ข้ามพรมแดน..กับ Boundary

Boundary ชื่อไทย "ฟ้าต่ำแผ่นดินสูง" เป็นผลงานของ คนทำหนังสารคดีรุ่นใหม่ของไทย นนทวัฒน์ นำเบญจพล เล่าการเดินทางข้ามพรมแดน
ในเทศกาลภาพยนตร์สารคดีศาลายาปี 2556 นำเสนอผลงานสารคดีหลากหลายแนวและเนื้อหา โดยเฉพาะภาพยนตร์จากประเทศสมาชิกอาเซียน และ เปิดเทศกาลด้วย Boundary ฟ้าต่ำแผ่นดินสูง ภาพยนตร์สารคดีไทยที่เล่าเรื่องพรมแดน ไทย-กัมพูชา
Boundary ชื่อไทย "ฟ้าต่ำแผ่นดินสูง" เป็นผลงานของ คนทำหนังสารคดีรุ่นใหม่ของไทย ผลงานภาพยนตร์สารคดีเรื่องยาว ของ นนทวัฒน์ นำเบญจพล การเดินทางข้ามพรมแดน ไทย-กัมพูชา ที่มีสถานการณ์การเมือง ความขัดแย้งและการสูญเสียจุดประเด็น
คำถาม ที่คนทำหนัง สนใจค้นหาคำตอบว่า “เส้นกั้นพรมแดน” ในชีวิตคน ทั้งเส้นแบ่งเขตแดนประเทศ เส้นแบ่ง(ข้าง)ทางการเมือง ชนชั้นในสังคม จนถึง เส้นแบ่งระหว่างความเป็นและความตาย ความสุขความทุกข์ นั้น มันคืออะไร
“ยายผมเสียชีวิตในช่วงที่ผมไปแสดงงานที่ Film on the Rock ที่เกาะยาวน้อย ความรู้สึกสูญเสีย ใจหายในตอนนั้น ทั้งๆ ที่เป็น(การตายโดย)ธรรมชาติ ทำให้เราคิดถึงคนที่มีญาติพี่น้องคนรักตายในเหตุการณ์ทางการเมือง เขาจะเสียใจขนาดไหน และจากเหตุการณ์เดียวกัน เราได้เห็นมุมมองหลายแบบที่มองไม่เหมือนกันเลย จากข้อเท็จจริงเดียว คนตีความข้อเท็จจริงนั้นไปคนละขั้วเลย จากที่เราเห็นเพื่อนๆ ในเฟซบุ๊คที่แบ่งฝ่ายชัดเจน “ นนทวัฒน์ เล่าถึงที่มา ของ เรื่องราวใน ฟ้าต่ำแผ่นดินสูง ซึ่งเขาเลือกแนวสารคดี แนวที่เขาสร้างสรรค์งานภาพยนตร์มาตั้งแต่เริ่มแรก
Boundary เนื้อหาที่อิงเรื่องราวของนายทหาร และการตามไปดูสภาพความเป็นไปของคนอีกฝั่งเขตแดน หลังจากเกิดกรณีพิพาทไทยทวงคืนเขาพระวิหาร นนทวัฒน์ ติดตามชีวิต นายทหารเกณฑ์ ชาวศรีสะเกษ ที่ไปประจำการที่เขตสามจังหวัดชายแดนใต้ และถูกเรียกตัวมาเป็นกองกำลังสลายการชุมนุมของเสื้อแดงในเหตุการณ์ช่วงเดือนเมษายนปี 2554 ก่อนจะปลดประจำการ และไปเป็นพนักงานโรงงานในปัจจุบัน เรียงร้อยกับเรื่องราวจากคนทางฝั่งกัมพูชา
“มันเริ่มจากความสงสัยของผม ว่าเกิดอะไรขึ้นกับสังคมไทย ในช่วงที่ความขัดแย้งมันพีคมากๆ เราก็เลยลงไปดูในสถานที่จริง แต่มันก็ช่วยไม่ได้ยังไงมันก็ยังเป็นภาพที่มองผ่านมุมมองสายตาของเรา(คนทำหนัง)อยู่ดี”
"เมื่อมันเป็นหนังสารคดี เราพยายามบาลานซ์หลายมุมมองจากคนที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ แต่สุดท้ายเมื่อมันออกมาเป็นหนัง 90 นาที มันก็เป็นมุมมองและบทสรุปผ่านสายตาของเราอยู่ดี"
ในแง่รูปแบบ สารคดี นี้ นนทวัฒน์ บอกว่า พยายามหลีกเลี่ยงความน่าเบื่อ โดยการทดลองงาน visual แปลกๆ มากมาย ก็มีรูปแบบทั้งหมดที่สารคดีมีกัน ทั้งสัมภาษณ์ ตัดภาพ แต่เราเน้นการเล่าเรื่องด้วยภาพเป็นหลัก
"ผมพยายามถ่ายการสัมภาษณ์ให้น้อยที่สุด และอยากนำเสนอหนังในแบบที่มีความเป็น cinematic สุดๆ แต่ก็มีข้อจำกัดหลายๆ อย่าง ที่เราก็พยายามทำในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา อันนี้ทำให้เห็นความต่างระหว่างหนังสารคดีกับหนัง fiction คือ การทำหนัง fiction เราไปควบคุมสภาพแวดล้อม แต่สารคดี สภาพแวดล้อมควบคุมเรา เราต้อง improvise ตามสภาพแวดล้อม แต่วิธีการเล่าเรื่องมันก็จะเริ่มเป็นไปในแนวทางหนัง fiction ไม่ได้เป็นสารคดีสัมภาษณ์คนตัดภาพประกอบแค่นั้น"
ผลงานเด่นของนนทวัฒน์ มีผลงาน “โลกปะราชญ์” (wierdphilosopher) หนังสารคดีเรื่องยาว สะท้อนพื้นที่และวิถีชีวิตของกลุ่มคนเล่นสเก็ตบอร์ดในเมืองไทย ต่อมา หนังสั้น อาณาจักรแห่งใจ (Empire of Mind) ซึ่งโดดเด่นในงานด้านภาพ และการสำรวจ “พื้นที่” ของคนในสังคมเสมอมา
นนทวัฒน์ มองงานในเชิงวิเคราะห์ตัวเองว่า “พอกลับไปดูงาน ก็เพิ่งพบว่า ผมสนใจเรื่องพื้นที่ อย่าง ในโลกปะราชญ์ เป็นมุมมองในชีวิตเราตอนนั้น ที่อยู่ในกลุ่มเพื่อนที่เขาเล่นสเกตบอร์ดกัน และเขาหาพื้นที่กันอยู่ มันเป็นทั้งสังคมและวิถีชีวิต”
สำหรับ พื้นที่ ใน Boundary เป็นพื้นที่ในสังคมการเมือง ที่สะท้อนจากชุมชนที่เกิดเหตุขัดแย้ง (กรณีเขาพระวิหาร)
“เรื่องของเขตแดน มันไม่ได้ชัดขนาดนั้น จากเรื่องนายทหารที่เขามาจากภาคอีสาน เป็นคนมาปราบม็อบ ขณะที่คนในหมู่บ้านเขาเป็นเสื้อแดงกันหมด มันทำให้เห็นความจริง ความซับซ้อนของความเป็นมนุษย์ “ นนทวัฒน์ เผยถึงสิ่งที่เขาค้นพบจากประสบการณ์ทำหนังเรื่องนี้ นอกจากนั้น การเดินทางในดินแดนแถบชายแดนทางฝั่งกัมพูชา ยังได้เห็นผลกระทบของความขัดแย้งทางการเมืองที่มีต่อคนในชุมชน และผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างคนไทยกับเขมร ที่ตัวเขาเองต้องแฝงตัวเป็น คนจีนอเมริกัน เพื่อการเข้าไปถ่ายทำในฝั่งกัมพูชา ซึ่งปรากฏในหนังสามสิบเปอร์เซ็นต์ (เนื้อเรื่องส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่ฝั่งไทย)
Boundary เปิดฉายรอบแรกในโลกใบนี้ ที่งานเทศกาลหนังนานาชาติเบอร์ลิน เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เสียงสะท้อนจากผู้ชมที่มีทั้ง นักศึกษาเกี่ยวกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นักวิจารณ์และคนดูหนังในเทศกาล มีคำถามยอดฮิตคือ การเป็นคนไทยไปถ่ายหนังในกัมพูชายากไหม?
คำตอบของคนทำหนังคือ "เป็นครั้งแรกเลยที่การมีสัญชาติไทยแล้วเป็นปัญหาในการเดินทางของผม เหมือนไกด์ในท้องถิ่นก็ไม่อยากพาไปในพื้นที่ และคนแถวนั้นก็ไม่ค่อยอยากให้ถ่ายหนัง เพราะเขากลัวมีปัญหา ในช่วงที่กำลังมีเรื่องขัดแย้ง" ผู้กำกับเล่าถึงเบื้องหลังการทำงานในกัมพูชา เมื่อปีที่ผ่านมา ก่อนจะได้ความช่วยเหลือจากคนทำหนังชาวฝรั่งเศสเชื้อชาติเขมร ในการพาเข้าพื้นที่
ในแง่ผลกระทบต่อคนดู ความมุ่งหมายของคนทำหนัง นนทวัฒน์บอกไว้สองข้อว่า
"อยากให้คนดูได้เห็นเรื่องราวจากมุมของชาวบ้านรอบๆ เขาพระวิหาร ทั้งฝั่งไทยและกัมพูชา และอยากให้เห็นถึงเส้นเขตแดน ซึ่งการเป็นอาณาเขตปกครองมันยังจำเป็นอยู่แน่นอน เพื่อการจัดการ แต่เส้นแบ่งที่เป็นระหว่างคนสองฝั่งมันน่าจะทำให้บางลง จากการทำความเข้าใจกัน และทำความเข้าใจกับพื้นที่นั้นจริงๆ"
Boundary (" (ชื่อที่ได้มาจากการมองจากยอดเขาสูงของเขาพระวิหาร จะเห็นฟ้าต่ำกว่าผืนดินที่ยืนอยู่ และชื่อเพลงในอดีตที่คุณแม่ของผู้กำกับร้องให้ฟัง) จะเปิดฉายครั้งแรกในเมืองไทย รอบเวลา 17.00 น. วันจันทร์ที่ 1 เมษายนศกนี้ เป็นภาพยนตร์เปิดเทศกาล (Opening Film) ของเทศกาลสารคดีศาลายา
กำหนดการฉายเพิ่มเติม Boundary รอบ 15.00 น. วันเสาร์ที่ 6 เมษายน 2556 ณ ออดิตอเรียม ชั้น 5 หอศิลปวัฒนธรรม กรุงเทพฯ สี่แยกปทุมวัน ชมฟรี
และจะฉายอีกครั้งในวันที่ 10 เมษายน ณ ห้องเรวัติ หอสมุดปรีดี พนมยงค์ มธ.ท่าพระจันทร์ พร้อมการสนทนากรณีขัดแย้งไทย-กัมพูชา กับอาจารย์ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ติดตามรายละเอียดได้ทาง www.facebook.com/boundarymovie
................
ชมภาพจากภาพยนตร์ที่จะฉายในเทศกาลฯ และ มิวสิควีดิโอเพลง OST. Boundary ลิงค์ vdo http://youtu.be/CV5v6efj9Xo
เปิดโลกทัศน์อาเซียนกับเทศกาลภาพยนตร์สารคดีนานาชาติศาลายา ครั้งที่ 3
หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) จัดงานเทศกาลภาพยนตร์สารคดีนานาชาติศาลายา (Salaya International Documentary Film Festival - Salaya Doc) ครั้งที่ 3 โดยได้คัดเลือกภาพยนตร์สารคดีที่โดดเด่นของประเทศต่างๆ ในอาเซียนมาเข้าร่วมประกวดภาพยนตร์สารคดี เพื่อเปิดมุมมองของสังคมไทยให้ได้เห็นวิถีชีวิตและปัญหาของประเทศต่างๆ ในอาเซียน ที่ผ่านสายตาผู้กำกับภาพยนตร์ สำหรับผู้สร้างภาพยนตร์สารคดีทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่น ทางสถาบันหนังไทย หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) จะมีการเปิดอบรมเชิงปฏิบัติการด้านการสร้างภาพยนตร์สารคดี ในช่วงเทศกาลดังกล่าว โดยได้เชิญ Sourav Sarangi ผู้กำกับภาพยนตร์สารคดีมือรางวัลชาวอินเดีย เจ้าของผลงานภาพยนตร์เรื่อง CHAR ..The No-man’s Island ที่ได้รับคัดเลือกฉาย ทั้งในงานเทศกาลภาพยนตร์ปูซาน และเทศกาลภาพยนตร์เบอร์ลินมาเป็นวิทยากร
เทศกาลภาพยนตร์สารคดีนานาชาติศาลายา ครั้งที่ 3 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-7 เมษายน ศกนี้ ณ โรงภาพยนตร์ศรีศาลายา หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) และวันที่ 2-8 เมษายน ณ ห้องออดิทอเรียม ชั้น 5 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร สนใจเข้าชมได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ติดตามตารางฉาย ได้ที่ www.facebook.com/salayadoc หรือ www.fapot.org




