กลางใจ 'เจแปน'

จะมีสักกี่ประเทศที่เที่ยวได้ไม่รู้เบื่อไปสิบครั้งก็เซ็ตรูทการเดินทางได้สิบแบบไม่ซ้ำกันก็ยังได้
เชื่อแน่ว่า ชื่อของประเทศญี่ปุ่นจะต้องผุดขึ้นเป็นคำตอบลำดับแรกๆ ของใครหลายคน
. . .
สบโอกาส ได้รับเชิญจากการท่องเที่ยวภาคกลาง (Chubu) ประเทศญี่ปุ่นให้ไปเยือนแดนปลาดิบ ช่วงต้นหนาวปีที่ผ่านมา โดยเจ้าบ้านตั้งใจจะเซ็ตทริปเปิดเส้นทางท่องเที่ยวแบบอินเซ็นทีฟสำหรับการศึกษาดูงาน เพราะในภูมิภาคนี้ไม่ได้มีเพียงแหล่งท่องเที่ยววัดวาอาราม แต่ยังเต็มไปด้วยโรงงานอุตสาหกรรมที่เป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจญี่ปุ่นอีกจำนวนมาก
ไม่ว่าจะเป็นเมืองหลวงแห่งโลกของโมเดล และ โรงงานเครื่องดนตรียามาฮ่า ที่จังหวัดชิซุโอะกะ หรือจะโรงงานรถยนต์หนึ่งในแบรนด์หลักของชาติอย่างโตโยต้าที่ไอจิ พิพิธภัณฑ์โตโยต้าที่นาโงยา ไปจนถึงอุตสาหกรรมของสวยๆ งามๆ อย่างไข่มุกแบรนด์ระดับโลกอย่างมิกิโมโต ที่เมืองมิเอะ ต่างก็ตั้งอยู่ในเขตภาคกลางทั้งสิ้น
ตลอดเวลา 6 วัน 6 คืน ผ่านการเดินทาง 5 จังหวัด จึงกลายเป็นทริปครบรส ได้ทั้งดื่มด่ำความงดงามตามวิถีเซน แล้วยังได้ตื่นตากับความไฮเทคของชาวญี่ปุ่นอีกด้วย
วิถีแห่งชา
ถัดจาก 'ปลาดิบ' แล้ว ดูเหมือนว่าสิ่งที่พอจะขึ้นแท่นสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นแทนได้ ก็คงจะหนีไม่พ้น 'ชาเขียว' ซึ่งแม้จะมีต้นกำเนิดจากแดนมังกร แต่วันนี้ชาเขียว หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่า 'เรียวคุชะ' ก็ไม่ได้มีชื่อชั้นเป็นรองชาผู้พี่แต่อย่างใด
และสำหรับใครที่อยากรู้จักชาเขียวของชาวญี่ปุ่นให้ถ่องแท้มากขึ้น ขอให้บรรจุ ชิซุโอะกะ ไว้เป็นหมุดหมายสำคัญที่พลาดไม่ได้อย่างเด็ดขาด
ไม่ใช่เพียงเพราะว่า ชิซุโอะกะ เป็นจังหวัดที่ปลูกชาเขียวมากที่สุดในญี่ปุ่น จนครองตำแหน่งเมืองหลวงแห่งชาอย่างไม่เป็นทางการไปครองแล้วเท่านั้น แต่ที่นี่ยังมีอีกหนึ่งสถานที่น่าสนใจสำหรับคนรักการดื่มชา นั่นก็คือ โอชะ โนะ ซาโตะ (Ocha no Sato) พิพิธภัณฑ์ชาซึ่งรวบรวมพันธุ์ชาจากทั่วโลกไว้ให้ทั้งดู ทั้งดม หรือจะลองดื่มด้วยก็ได้
ที่นี่ยังมีการจัดแสดงเส้นทางประวัติศาสตร์ใบชา กว่าจะข้ามน้ำข้ามทะเลมาสู่แดนอาทิตย์อุทัย สรุปอย่างย่อก็คือว่า เมื่อราวพันกว่าปีก่อน ในยุคเฮอันซึ่งตรงกันกับรัชสมัยของราชวงศ์ถัง ก็ได้มีพระชาวญี่ปุ่นนามว่า 'ไซโจ' เดินทางไปศึกษาพระธรรมถึงถิ่นมังกร และมีก้อนชาบดแข็ง พร้อมพันธุ์ชาติดไม้ติดมือกลับมาตั้งแต่ราวพันปีก่อน
โดยในการเดินทางของใบชาอีกหลายๆ ครั้งต่อมา ไม่ว่าจะเป็น มัทฉะ และชาเขียว ต่างก็มี 'พระ' เป็นผู้นำมาทั้งสิ้น
จากสถานะของชาในการแสดงยศศักดิ์ของผู้คน เพราะเดิมมีแต่ชนชั้นสูงเท่านั้นที่จะดื่มชาได้ ต่อมาใบชาก็เริ่มแพร่หลายมีการปลูกมากขึ้นจนกลืนกินเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของชาวญี่ปุ่นอย่างยากจะแยกออกได้
นอกจากการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ใบชา วัฒนธรรมชงชาของหลายๆ ประเทศแล้ว ที่ โอชะ โนะ ซาโตะ ยังมีเรือนน้ำชาจำลองจากยุคโบราณ ให้นักท่องเที่ยวได้ร่วมชมการสาธิตพิธีชงชา ได้ฝึกเข้าพิธีชงชาตามตำรับดั้งเดิม ตัวเรือนน้ำชา สร้างขึ้นเลียนแบบกลุ่มอาคารโบราณตั้งแต่ยุคเอโดะ ราว 250 ปีก่อน ออกแบบโดย โกโบริ เอ็นชู ปรมาจารย์ด้านพิธีชงชา และยังเป็นหนึ่งในสถาปนิกเอกแห่งยุคเอโดะ
สำหรับขั้นตอนสำคัญของพิธีชงชา จากประสบการณ์แบบรวบรัด ทำให้ 'พอเป็น' ในฐานะแขกผู้มาเยือนนั้น เรื่องทั้งหมดเริ่มต้นจากถ้วยชาใบเดียว
ถ้วยชากระเบื้องเคลือบที่มองเผินๆ อาจไม่ต่างกัน แต่หากพิจารณาอย่างละเอียดจะพบว่า ต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยถ้วยชาทุกใบจะมี 'หน้าชาม' ของตัวเองทั้งนั้น สังเกตง่ายๆ จากลวดลายของถ้วยซึ่งจะมีเพียงด้านเดียว หากมองหาลายไม่เจอ ให้ลองมองดูใหม่ สังเกตรอยสีหยดซึ่งอาจมองเห็นได้ยาก แต่เชื่อเถอะว่า ไม่เกินความสามารถ
หลักการที่เป็นใจความสำคัญคือ เมื่อเจ้าของบ้าน หรือเจ้าภาพ ยื่นถ้วยชาให้กับแขกแล้ว ผู้เป็นแขกจะต้องหมุนถ้วยชาฝั่งที่เป็นหน้าชามหันออกกลับคืนสู่ผู้ให้ โดยใช้มือซ้ายประคองก้นถ้วย และใช้มือขวาค่อยๆ หมุน
แล้วถ้าหาจนเหนื่อยก็ยังไม่เจอล่ะ จะทำอย่างไร...
เรื่องนี้ ไม่ยากเลยสักนิด เพราะโดยปกติแล้ว เจ้าภาพจะหันหน้าชามให้กับแขกอยู่แล้ว ฉะนั้นเทคนิคง่ายๆ ก็แค่ว่า เมื่อหยิบถ้วยชาที่พื้นตรงหน้าขึ้นมา หมุนถ้วยชาเพียงสองครั้ง หน้าชามก็จะหันคืนไปยังเจ้าภาพ เมื่อดื่มชาเสร็จแล้วให้ใช้นิ้วปาดคราบชาจากปากถ้วยออกให้สะอาด และส่งถ้วยชาคืนกลับไปในสภาพที่สะอาด ไม่เลอะเทอะ
...อย่างที่กูรูด้านอาหารมักเอ่ยกันบ่อยๆ ว่า รสเลิศไม่ได้สัมผัสได้เพียงลิ้นเท่านั้น ศาสตร์แห่งการดื่มชาก็เช่นกัน เพราะทั้งรูป รส กลิ่น เสียง ตลอดจนบรรยากาศที่รายรอบ ต่างก็มีผลต่อ 'รสชา' ทั้งสิ้น จึงไม่น่าแปลกใจว่า ศาสตร์แห่งการชงชา ก็ต้องการกุญแจสำคัญในการเข้าถึง และ สื่อสารออกไปไม่ต่างกัน
อย่างนี้เองสินะ ที่ทำให้พิธีชงชายุ่งยากซับซ้อน และเคร่งครัดเพียงนี้
เพราะนอกจากรสสัมผัสจากปากสู่ลำคอแล้ว อาหารตาก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของ 'การเข้าถึง' ด้วย จึงไม่น่าแปลกใจที่ สวนน้ำชา ถือเป็นใจความสำคัญอย่างหนึ่งของการดื่มชา
สำหรับสวนที่โอชะโนะซาโตะ ถูกสร้างขึ้นโดยมีต้นแบบจากสวนน้ำชา ภายในพระราชวังเซนโทโกโช (Sentogosho Palace) ที่เมืองเกียวโต ผลงานการออกแบบโดย โกโบริ เอ็นชู เจ้าเก่า ผู้ออกแบบสวนสวยไว้เป็นจำนวนมาก และหนึ่งในนั้นคือ สวนเรียวทันจิ ภายในวัดเรียวทันจิ (Ryotanji) ที่จังหวัดชิซุโอะกะ ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกของชาติด้วย
รอยทางศาสนา
ยูกิชิ มูโตะ หลวงพ่อ หรือที่ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า 'โอโบซัง' ผู้นำชมวัดเรียวทันจิ เล่าให้ฟังว่า วัดนี้เป็นเหมือนวัดประจำตระกูล 'อี' (Ii) ซึ่งเป็นตระกูลของขุนศึกคนสำคัญของญี่ปุ่นผู้มีนามว่า 'อี นาโอสุเกะ'
โดยวัดนี้ซึ่งเป็นวัดพุทธแท้ๆ ก็เป็นเหมือนเช่นอีกหลายๆ วัดพุทธที่มีร่องรอยของความขัดแย้งทางศาสนาระหว่าง 'พุทธ-ชินโต' หลงเหลืออยู่ เห็นได้จากองค์พระประธาน ซึ่งเดิมประดิษฐานอยู่ที่อาคารด้านนอก ก็ได้ถูกผู้ไม่หวังดีกรีดเสียจนเป็นรอยเพื่อแสดงความลบหลู่และปฏิเสธวิถีพุทธ เช่นกันกับตัววัดที่เคยผ่านเปลวไฟอันร้อนระอุจากสงครามศาสนาเช่นเดียวกัน
แต่ไม่ว่าความพยายามอยากจะทำลายสัญญะแห่งความเป็น 'พุทธ' จนมีบาดแผลมากเพียงใด ก็คงไม่อาจลบล้างให้สิ้นลงไปได้ โดยสิ่งหนึ่งที่ยังทำหน้าที่ประกาศถึงสัจธรรมของวิถีพุทธในวัดแห่งนี้ ก็คือ ลักษณะการจัดวางแนวหินในสวนเรียวทันจิแห่งนี้..
มองจากชานเรือน จะเห็นหินก้อนแรกที่ใกล้ตัวที่สุด ถูกจัดให้เป็น 'แท่นสวดมนต์' (the stone of prayer) หมายถึงชาวพุทธทั้งหลายที่จะมานั่งภาวนา ณ ที่ตรงนี้
ถัดออกไป เป็นบ่อน้ำที่ลัดเลาะโดยมีรูปร่างเป็นตัวอักษรจีนที่อ่านว่า 'kokoro' แปลว่า หัวใจ ซึ่งในที่นี้หมายถึง หัวใจของทุกสรรพสิ่ง และเมื่อมองข้ามลำน้ำออกไป หินก้อนที่อยู่ไกลสุด และสูงเหนือจากหินก้อนอื่นๆ ถือเป็นจุดศูนย์กลางของสวน เปรียบเป็นตัวแทนของพระพุทธศาสนา ที่ลดหลั่นรายรอบกันลงมาก็เป็นตัวแทนขององค์ประกอบอื่นๆ
โดยหินก้อนสูงใหญ่กว่าเพื่อนซึ่งประจำการด้านซ้ายขวา เรียกว่า หินองครักษ์ (Guard Stone) ส่วนหินก้อนหนึ่งมีรูปร่างคล้ายเต่า (ก้อนที่สองจากขวา) หมายถึงอายุยืนยาว ขณะที่หินก้อนที่สองจากซ้าย เปรียบดั่งนกกระเรียน ตัวแทนแห่งความสุข
และทั้งหมดนี้ก็เป็นภาพสะท้อนของวิถีพุทธตามการตีความของปรมาจารย์ โกโบริ เอ็นชู นั่นเอง...
จากศรัทธาแห่งพุทธ ณ วัดเรียวทันจิ จังหวัดชิซุโอะกะ ลองข้ามฝั่งมายัง ศาสนาชินโต อดีตศาสนาประจำชาติญี่ปุ่น ซึ่งถึงแม้วันนี้ความเข้มข้นในพิธีกรรมจะเบาบางกว่าแต่ก่อน แต่เรื่องของเทพเจ้าทั้งหลายยังถือเป็นความเชื่อที่ฝังรากลึกในวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่นจนยากจะแยกจากกันได้อย่างเบ็ดเสร็จ
"ถ้าชินโตเปรียบเป็นบริษัท ศาลเจ้าอิเสะก็เป็นเหมือนสำนักงานใหญ่ของชินโต และเมื่อที่นี่เป็นสำนักงานใหญ่ จึงไม่จำเป็นต้องมีป้ายชื่อวัดเหมือนอย่างที่อื่นๆ " คุณลุงไกด์ผู้นำชม ศาลเจ้าใหญ่เมืองอิเสะ (Ise Shrine) ที่จังหวัดมิเอะ เริ่มต้นเปรียบเทียบความสำคัญของศาลเจ้าอิเสะให้ฟังระหว่างเดิน 'ชิดขวา' ลอดใต้ซุ้มประตูทางเข้า สู่พื้นที่ของ 'ไนคู' ซึ่งเป็นศาลเจ้าส่วนใน
สาเหตุที่ต้องเดินชิดขวา ก็เนื่องจากเทพเจ้าของวัดนี้ 'เดินชิดซ้าย'
..ฟังๆ แล้ว อาจจะแอบคิดว่า ประหลาด แต่ถึงจะไม่เชื่อ ไม่ว่าใครก็ไม่ควรหัวเราะเยาะความเชื่อของคนอื่น.. ถูกไหม?
ฉะนั้นต่อให้เป็นชาวพุทธแบบครึ่งๆ กลางๆ แต่เมื่อดั้นด้นไปถึงสำนักงานใหญ่ของชินโตขนาดนี้แล้ว มีหรือจะปล่อยให้เรื่องราวน่าสนใจหลุดหู รอดตาไป
ก่อนอื่น ต้องเริ่มต้นที่การทำความรู้จัก ศาลเจ้าอิเสะ เสียก่อน อย่างที่คุณลุงไกด์เล่าไว้ตั้งแต่แรกว่า ศาลเจ้าแห่งนี้มีศักดิ์เป็นถึงศาลเจ้าที่สำคัญที่สุดในลัทธิชินโต ฉะนั้นนอกจากจะไม่มีป้ายชื่อวัดแล้ว เวลาผู้คนเอ่ยถึง แทนที่จะเรียกเต็มยศว่า 'อิเสะ จิงกุ' (Ise Jingu) ก็เรียกว่า 'จิงกุ' อย่างเดียว แค่นั้นทุกคนก็เข้าใจแล้วว่า หมายถึงศาลเจ้าใด
เดิมทีศาลเจ้าอิเสะเป็นศาลเจ้าส่วนพระองค์ขององค์พระจักรพรรดิที่สืบทอดต่อกันมานานถึง 2 พันปี ซึ่งประชาชนทั่วไปไม่สามารถเข้าไปสักการะได้ และเพิ่งจะเปิดสู่สาธารณะในภายหลัง
และด้วยความที่เดิมเป็นศาลหลวง ทำให้ศาลเจ้าอิเสะ มีหลายๆ อย่างไม่เหมือนกับศาลเจ้าทั่วไป อย่างเช่น ที่นี่ไม่มีรูปปั้นสุนัขหิน ไม่มีเซียมซี ไม่มีกระพรวนยักษ์ และที่หอทำพิธีก็ไม่มีเชือกเกลียว เป็นต้น
ศาลเจ้าอิเสะประกอบด้วยสองส่วน คือ ไนคู (Naiku) เป็นศาลเจ้าส่วนใน และ เกะคู (Geku) เป็นศาลเจ้าส่วนนอก ซึ่งหากรวมทั้งสองศาลเข้าด้วยกันแล้วจึงจะเรียกว่า ศาลเจ้าอิเสะ ภายในประกอบไปด้วยที่ประทับขององค์เทพยดาตามหลักศาสนาชินโตทั้งสิ้น 125 หลัง โดยจัดให้ ไนคู เป็นศาลเจ้าหลัก เพราะเป็นที่ประทับของเทพสูงสุด Amaterasu Omikami ซึ่งเป็นเทพีแห่งดวงอาทิตย์
"ศาลเจ้าเกะคู เป็นตัวแทนของอาหารการกิน ขณะที่ไนคูเป็นตัวแทนของการมีชีวิต และคนเราต้องมีชีวิตก่อนจึงจะกินอาหารได้" คุณลุงไกด์บอก
เดินชิดขวากันเพลินๆ ที่ไนคู แต่ถ้าย้ายไปเกะคูอย่าลืมเปลี่ยนเลนเสียล่ะ... เพราะเทพฝั่งโน้นท่านเดินชิดขวากัน!
เมื่อเดินเข้ามาระยะหนึ่ง มองไปด้านขวาเห็นลำน้ำใสเย็น ไหลเอื่อย น่าลงไปเล่น แต่ใครอย่าทำอย่างนั้นเชียว เพราะนั่นคือลำน้ำศักดิ์สิทธิ์สำหรับให้ทำความสะอาดร่างกายก่อนจะเข้าสู่รั้วชั้นในของวัด ซึ่งปัจจุบันเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้เข้ามาสักการะเทพเจ้า ทางศาลจึงได้จัดทำบ่อน้ำสำหรับทำความสะอาดเหมือนกันกับที่เคยเห็นตามวัดอื่นๆ
วิธีการทำความสะอาดให้เริ่มจาก ตักน้ำใส่กระบวยขึ้นมาด้วยมือขวา ราดลงบนมือซ้าย และสลับกัน คือ ใช้มือซ้ายถือกระบวยราดน้ำลงบนมือขวา จากนั้นให้ใช้มือขวารองน้ำขึ้นมาล้างปาก และขั้นตอนสุดท้ายคือยกปลายกระบวยขึ้นให้น้ำรดลงที่ด้ามเพื่อทำความสะอาดอีกครั้ง
ส่วนการสักการะเทพเจ้าก็ให้ตบมือสองครั้ง โดยให้ตบโดยให้มือเหลื่อมกัน จากนั้นคำนับหนึ่งครั้ง เป็นอันเสร็จพิธี ซึ่งวิธีนี้จะต่างจากศาลเจ้าอื่นๆ เพราะที่อื่นจะคำนับก่อนและตบมือสองครั้งและคำนับอีกที
ในอดีต เวลาพระจักรพรรดิจะเสด็จเข้ามาขอพร หรือวิงวอนต่อเทพเจ้าที่ศาลหลัก ข้าราชบริพารจะติดตามได้ถึงแค่รั้วปากทางเข้าตัวศาลเท่านั้น โดยองค์พระจักรพรรดิจะต้องเสด็จเข้าไปลำพัง ซึ่งหากเป็นเวลากลางคืน การไม่มีข้าราชบริพารติดตาม ก็หมายถึงไม่มีใครคอยถือคบไฟส่องทางให้ ดังนั้นภายในรั้วของตัวอาคารศาลหลัก จะโรยด้วยหินสีขาวเป็นทางลาดยาวเข้าสู่อาคาร เพื่อให้มองเห็นได้ชัด และยังเป็นความนัยที่แฝงอยู่ด้วยว่า ทางเดินสีขาว เป็นหนทางไปหาเทวดา
แต่ทั้งนี้ แม้กระทั่งพระจักรพรรดิเอง ก็ยังไม่สามารถก้าวเข้าไปถึงภายในตัวศาลได้ โดยพระองค์จะทำได้เพียงกระซิบวิงวอนอยู่ที่ด้านนอกได้เท่านั้น
"ประเพณีการสักกาะระเทพเจ้าที่ศาลเจ้าอิเสะ จะขอพรได้ที่ศาลอื่นๆ ยกเว้นศาลหลัก ซึ่งจะทำได้เพียงขอบคุณเทพยดาได้เท่านั้น" ไกด์หนุ่ม(เหลือ)น้อย เล่าให้ฟัง
ขึ้นชื่อว่า 'เทพ' ก็ย่อมต้องมาพร้อมกับภาระอันหนักอึ้ง ที่ต้องบันดาลพรนับล้านประการแก่ผู้ที่มาขอ... แต่ไม่ใช่กับที่นี่!
เพราะวิธีการขอพรของศาลเจ้าอิเสะคือ ถึงแม้จะสวดอ้อนวอนขอได้ แต่ถ้าจะขออย่างเดียวโดยไม่ลงมือทำ ก็เมินเสียเถอะ เพราะเทพเจ้าจะไม่ช่วยคนที่ไม่ทำอะไร
ฟังแล้ว เลยนึกไปถึงตอนที่ได้คุยกับเจ้าหน้าที่การท่องเที่ยวของจังหวัดฮามามัตสึ ซึ่งเล่าให้ฟังถึงความเชื่อของชาวเมืองที่นั่นว่า ผู้คนส่วนใหญ่โดยเฉพาะวัยทำงาน จะพกเครื่องรางรูปปราสาทฮามามัตสึกันเยอะ เพราะปราสาทหลังนี้ เป็นตัวแทนให้ระลึกถึงเหตุการณ์แพ้สงครามครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของท่านโชกุน โทกุงาวะ อิเอยาสึ ที่ทำให้ท่านโชกุน ถึงกับสั่งให้ช่างเขียนภาพปราสาทไว้เพื่อเตือนใจตัวเองว่า 'คนเราไม่มีทางชนะเสมอไป' ฉะนั้นความสำเร็จจึงไม่มีทางได้มาอย่างง่ายดาย
ว่าแล้ว ก็คิดอยู่ในใจว่า.. ช่างสมกับเป็นคนญี่ปุ่นโดยแท้




