"หุ่น" หฤหรรษ์แห่งการ "เชิด"

"หุ่น" หฤหรรษ์แห่งการ "เชิด"

"ละครหุ่น" เป็นศิลปะการแสดงแขนงหนึ่งของประเทศในเอเชียอาคเนย์ที่มีรากฐานทางวัฒนธรรมคล้ายคลึงกัน หรืออาจจะเรียกว่าเหมือนกันเลยก็ได้

"ทำไมพ่อไม่อยากให้หนูไปเรียนที่กรุงเทพฯ ล่ะคะ" ตัวละครฝ่ายหญิงขยับนิ้วและปากไปพร้อมกับการพากย์ของนายหนัง


"กรุงเทพฯ รถติด เพราะพิษนโยบายรถคันแรก พ่อว่าหนูไปเรียนที่เชียงใหม่ดีกว่า" สิ้นเสียงพากย์สำเนียงทองแดงที่ลอยผ่านลำโพงมา ผู้ชมที่อยู่ในโรงละครหอนิทรรศการศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก็พากันหัวเราะลั่นกับมุกตลกร้ายของนายหนังทายาทศิลปินแห่งชาติอย่าง วาที ทรัพย์สิน


แม้จะสุ่มเสี่ยงอยู่บ้าง แต่มุกเสียดสีและการวิพากษ์วิจารณ์สังคมก็เป็นจุดประสงค์หนึ่งของการแสดงละครหุ่นในยุคปัจจุบัน และไม่เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น เกือบทุกประเทศที่มีวัฒนธรรมการเชิดหุ่น ต่างก็ใช้ตัวละครไร้ชีวิตนี้เป็นกระบอกเสียงที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมด้วยกันทั้งสิ้น


แน่นอนว่า "หุ่น" พูดไม่ได้ เอ่ยปากไม่เป็น ดังนั้นเรื่องราวที่นำมาเล่นจึงเป็นความคิดอ่าน หรือเป็นความต้องการของผู้ควบคุมหุ่นล้วนๆ


...................


หุ่น (Puppet หรือ Marionett) เป็นศิลปะการแสดงแขนงหนึ่งที่เก่าแก่สืบทอดกันมาช้านาน นอกจากนี้ยังเป็นมรดกทางศิลปะและวัฒนธรรมที่มีประจำทุกชนชาติ ในประเทศกลุ่มอาเซียนเองก็มีศิลปะการแสดงหุ่นเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว, สหภาพเมียนมาร์, ราชอาณาจักรกัมพูชา, สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, บรูไน, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์ และไทย โดยทุกประเทศมีเอกลักษณ์ของการแสดงละครหุ่นแตกต่างกันไป


"หุ่นแต่ละประเทศมีเทคนิคแตกต่างกัน เป็นศิลปะและสุนทรียภาพของวัฒนธรรมพื้นบ้าน นักแสดง หรือผู้ที่เชิดหุ่นทุกตัวทุ่มเทกันอย่างเต็มที่ จนทำให้หุ่นที่ไร้ชีวิตโลดแล่นอยู่บนเวทีได้อย่างมีชีวิตชีวาเหมือนจริง" ผศ.วิลาวัณย์ เศวตเศรนี หรือ อาจารย์ใหม่ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ บอก


ความเป็นมาของหุ่นนั้นไม่มีหลักฐานปรากฎว่าเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร รู้เพียงว่าเก่าแก่และมีมานานมากแล้ว อาจารย์ใหม่ เล่าว่า ในระยะแรกนั้นหุ่นมาพร้อมกับพิธีกรรมความเชื่อทางศาสนา สังเกตได้จากคำว่า Marionett ที่หมายถึงพระแม่มารีย์ มารดาของพระเยซู การแสดงหุ่นในยุคแรกนั้นจึงเป็นเหมือนสื่อการสอนทางศาสนา มีนัยยะของการเผยแพร่และการเพิ่มจำนวนศาสนิก ส่วนในแง่ของความเชื่อและพิธีกรรม หุ่นถูกนำมาใช้ทั้งเพื่อเป็นรูปเคารพตัวแทนแห่งความศักดิ์สิทธิ์และอำนาจ หรือใช้เป็นตัวแทนในพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ การบูชาบรรพบุรุษ รวมถึงพิธีกรรมก่อการสงคราม


ในเอเชียก็พบว่าการเกิดหุ่นนั้นมาพร้อมพิธีกรรมความเชื่อเช่นเดียวกัน ซึ่งประเทศที่น่าจะมีศาสตร์เกี่ยวกับหุ่นเป็นประเทศแรกๆ ในเอเชียนั้น อาจารย์ใหม่บอกว่าคืออินเดียและจีน


"อย่างจีนเองก็ใช้ในพิธีฝังศพ โดยมีความเชื่อเรื่องชาติภพหน้าต้องมีคนดูแลก็จะฝังหุ่นลงไป ในช่วงแรกๆ ใช้คนจริงลงไปเลยนะ แต่มันอาจจะน่ากลัวเกินไประยะต่อมาจึงเปลี่ยนมาใช้หุ่น หรือตุ๊กตาแทน ที่เห็นชัดเจนคือที่ซีอาน ที่มีการสร้างหุ่นทหารฝังลงไปในสุสาน ตามความเชื่อหลังความตาย ที่จักรพรรดิ์ต้องมีคนปกปักรักษาดูแล"


ภาคต่อจากการสร้างหุ่นเพื่อใช้ในพิธีกรรมความเชื่อ นั่นคือศิลปะการแสดงหุ่น อาจารย์ใหม่ เล่าว่า เมื่อเกิดวรรณกรรมก็เกิดการแสดงหุ่นแบบเป็นเรื่องเป็นราวขึ้น ที่เห็นชัดเจนเลยคือวรรณกรรมเรื่อง "รามายณะ" ของอินเดีย ซึ่งได้รับความนิยมมากจนแพร่หลายมาถึงประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้


Khin Maung Htwe ผู้ควบคุมคณะ Myanmar Traditional Puppet Theatre จากประเทศสหภาพเมียนมาร์ ยืนยันว่า หุ่นในประเทศพม่าก็เกิดขึ้นพร้อมกับศาสนาที่แผ่ขยายเข้ามาจากลังกาวงศ์เหมือนกัน


"เท่าที่พบในประเทศพม่า จะพบหลักฐานว่ามีหุ่นตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 มันไม่ได้มีหลักฐานอะไรชัดเจน แต่คิดว่าน่าจะเป็นช่วงนั้น เพราะมีการปั้นหุ่นขึ้นในช่วงนั้น แต่ก็มีนักวิชาการบางส่วนที่คิดว่าหุ่นน่าจะเริ่มมีในศตวรรษที่ 12 ก็เป็นข้อโต้แย้งกันอยู่ในเรื่องหุ่นศึกษาของพม่า ที่คิดว่าศตวรรษที่ 12 เพราะเป็นช่วงที่ศาสนาพุทธลัทธิเถรวาทในศรีลังกาได้เข้ามาถึงพม่า มีหลักฐานว่ามีเรื่องราวการเชิดหุ่น ส่วนเรื่องที่ใช้ก็เป็นชาดกในศาสนาพุทธ เพราะฉะนั้นในศตวรรษที่ 12 มีหลักฐานปรากฏแน่นอนทั้งในแง่ของหุ่นและเรื่องราวที่ชัดเจน


แต่...โอเคมันมีเรื่องราวจากพระไตรปิฎกที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเชิดหุ่น แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว หลักฐานที่เป็นหลักฐานเชิงวัตถุก็ค่อนข้างน้อยเหมือนกัน เพราะว่าภาพวาดฝาผนังในวัดต่างๆ ที่ระบุว่าเริ่มในศตวรรษที่ 12 ก็ไม่ได้มีหลักฐานปรากฎของการเชิดหุ่น ไม่มีตัวหุ่น หรือภาพของการเชิดหุ่น แต่ที่สันนิษฐานว่าศตวรรษที่ 12 เพราะเรื่องราวของพระไตรปิฎกเริ่มเข้ามา หลักฐานจริงๆ ที่มีการกล่าวถึงการเชิดหุ่นพบในศตวรรษที่ 15 มาจากจารึกโบราณที่พูดถึงการเชิดหุ่นอยู่ในจารึกนั้น ก็เป็นหลักฐานที่ปรากฎชัดเจนที่สุด หลังจากนั้นหลักฐานต่างๆ เกี่ยวกับการเชิดหุ่นก็มีมากขึ้น ไม่ใช่แค่ศิลาจารึกเท่านั้น แต่ยังมีการบันทึกเรื่องราวของพระสงฆ์ที่พูดถึงการเชิดหุ่นในการดำเนินชีวิตของท่านด้วย พูดได้อย่างชัดเจนว่า หุ่นสายของพม่าเริ่มต้นขึ้นในศตวรรษที่ 15 นับได้ก็ 600 ปีแล้ว"


สำหรับเนื้อเรื่องของการแสดงละครหุ่นนั้นยังคงสอนเกี่ยวกับศาสนา มีทั้งเรื่องราวพุทธประวัติ นิทานชาดก เรื่องเกี่ยวกับเทพนิยาย หรือวีรบุรุษต่างๆ แต่ที่เพิ่มเติมขึ้นมาคือความคิดสร้างสรรค์ในเชิงศิลปกรรม


"มีการใช้ศิลปศาสตร์ทุกๆ แขนง ทั้งการเขียน การปั้น งานประติมากรรม วรรณกรรม ศิลปะการออกแบบ ศิลปะการแสดง การแกะไม้ ปูน การวาดรูป คือเน้นงานปราณีตศิลป์ ซึ่งทุกประเทศจะมีความละเอียดของพิธีกรรมคล้ายคลึงกัน ไม่ว่าจะเป็นการแสดง ก่อนการประดิษฐ์หน้าหุ่น ตัวหุ่น ต้องมีพิธี อย่างหนังตะลุง หนังใหญ่ของไทย การเลือกใช้หนังแพะ หนังแกะ หนังวัว หนังเสือ จะต้องมีพิธีกรรมทั้งนั้น หนังเสือที่ใช้ทำตัวฤาษี พระนารายณ์ จะต้องใช้หนังประเภทใด มีพิธีเบิกเนตร หรืออย่างในอินโดนีเซียการเลือกไม้ก็มีความสำคัญ จะใช้ไม้สักทอง ไม้ประดู่ ทุกอย่างมีความสำคัญทั้งนั้น" อาจารย์ใหม่ บอก


เสริมความคิดเห็นของอาจารย์ใหม่ด้วย Ms.Nuri Aryati ตัวแทนจากอินโดนีเซีย คณะ Traditional Wayang Kulit with English ที่บอกว่า ละครหุ่นอินโดนีเซียนั้นได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมโดยองค์การยูเนสโก ดังนั้นทุกกระบวนการจำเป็นต้องมีความละเมียดละไม


"การแสดงละครหุ่นอินโดนีเซียไม่ใช่แค่การเชิดหุ่น แต่เป็นการใช้ศิลปะในทุกๆ แขนง ที่โดดเด่นที่สุดคือศิลปะการพากย์เสียง สิ่งที่น่าสนุกในการดูหุ่นของอินโดนีเซียคือเสียงที่ใช้ประกอบการแสดง เสียงสำคัญมากที่จะส่งให้การแสดงนั้นๆ มีพลัง ซึ่งเนื้อหาก็มาจากบทกวีซึ่งเป็นคำสอนเชิงปรัชญาที่เกี่ยวกับการดำเนินชีวิต"


ในบรรดาประเทศอาเซียน หุ่นกระบอกของเวียดนามถือว่ามีชื่อเสียงมากที่สุดประเทศหนึ่ง โดยเฉพาะหุ่นน้ำที่อยู่ในโปรแกรมการท่องเที่ยวเวียดนามที่ "ต้องไป" เรื่องนี้ Mr.Nguyen Tien Dung จากคณะ Vietnam Puppetry Theatre บอกว่า หุ่นกระบอกเปรียบเสมือนจิตวิญญาณของคนเวียดนามโดยแท้ เพราะนอกจากจะสร้างความบันเทิงให้กับผู้ชม หุ่นทุกประเภทยังทำหน้าที่บอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมให้ทุกคนได้ตระหนักรู้ร่วมกัน โดยเฉพาะเรื่องราวของสงครามที่บ่งบอกถึงความเจ็บปวดรวดร้าว การต่อสู้ และความภาคภูมิใจในการรักษาแผ่นดินถิ่นเกิดไว้ให้ลูกหลานอย่างไรก็ตามการแสดงละครหุ่นที่เป็นศิลปะโบราณกลับถูกลดความสำคัญลงเรื่อยๆ จนบางประเทศหาชมของแท้ หรือละครหุ่นแบบดั้งเดิมแทบไม่ได้


"ในยุคหนึ่งหุ่นละครเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ของงานพิธีต่างๆ แต่แล้ววันหนึ่งบทบาทหน้าที่ในสังคมเปลี่ยนไป มันถูกทดแทนด้วยอย่างอื่น มีสื่ออื่นที่ทันสมัย มีภาพยนตร์ มีหนัง หุ่นแทบทุกคณะต้องพับลงหมดเกือบทุกคณะ เพราะฉะนั้นพวกเขาต้องอดทนมาก ต้องฝึกเด็กรุ่นใหม่ อย่างเช่นหนังใหญ่วัดขนอนที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงสนับสนุน แต่พระครูก็บอกว่า เด็กๆ ก็อยากดูทีวี เล่นฟุตบอล คือก็ว่าไม่ได้เพราะมีสื่อที่เร้าใจกว่า ศาสตร์แขนงนี้ก็เลยลดน้อยถอยลงไป" อาจารย์ใหม่ ว่า


ส่วน Khin Maung Htwe เสริมว่า การแสดงละครหุ่นในปัจจุบันต้องปรับตัวมากพอสมควร จากเดิมที่เล่นกันตั้งแต่หัวค่ำจนถึงเช้าอีกวัน ก็ต้องปรับให้เรื่องราวสั้นลง และแสดงในงานสำคัญต่างๆ


"โอกาสแสดงทั้งคืนแบบสมัยก่อนน้อยมาก เพราะฉะนั้นต้องตัดมาแสดงในงานอีเว้นท์ต่างๆ บางครั้งก็เป็นการแสดงโชว์เพื่อขอรับบริจาค อาจจะเป็นการกุศลที่แสดงแล้วขอรับบริจาค เป็นการทำงานร่วมกันของคณะละครกับองค์กรการกุศล ไปในโรงเรียน โรงเรียนวัด โรงเรียนเด็กกำพร้า โรงเรียนอินเตอร์ หลายแบบมาก แต่ไม่เคยไปโรงเรียนของรัฐบาลเลยสักครั้ง ถามว่าทำไม...อืม...ถ้าเล่าแล้วเดี๋ยวจะยาวเกินไป" Khin Maung Htwe พูดพร้อมหัวเราะ


การแสดงละครหุ่นเป็นสื่อทางวัฒนธรรมที่สร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อเสนอความงดงามทางศิลปะและความบันเทิง จากจุดเริ่มต้นที่เป็นแค่สื่อสอนหลักศาสนา และมหรสพที่สร้างสุนทรียะให้กับผู้ชม การแสดงละครหุ่นได้รับการพัฒนาจนถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของสื่อในหลากหลายวาระ ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารทางการเมือง การคัดค้านอำนาจของคนต่างความคิด ดังจะเห็นได้จากการแสดงละครหุ่นของหลายๆ ประเทศ ยกตัวอย่างเช่นที่พม่า จะนิยมใช้หุ่นสายเพื่อสื่อสารหรือท้วงติงการตัดสินใจของผู้บริหารประเทศ รวมถึงเชื้อพระวงศ์ในราชสำนัก นอกจากนี้ยังใช้หุ่นติดรูปผู้นำประเทศเพื่อการทุบตีในระหว่างการประท้วง เพื่อการแสดงออกทางความคิด ความไม่พึงพอใจต่อนโยบายของรัฐ


อย่างที่บอกว่า "หุ่น" พูดไม่ได้ เอ่ยปากไม่เป็น แต่ที่เห็นว่ามันขยับได้ ร่ายรำเก่ง ก็เป็นเพราะว่ามี "คนเชิด" อยู่เบื้องหลัง หลายๆ ครั้ง จึงมีคนนำคำว่า "หุ่นเชิด" มาใช้นิยามคนที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง หรือคนที่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของคนอื่น แต่ถ้าขยายใหญ่ขึ้นก็คงจะเป็นคำว่า "รัฐบาลหุ่นเชิด" ที่หมายถึงรัฐที่มีคนชักใยอยู่เบื้องหลังนั่นเอง


"อย่างในอินโดนีเซีย ในพม่า ใช้หุ่นเป็นกระบอกเสียงในการแสดงความคิดเห็น วิพากษ์การปกครองของระบบเจ้านาย พม่าจะมีหุ่นหลายตัวที่เป็นตัวแทนของเหล่าบรรดาเสนา กษัตริย์ ก็จะเล่นแบบวิพากษ์การเมือง เมื่อพูดผ่านหุ่นจะมีคนฟัง หรืออย่างจีนมีเรื่องราวของกษัตริย์ที่หวงมเหสี การแสดงละครหุ่นก็เป็นการกระตุกให้กษัตริย์ได้คิดถึงพฤติกรรมตัวเอง การใช้หุ่นเป็นกระบอกเสียงทำได้ ไม่ถือว่าเป็นเรื่องผิด แม้แต่ในประเทศที่กำลังพัฒนา แถบๆ แอฟฟริกาใต้เขาก็ใช้หุ่นเป็นสื่อให้ข้อมูลกับเด็ก ช่วยโน้มน้าวจิตใจเด็กๆ ได้ หรืออย่างหลายๆ ประเทศก็จะใช้หุ่นกับการเสียดสี ล้อเลียนการเมือง หลังๆ ก็มาใช้เป็นสื่อการสอนเยอะ" ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ บอก


ลมหายใจของศิลปะการแสดงหุ่นกำลังจะสูญหาย หากอาเซียนรวมใจ ก็น่าจะทำให้ศิลปะแขนงนี้มีกำลังต่อสู้กับโลกใบใหญ่ได้ต่อไป