เรื่องเล่าจากหลังอาน ประสบการณ์ระดับโลก

อากาศร้อนๆ แบบนี้หากจะมีกิจกรรมท่องเที่ยวดีๆ ที่เชื้อเชิญให้ออกไปสัมผัสแสงแดดแผดจ้า มิหนำซ้ำยังต้องเหน็ดเหนื่อยเมื่อยน่องอีกใครเลยจะอยากไป..
หากไม่ใช่ได้ยลมรดกโลกถึงสามแห่งในคราวเดียว!
"แกรก...กราก..." เสียงโซ่จักรยานหมุนไปตามแรงปั่น มันดังไม่สม่ำเสมอกันเสียทีเดียว เพราะตอนนี้ผมทั้งเหนื่อยและล้ามาก ร่มไม้ครึ้มๆ กับสายลมฉ่ำเย็นน่าจะเป็นพรจากสวรรค์ที่น่าจะประทานมาให้พวกเราที่กรำแดดอยู่บนอานจักรยาน ขณะที่กำลังมองหาร่มไม้สายตาก็สะดุดกับยอดเจดีย์ แม้จะเก่าครึแต่งามสง่า แล้วพละกำลังก็กลับมาอย่างไม่รู้เนื้อไม่รู้ตัว ทุกคนเร่งฝีเท้าปั่นจักรยานเต็มแรง เพื่อเข้าไปใกล้โบราณสถานซึ่งได้ชื่อว่าเป็น 'มรดกโลก' ให้มากที่สุด
สายลมที่ทุกคนปรารถนาปะทะใบหน้าและผิวกาย มันลู่รูดเอาความเหน็ดเหนื่อยซึ่งเคยมีทิ้งไว้เบื้องหลังรอยดอกยางที่เพิ่งตะกุยดินเมื่อครู่นี้...
หน้าดำที่กำแพงฯ
แม้ตอนนี้จะพ้นช่วงที่ว่ากันว่าอภิมหาร้อนไปแล้ว ทั้งยังมีสายฝนโปรยปรายเกือบทุกจังหวัด ทว่ายังไม่ใช่ฤดูฝน ที่จังหวัดทางภาคเหนือตอนล่างภาคกลางตอนบนอย่างสุโขทัยและกำแพงเพชร กลางวันในบางวันดวงอาทิตย์ยังทำหน้าที่อย่างไม่ทดท้อต่อมวลเมฆ ขับดันแสงและไอร้อนทะลุทะลวงมายังพื้นโลก จนคนตัวเล็กๆ อย่างผมต้องปล่อยมือจากแฮนด์จักรยานมาปาดเหงื่อเป็นระยะๆ
ก่อนหน้านี้ผมกับสุโขทัยและกำแพงเพชรเคยพบหน้ากันมาหลายครั้งแล้ว ผมยินดีที่ได้รู้จักเขาทั้งสองอย่างเต็มใจ เพราะไม่ว่าจะกี่ครั้งสุโขทัยและกำแพงเพชรไม่เคยทำให้ผมต้องผิดหวัง แม้ไม่หวือหวาแต่ความสัมพันธ์ระหว่างเราทั้งสามก็เป็นไปด้วยดี แต่มันอาจเรียบรื่นเกินไปกระมัง ครั้งนี้ที่ผมได้เจอสหายสองจังหวัดจะต้องมีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจมากขึ้นบ้าง
เมื่อบวกกับอากาศที่ร้อนขึ้นทุกปีๆ แน่นอนว่าข้อมูลทุกทางบอกว่าเกิดจากสภาวะโลกร้อนอันเกิดจากฝีมือมนุษย์สุดประเสริฐ หลายปีมานี้ผมเห็นกระแสรักษ์โลกมากมาย อะไรที่อีโค่ๆ เขียวๆ ถือว่ากำลังมาแรงทีเดียว ผมเองก็อยากเป็นส่วนหนึ่งในนั้น จักรยานจึงน่าจะเป็นยานพาหนะที่เหมาะอย่างยิ่งหากจะเรียนรู้สหายสุโขทัยและสหายกำแพงเพชร
ประจวบเหมาะกับ อพท. (องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน) นำร่องเปิดตัวเส้นทางปั่นจักรยานเพื่อการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ในสามเมืองมรดกโลก สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กำแพงเพชร ผมจึงมีเพื่อนร่วมทางมากมาย
แต่ไม่ว่าจะเรียงลำดับอย่างไร ผมเริ่มต้นพบปะสหายกำแพงเพชรเป็นแห่งแรก ในเขตอรัญญิก ซึ่งมีวัดมากมาย อาทิ วัดนาคเจ็ดเศียร, วัดพระนอน, วัดพระสี่อิริยาบถ, วัดช้างรอบ, วัดอาวาสใหญ่ เป็นต้น แดดยามบ่ายกลายเป็นไม่ร้อนในทันที เพราะในเขตอรัญญิกมีต้นไม้ใหญ่เขียวครึ้มร่มรื่น ทำให้การชมวัดเก่าที่ใครๆ ก็มองว่าแห้งแล้งไม่น่าเบื่อเลย
สำหรับวัดที่ผมมากี่ครั้งก็ยังต้องไปทุกครั้ง คือวัดพระนอน สิ่งก่อสร้างต่างๆ สร้างจากศิลาแลงทั้งสิ้น นอกจากฐานอุโบสถเสาแปดเหลี่ยมที่ร่างภาพความงดงามในอดีตแล้ว เสาวิหารซึ่งทำจากศิลาแลงแท่งเดียวขนาดสูงใหญ่ ยังเป็นปริศนาที่ผมยังสงสัยอยู่ว่าปักลงไปได้อย่างไร
ผมปั่นจักรยานต่อไปทางเหนือของวัดพระนอนประมาณร้อยเมตรสู่วัดพระสี่อิริยาบถ เป็นประจำที่ผมจะต้องมาเดินวนดูรอบมณฑปทรงจตุรมุข ที่ผนังแต่ละด้านประดิษฐานพระพุทธรูปปางเดิน นั่ง ยืน และนอน แม้ปัจจุบันจะเหลือเพียงพระยืนทางทิศใต้ ทว่าหากสังเกตจากร่องรอยพระพุทธรูปแต่ละองค์ก็ชวนจินตนาการถึงพุทธลักษณะอันงดงามมิใช่น้อย
หลังจากนั้นผมปั่นจักรยานขึ้นไปบนยอดเนินสูงสุดของเขตอรัญญิกสู่วัดช้างรอบ สิ่งสำคัญของวัดนี้คือ เจดีย์ประธานทรงระฆังขนาดใหญ่ซึ่งยอดหักพังหมดแล้ว ฐานสี่เหลี่ยมด้านล่างสูงใหญ่ มีบันไดทั้งสี่ด้านสำหรับขึ้นไปสู่ลานด้านบนหรือลานทักษิณ ที่ฐานประดับช้างปูนปั้นครึ่งตัว 68 เชือก ตัวช้างมีลายปูนปั้นที่แผงคอ โคนขา และข้อขา ระหว่างช้างแต่ละเชือกตกแต่งลายปูนปั้นนูนสูงรูปพันธุ์พฤกษา การได้เดินนับช้างที่นี่ก็เป็นความสุขไปอีกแบบ
นอกจากเขตอรัญญิกแล้วบริเวณรอบอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร ยังมีอีกหลายแห่งที่น่าปั่นจักรยานไปแวะชมและสักการะ เช่น ศาลหลักเมือง วัดพระแก้ว และชุมชนนครชุม ซึ่งในนครชุมนี้เองที่มีของดีของเด็ดอย่าง ขนมข้าวตอกอัดและเมี่ยงโบราณ ทั้งสองอย่างหากินได้ยากเต็มทีแล้ว ดังนั้นเพื่อพักน่องและเติมพลังผมจึงไม่พลาดชิม
ขนมข้าวตอกอัดแบบดั้งเดิมนี้ดูผิวเผินบอกตรงๆ ว่าหน้าตาโบราณมาก และพอจะเดาออกว่ารสชาติขนมไทยโบราณชนิดที่มีงามีแป้งมีมะพร้าวมีน้ำตาลจะออกมาในรสใด ผมจึงจับใส่ปากอย่างไม่คิดมากนัก แต่เมื่อลิ้นรับรสผมแทบขอเหมากลับบ้าน เพราะรสชาติที่คล้ายจะโบราณ แต่ก็หอมหวานกำลังดีอย่างบอกไม่ถูก แต่น่าเสียดายที่เอากลับบ้านไม่ได้ เพราะเก็บไว้ได้ไม่นาน กว่าจะได้กลับบ้านคงเน่าเสียกันพอดี
เหมือนสลับกัน เมื่อกี้กินของหวาน ผมล้างปากด้วยของคาวอย่างเมี่ยงโบราณ แต่พอใจชื้นขึ้นบ้างที่ได้รับคำยืนยันว่าเมี่ยงเป็นของว่าง ไว้กินเล่น ไม่ใช่ของคาวหนักท้องแต่อย่างใด ใครที่กำลังนึกภาพเมี่ยงคำที่ใส่เครื่องเคราอะไรต่อมิอะไรลงในใบชะพลูจงปัดภาพนั้นทิ้งเสีย เพราะเมี่ยงโบราณใช้ใบเมี่ยงที่หมักดองอย่างที่ชาวเหนือขอบเคี้ยวแทนดื่มชากาแฟ เมี่ยงมีทั้งสูตรเปรี้ยวและเค็ม กินกับมะพร้าวเคี่ยวน้ำตาล ใส่เกลือเม็ดนิดหน่อย เคี้ยวเพลินเชียวล่ะ
ผมเพลิดเพลินกับขนมและของว่างที่ตอนนี้ทำเอาท้องผมไม่ว่างแล้ว เรียกว่าอิ่มก็ได้ไม่ผิดนัก คงไม่ดีแน่หากต้องแบกหนังตาที่กำลังทิ้งดิ่งตัวลงเพราะหนังท้องตึง ผมรีบปั่นจักรยานไปที่สุดท้ายซึ่งสำหรับผมถือเป็นไฮไลต์ของกำแพงเพชร นั่นคือวัดพระธาตุ เพราะที่นี่คือสุดยอดกรุพระดังระดับเบญจภาคีอย่างพระกำแพงซุ้มกอ แม้คนไม่ค่อยสนใจพระเครื่องก็ยังคุ้นกับชื่อนี้ เพราะพุทธศิลป์อันงดงามและพุทธคุณเป็นที่ร่ำลือ
สุข-โข-ทัย
วันที่สองบนอานจักรยาน...เช้านี้ไม่เหมือนเมื่อวาน ทั้งๆ ที่ยังเป็นช่วงเช้า แต่อากาศก็ร้อนระอุแล้ว บางทีอาจไม่ใช่เพราะอากาศแต่เป็นเพราะผมยังไปไม่ถึงอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย มรดกโลกแห่งที่สองของทริปนี้ที่ผมจะไปเยือนยล...ใจร้อน กายจึงร้อน
แต่ด้วยวิถีจักรยานที่เป็นแบบ slow life หากเร่งมากไปคงไม่ดี สองเท้าของผมจึงค่อยๆ ถีบบันไดจักรยานไปตามเส้นทางที่ค่อนข้างเงียบสงบของเมืองสุโขทัย ผ่านวัดพระพายหลวง, วัดศรีชุม, วัดสรศักดิ์
และที่วัดศรีชุมนี้เองเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ใหญ่ แทบจะเป็นสัญลักษณ์ทางการท่องเที่ยวของจังหวัดสุโขทัยไปแล้วก็ว่าได้ นั่นคือพระอจนะ ประดิษฐานภายในมณฑปสี่เหลี่ยมจัตุรัส พระอจนะมีอีกฉายาว่า พระพูดได้ มีผู้ให้ความหมายพระอจนะว่าหมายถึงคำในภาษาบาลีว่า อจละ ซึ่งแปลว่า ผู้ไม่หวั่นไหว มั่นคง ผู้ที่ควรแก่การเคารพกราบไหว้ พระอจนะเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขัดสมาธิราบ วัสดุปูนปั้น แกนในก่ออิฐและศิลาแลง หน้าตักกว้าง 11.30 เมตร สูง 15 เมตร องค์พระพุทธรูปมีขนาดใหญ่เต็มวิหาร ศิลปะแบบสุโขทัย เมื่อได้เข้าไปนมัสการจะรู้สึกสงบ เงียบ ใครมาสุโขทัยแล้วไม่ได้แวะมาสักการะอาจถือว่ายังมาไม่ถึง
นอกจากนี้ที่วัดศรีชุมยังมี ศิลาจารึกวัดศรีชุม เรียกว่า ศิลาจารึกหลักที่ 2 ทำด้วยหินดินดานเป็นรูปใบเสมา กว้าง 67 เซนติเมตร สูง 275 เซนติเมตร หนา 8 เซนติเมตร ด้านที่หนึ่งจารึกอักษรไทยสุโขทัย ภาษาไทย มี 107 บรรทัด ด้านที่สองมี 95 บรรทัด มีอายุประมาณ ปี พ.ศ.1880 - 1910 นายพลโทพระยาสโมสรสรรพการ เมื่อครั้งเป็นที่หลวงสโมสรพลการ พบที่อุโมงค์วัดศรีชุม เมืองเก่าสุโขทัย เมื่อปี พ.ศ.2430 ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร
ได้กราบพระอจนะแล้วอิ่มใจอย่างบอกไม่ถูก ทว่าเสียงท้องร้องดังสนั่นลั่นมณฑปแล้ว ไม่รอช้ากระโดดขึ้นจักรยานแล้วออกแรงปั่นไปหิวไป เพื่อหาอะไรใส่ท้อง แล้วก็ได้มาเจอกับอาหารประจำจังหวัด นั้นค่อ ก๋วยเตี๋ยวสุโขทัย ร้านโบนัส ตรงกันข้ามพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติรามคำแหง เส้นเหนียวนุ่ม น้ำซุปหอมหวาน มีถั่วฝักยาวหั่นแฉลบ เคี้ยวสนุกปากทีเดียว
แต่บอกตรงๆ (ไม่ใช่บ่องตง) กินก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ ตอนอากาศร้อนๆ ทรมานกายทรมานใจมากเลยล่ะครับ ก๋วยเตี๋ยวแห้งน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีอย่างหนึ่ง
อิ่มแล้วมีเรี่ยวแรงก็ต้องปั่นต่อ คราวนี้ขอนอกเส้นทางประวัติศาสตร์ไปโชว์ฝีมือศิลปะระดับอนุบาลที่บ้านสุเทพ สังคโลก นอกจากที่นี่เป็นแหล่งผลิตเครื่องสังคโลกเพียงไม่กี่แห่งของประเทศไทยแล้ว ยังผลิตบุคลากรที่ทำงานด้านนี้อีกด้วย กิจกรรมหนึ่งซึ่งต้องลองทำ คือ เขียนลายสังคโลก แม้จะมีลายต้นแบบมาให้ ทว่า สุดท้ายสังคโลกฝีมือผมก็ดูไม่ได้ ยิ่งเทียบกับสังคโลกสวยๆ งามๆ ผมแทบจะปาทิ้ง...ตอนนี้สังคโลกของผมตั้งเด่นอยู่ในตู้โชว์ที่บ้านแล้วครับ
สวัสดี...ศรีสัชฯ
วันสุดท้าย ดวงตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า ถึงแม้แดดจ้า แต่น่าแปลกมากที่ท้องฟ้าฤดูร้อน (วันที่ผมเดินทางไป) แทบไม่มีสีฟ้าให้เห็นเลย เมฆก้อนอ้วนๆ ก็แทบไม่มี อารมณ์อีกหรือไรที่ทำเสียบรรยากาศ แต่จะไม่ให้อารมณ์ขุ่นมัวได้อย่างไรครับ วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ผมจะได้พบปะเพื่อนรักคนนี้แล้วนี่นา
แต่คิดไปคิดมา มัวแต่จับเจ่าเศร้าหมองคงไม่มีประโยชน์ สู้เอาเวลาไปปั่นจักรยานชมความงามของมรดกโลกแห่งที่สามของทริปนี้ อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย ซึ่งถ้าหากเปรียบเปรยกันแล้วสุโขทัยคือเมืองพี่ แล้วศรีสัชนาลัยเป็นเมืองน้อง เดิมทีศรีสัชนาลัยชื่อ เมืองเชลียง แล้วเปลี่ยนชื่อเป็นศรีสัชนาลัยในสมัยราชวงศ์พระร่วงปกครองกรุงสุโขทัย หากเทียบอุทยานประวัติศาสตร์ทั้งสามแห่ง ที่ศรีสัชนาลัยสมบูรณ์มากที่สุด เพราะได้รับการบูรณะ บำรุงภูมิทัศน์สม่ำเสมอ
อีกทั้งยังเป็นแหล่งรวมวัดโบราณสมัยอาณาจักรสุโขทัยไว้มากมาย เช่น วัดช้างล้อม ซึ่งตั้งอยู่ภายในกำแพงเมืองศรีสัชนาลัย บนที่ราบเชิงเขาทิศใต้ของเขาพนมเพลิง มีโบราณสถานสำคัญ คือ เจดีย์ประธานทรงลังกาภายในกำแพงแก้วสี่เหลี่ยมจัตุรัส ตั้งอยู่บนฐานประทักษิณ ที่ฐานมีช้างปูนปั้นยืนหันหลังชนผนังเจดีย์โดยรอบ จำนวน 39 เชือก และช้างที่มุมเจดีย์ทั้งสี่ทิศ ตกแต่งเป็นช้างทรงเครื่อง ที่นี่นับเป็นอีกวัดที่ผมชอบ และมักจะเดินวนรอบเพื่อชมช้างทั้ง 39 เชือก ทว่า ถึงจะชอบอย่างไรก็ไม่วายที่จะจำสลับสับสนระหว่างวัดช้างรอบ กับวัดช้างล้อม เพราะทั้งสองวัดช้างทั้งรอบและล้อมฐานเจดีย์ทั้งคู่ แตกต่างตรงที่ลักษณะช้างและจำนวน
นอกจากนี้ยังมีซุ้มพระพุทธรูปประทับนั่งปางมารวิชัย ผนังซุ้มมีประติมากรรมรูปต้นโพธิ์อยู่เบื้องหลังพระพุทธรูป แต่น่าเสียดายที่พระพุทธรูปถูกทำลายเหลือเพียงองค์เดียวทางทิศเหนือ
ปั่นต่อมาด้านหน้าวัดช้างล้อม ที่นั่นคือวัดเจดีย์เจ็ดแถว ถือเป็นโบราณสถานสำคัญแห่งหนึ่งของอุทยานฯศรีสัชนาลัย วัดนี้มีเอกลักษณ์โดดเด่นกว่าวัดอื่นๆ ในเมืองศรีสัชนาลัย เพราะมีเจดีย์แบบต่างๆ มากมาย เช่น เจดีย์ประธานรูปดอกบัวตูมด้านหลังพระวิหารซึ่งเป็นศิลปะแบบสุโขทัยแท้ เจดีย์ราย 26 องค์ โดยชื่อของวัดนี้ถูกเรียกขึ้นภายหลังโดยชาวบ้านท้องถิ่น อาจเพราะพบเจดีย์มากมายหลายแถวในวัด
วัดเจดีย์เจ็ดแถวน่าจะเป็นวัดที่สำคัญมากแห่งหนึ่ง เนื่องจากเป็นวัดที่ตั้งอยู่ในแนวหลักของเมือง อีกทั้งยังมีขนาดใหญ่เกินกว่าที่ชาวบ้านธรรมดาจะสร้างขึ้น ดังปรากฏในพระราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวในหนังสือ เที่ยวเมืองพระร่วง ว่า "วัดเจดีย์เจ็ดแถวนี้เป็นวัดใหญ่ เพราะฉะนั้นจำจะต้องลองสันนิษฐานดูว่าเป็นของใคร นายเทียนกล่าวว่า วัดนี้เดิมเขาเรียกว่า วัดกัลยานิมิต เพราะว่านางพญาธิดาแห่งพระมหาธรรมราชา (บาธรรมราช) เป็นผู้สร้างขึ้น นายเทียนอ้างหนังสือที่ไฟไหม้นั้นเป็นพยานอีก" ส่วนสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงมีพระวินิจฉัยว่าวัดนี้เป็นวัดที่สวยงามกว่าวัดอื่นๆ อาจเป็นวัดของกษัตริย์ที่ครองเมืองนี้ และเจดีย์รายอื่นๆ คงเป็นที่บรรจุอัฐิของเจ้านายในราชวงศ์สุโขทัย
วัดเขาพนมเพลิง ตั้งอยู่บนยอดเขาพยมเพลิงภายในกำแพงเมือง มีโบราณสถานสำคัญ คือ เจดีย์ประธานทรงกลม และมณฑปก่อด้วยศิลาแลง ชาวบ้านเรียกว่า ศาลเจ้าแม่ละอองสำลี
แดดไล่หลังผมมาแล้ว พอปั่นออกจากวัดเขาพนมเพลิงมาทางทิศตะวันตกประมาณ 200 เมตร ผมก็พบกับวัดเขาสุวรรณคีรี ตั้งอยู่อีกด้านหนึ่งบนเทือกเขาเดียวกัน มีกลุ่มโบราณสถานสำคัญ คือ เจดีย์ประธานทรงระฆังขนาดใหญ่ก่อด้วยศิลาแลง
วัดนางพญา อยู่ติดกำแพงเมืองด้านตะวันออก เป็นวัดที่มีลวดลายปูนปั้นงดงามมาก ปรากฏอยู่บนผนังวิหารด้านตะวันตกเฉียงเหนือภายในวิหาร
และแล้วก็มาถึงวัดขวัญใจคนรักพระเครื่อง คือ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ หรือวัดพระบรมธาตุเมืองเชลียง และเรียกอีกชื่อว่า วัดพระปรางค์ ตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองเก่าศรีสัชนาลัย ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณสามกิโลเมตร วัดนี้ถือเป็นกรุเก่าพระเครื่องดัง อย่างพระร่วงรุ่นหลังรางปืน เป็นที่หมายตาต้องใจเซียนพระ ทั้งประเภทที่หลงใหลในพุทธศิลป์และศรัทธาในพุทธคุณ
ถึงแม้ของเก่าจะถูกจริตผมมากเพียงใด ทว่า ปั่นจักรยานชมโบราณสถานสีอิฐๆ ดินๆ นานเข้าก็มีอาการล้าสายตาอยู่บ้าง การที่ผมไปจบเส้นทางจักรยาน ณ แก่งหลวง ที่มีน้ำใส ไหลเย็น (แต่ไหลแรง) ให้ลงจากอานไปล้างหน้าล้างตา ก็ถือเป็นบทสรุปที่ยอดเยี่ยมทีเดียว สำหรับฤดูร้อนอย่างนี้น้ำที่แก่งหลวงอาจไม่มากนัก จึงลงไปเดินบนแก่งหินได้ แต่ถ้าเป็นช่วงน้ำมาก ขอเตือนเลยว่าอย่าประมาท เพราะที่นี่มีความเชื่อว่าแต่ละปีจะต้องมีคนตายเพื่อสังเวยแก่งหลวงแห่งนี้
...
"เอี้ยด...!" เสียงเบรคจักรยานดังขึ้นที่ร้านให้เช่าจักรยาน คล้ายสัญญาณเตือนว่าผมกับสหายต้องจำจากอีกครั้งหนึ่ง ผมยังไม่ลืมว่าอุณหภูมิกลางแดดร้อนเพียงใด ไม่ลืมว่ากล้ามเนื้อที่อ่อนล้าสร้างความทรมานแค่ไหน และผมไม่ลืมเลยว่าประสบการณ์สีเขียวกับเพื่อนคนเดิมครั้งนี้ให้รสชาติและกลิ่นอายแปลกใหม่อย่างไร...บอกได้คำเดียวว่า "ติดใจ" ต้องลองไปปั่นเอง
ข้อแนะนำ : แม้ฤดูร้อนจะมีท้องฟ้าโปร่งสดใส แต่ฤดูที่เหมาะแก่การปั่นจักรยานชมสามเมืองมรดกโลก คือ ฤดูฝน เพราะต้นไม้ใบหญ้าจะเขียวขจี ฝุ่นผงไม่มาก และแดดไม่ร้อนทำให้ปั่นได้นานขึ้น







