอาหารของสัตว์กินพืชอื่นๆ

"ช้างเป็นวิศวกรสำคัญของป่า ช่วยเปิดทางด่านเชื่อมป่าต่างๆ บางทีชาวบ้านยังได้อาศัยทางช้างผ่านเหล่านี้เป็นเส้นทางเข้าไปหาของป่าได้ด้วยซ้ำ ช้างช่วยเปิดแหล่งดินโป่ง สัตว์อื่นก็ได้อาศัย ไปกินดินโป่งด้วย เนื่องจากช้างเป็นสัตว์ใหญ่ ต้องการพื้นที่ในการอยู่อาศัยที่กินบริเวณกว้างมากๆ ดังนั้นถ้าเราจัดการให้มีพื้นที่สำหรับให้ช้างอยู่ได้ สัตว์ป่าอื่นๆ ก็ย่อมมีพื้นที่ในการดำรงชีวิตเช่นกัน และในแง่ของสังคมคือ ช้างถือเป็นสัตว์คู่บุญบารมีของกษัตริย์ไทยมาตั้งแต่อดีต เป็นสัตว์ประจำชาติไทย อีกทั้งภาพลักษณ์ในปัจจุบันของช้างสามารถกระตุ้นให้คนในสังคมหันมาอนุรักษ์ป่าได้มากขึ้น จะเห็นว่าปัจจุบันมีการตั้งกลุ่มอนุรักษ์ช้างขึ้นมามากมาย"

อาจารย์นริศบอกอีกว่า เหตุการณ์การล่าช้างที่ยังรุนแรงอยู่ในขณะนี้ สาเหตุหนึ่งมาจากการกระทบกระทั่งกันของชาวบ้านกับช้าง เพราะช้างไม่มีพื้นที่หาอาหารก็จะลงมาจากเขาเพื่อมากินพืชผลการเกษตรของชาวบ้าน ชาวบ้านเองก็ต้องกำจัดช้างหรือไล่ช้างไป เพราะไม่อยากให้พืชผลการเกษตรเสียหาย ตรงนี้จึงเป็นอีกปมปัญหาที่ยังรอคอยการจัดการและแก้ไขให้ถูกวิธี

หยุดค้า = หยุดฆ่า

ทางออกของปัญหาการล่าช้างในผืนป่าไทย นอกจากจะใช้วิธีการงดซื้องดบริโภคสิ่งของต่างๆ ที่ทำมาจากอวัยวะช้าง เช่น แหวนงาช้าง งาช้างประดับ ฯลฯ เพื่อตัดวงจรการฆ่าช้างแล้ว การจัดการพื้นที่ที่เหมาะสมให้ช้างและการทำงานลาดตระเวนของเจ้าหน้าที่เองก็ควรจะเข้มข้นขึ้น รวมถึงการออกกฎหมายก็ต้องมีบทลงโทษที่ชัดเจนมากขึ้นเช่นกัน

อาจารย์นริศให้ความเห็นเรื่องนี้ว่า ต้องเอาพื้นที่ให้อยู่ เจ้าหน้าที่ต้องรู้ว่าทำอย่างไรจะดึงพื้นที่นี้ไว้ได้แม้ว่าจะโดนบุกรุกทีละเล็กทีละน้อย ในระบบการลาดตระเวน ในระบบของการข่าว การเฝ้าระวัง ทั้งหมดนี้จะต้องทบทวนกัน เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าพื้นที่อนุรักษ์หลายแห่งก็ปล่อยปละละเลยในเรื่องของการลาดตระเวน บางแห่งก็เน้นไปที่การบริการนักท่องเที่ยวเสียมากกว่า

"บางคนบอกว่ากฎหมายไม่สำคัญเท่าการสร้างจิตสำนึกให้คน แต่ผมมองว่ากฎหมายก็ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการบังคับใช้และควบคุมผู้ละเมิดไม่ให้ย่ามใจ และไม่กล้าที่จะทำผิดซ้ำอีก"

อาจารย์นริศบอกอีกว่า ในอีกมุมหนึ่งก็ต้องหันมาช่วยเหลือหรือปรับปรุงคุณภาพชีวิตของคนในท้องถิ่น อย่ามองว่าคนท้องถิ่นเป็นศัตรู เขาอยู่กับป่า เขาก็ต้องเข้าป่าล่าสัตว์เพื่อดำรงชีวิต แต่จะทำอย่างไรให้การล่านั้นมันพอดี มันมีการควบคุม อาจจะเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตของเขานิดหน่อยแต่ให้เขาอยู่รอดได้ แล้วก็ทำให้การล่าสัตว์เหล่านี้ลดน้อยลง และเชิญชวนให้ชาวบ้านมาร่วมป้องกันการล่าช้างด้วย

"น่าจะมีแผนการจัดการที่สามารถกำหนดทิศทาง เพื่อกำหนดเป้าหมายในส่วนของพื้นที่จุดล่อแหลม ควรจะต้องตั้งหน่วยพิทักษ์อุทยานหรืออะไรอย่างนี้ ผมว่ามันเป็นความจำเป็นที่จะต้องลงทุนจัดตั้งหน่วยแบบนี้ขึ้นมาในพื้นที่ และในส่วนของงานวิจัยจะต้องร่วมมือกับสถาบันการศึกษาอื่นๆ ไปหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อการอนุรักษ์ช้างและป้องกันการล่าช้าง"

"ทุกประเด็นที่ว่ามา ผมว่าถ้าทำได้สำเร็จ อนาคตของช้างและสัตว์ป่าอื่นๆ ในพื้นที่แก่งกระจานคงจะอยู่รอดได้ถึงคนรุ่นหลัง เพราะถ้าคนรุ่นเราไม่แก้ปัญหา คนรุ่นหลังก็คงไม่มีโอกาสที่จะได้เห็นทรัพยากรที่เป็นสมบัติส่วนรวมของประเทศเราได้เลย" อาจารย์คณะวนศาสตร์กล่าวทิ้งท้าย

---------------------
หมายเหตุ : ร่วมลงชื่อเรียกร้องเพื่อหยุดการค้างาช้างในประเทศไทย ได้ที่ http://goo.gl/lgpCx (ภาษาไทย) และ http://panda.org/ban (ภาษาอังกฤษ)