พีรยา จันทร์เจริญ ปรากฏการณ์ 'ครั้งแรก' ในบรูไน

พีรยา จันทร์เจริญ ปรากฏการณ์ 'ครั้งแรก' ในบรูไน

นูรอาอิน อับดุลละฮ์ หรือ พีรยา จันทร์เจริญ คนไทยที่ได้สัญชาติบรูไนจากสถานภาพการสมรสกับ ฮาร์ลิฟ ฮาจี โมฮัมหมัด (ผู้กำกับ)

และปักหลักใช้ชีวิตในบรูไนมากว่า 16 ปี คุณแม่ลูกสองที่ทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้าง ผู้เขียนบท ร่วมด้วยช่วยกันผลักดันภาพยนตร์บรูไนเรื่องแรก เป็นตัวแทนของทีมงานสร้าง มาเปิดเผยเส้นทางและความทะเยอทะยาน รวมถึงสถานการณ์งานภาพยนตร์ในบรูไนว่าเป็นอย่างไร

บรูไน ดารุสสลาม หนึ่งในสมาชิกอาเซียนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเศรษฐีน้ำมันแห่งภูมิภาค ประเทศเกาะขนาดเล็กแห่งนี้ มีวัฒนธรรมพื้นถิ่นอิงศาสนาอิสลาม แต่ในเวลาเดียวกันยังได้รับวัฒนธรรมป๊อปสมัยใหม่จากสื่อละครภาพยนตร์จากเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะมาเลเซีย ไปจนถึงฮอลลีวู้ด

ล่าสุด ประเทศนี้เพิ่งมี “ภาพยนตร์บรูไน” เรื่องแรกในรอบ 45 ปี ที่เป็นภาพยนตร์บันเทิง เพื่อการค้า สร้างโดยคนบรูไน นำแสดงโดยคนบรูไน เป็นเรื่องราวของวิถีชีวิตคนบรูไนยุคปัจจุบัน และเป็นภาพยนตร์บันเทิง แนวตลกโรแมนติก ที่มีงบประมาณและกระบวนการผลิตในรูปแบบ “ภาพยนตร์อิสระ”

Ada Apa Dengan Rina (อะดา อาปา เดนกัน รีนา) หรือ What's so special about Rina แปลเป็นไทยว่า “ทำไมต้องรีนา” เป็นภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว ซึ่งทีมผู้ผลิตเรื่องนี้ ประกอบด้วย ฮาร์ลิฟ ฮาจี โมฮัมหมัด (กำกับ), นูรอาอิน อับดุลละฮ์ (เขียนบท-อำนวยการผลิต) และ ฟาริด อัซลัน กานี (เขียนบทและกำกับ) เป็นนักผลิตสื่อป้อนโทรทัศน์และวงการมัลติมีเดียในบรูไน ชื่อบริษัท Regalblue พวกเขาเป็นเรี่ยวแรงสำคัญในการผลักดันภาพยนตร์บรูไนเรื่องแรก และนับจากวันที่เปิดฉายต่อสาธารณชนในโรงภาพยนตร์ซีเนเพล็กของประเทศเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา หนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จอย่างน่าชื่นใจ

3 สัปดาห์ผ่านไป ยังคงมีผู้ชมเกือบเต็มโรงภาพยนตร์แทบทุกรอบ ในโรงที่จุคนได้เพียง 500 คน แต่สิ่งที่ผู้สร้างบอกว่าเป็นความสำเร็จทะลุเป้า ไม่ใช่ผลกำไร (จากทุนสร้าง 4 ล้านบาทไทย) แต่เป็นกระแสการเปลี่ยนแปลงที่มีคนบรูไนทุกเพศทุกวัยออกมาซื้อตั๋วภาพยนตร์ และส่งผลให้เกิด “ดารา” จากคนท้องถิ่น หลังจากที่คนหนุ่มสาวของประเทศนี้

จุดเริ่มต้นที่ต้องเป็นหนังบรูไนเรื่องแรก ?

เพราะมันไม่เคยมีเลย และเราก็อยากลองทำดู เป็นโปรเจคทดลอง ที่เราพยายามหาสปอนเซอร์ หานายทุน แต่ในที่สุดก็ไม่ได้ แต่เราก็ตั้งใจและเชื่อมั่น โดยเฉพาะสามีที่เป็นผู้กำกับ เขาเป็น firm believer ตลอดระยะเวลา 3-4 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะมีสถานการณ์ up and down ยังไง เราก็ต้องทำหนังเรื่องนี้ให้สำเร็จให้ได้ และก็ลงทุนเองเลย

โดยที่เราตั้งเป้าไว้เลยว่า หนังต้องเป็นหนังบรูไน 100 เปอร์เซ็นต์ คือ หนึ่ง-เราจะแสดงให้เห็นว่าในต้นทุนเพียงเท่านี้ (4-5 ล้านบาทไทย) ด้วยอุปกรณ์และองค์ความรู้ ทักษะที่เรามี เราสามารถสร้างภาพยนตร์บรูไนออกมาได้ในระดับมาตรฐาน ไม่จำเป็นต้องไปแข่งสเกลใหญ่ เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไรจะพร้อมถึงระดับนั้น

ข้อสอง-หนังเรื่องนี้นักแสดงต้องเป็นนักแสดงบรูไน เพราะว่าที่ผ่านมา มันมักจะมีคำพูดว่า คนบรูไนทำไม่ได้หรอก ฝีมือไม่ถึง หรือทำไปก็ไม่มีไปคนดูหรอก อาจจะเพราะเป็นสังคมเล็ก จึงไม่มี fanatic และไม่มีพาวเวอร์ของดาราบรูไนเลย ส่วนใหญ่ก็คือดารามาเลย์ อินโด ที่ไปดังที่นั่น

ข้อสาม-หนังต้องเป็นภาษาบรูไน มันก็เคยมีคำพูดว่า ถ้าจะทำหนังให้ฉายที่อื่นได้ (นอกบ้าน) ต้องไม่พูดภาษาบรูไน แต่เราคิดว่า หนังเกาหลีก็พูดเกาหลี ยังไปฉายนอกประเทศได้เลย ทำไมเราจะทำไม่ได้ อันนี้เป็นส่วนหนึ่งของการทดลอง เราคิดว่ามันน่าจะดึงดูดผู้ชมข้างนอกด้วยซ้ำ เพราะหนังมันจะเป็น identity ของบรูไน และหนังมันจะแปลกสำหรับคนบรูไนเองด้วย เพราะเป็นหนังเรื่องแรกที่พูดภาษาบรูไน จากที่เดิมมีเทรนด์อยู่ว่า ต่อให้ทำละครทีวี หรือภาพยนตร์อะไรก็ตาม ต้องพูดภาษาสแตนดาร์ดมาเลย์ คนจึงจะเข้าใจ

ต่างกันอย่างไรระหว่างภาษาสแตนดาร์ดมาเลย์กับบรูไน

เหมือนภาษาการอ่านข่าวทางทีวี เทียบกับภาษาพูดในชีวิตประจำวัน ซึ่งอันหลังมันมีเรื่องอารมณ์มาด้วย มันจะมีปัญหามีว่า คนบรูไนดูละครอินโดฯ หรือ ละครมาเลเซีย เยอะ โดยเฉพาะละครมาเลย์มันมีอิทธิพลมาก และละครทีวีบรูไนก็จะพยายามพูดอย่างนั้น ซึ่งคนมาเลย์เขาฟังแล้วก็ตลกนะ เพราะมันก็ไม่ใช่ภาษาพูดมาเลย์แท้ (เหมือนละครพูดอีสานกับภาษาไทย?) อะไรประมาณนั้น แต่ที่นี่มันยังดูน่ารักนะ สำเนียงแปร่งๆ แต่ที่นั่นมันจะให้ความรู้สึกว่ามันแปลก ทำไมเราไม่พูดภาษาที่เราพูดกันในชีวิตประจำวันล่ะ

ภาษาในเรื่องนี้ก็เลยจัดให้เป็นบรูไนเต็มๆ ?

ใช่ เราพยายามเขียนบท แม้แต่มุกตลก ก็เป็นมุกแบบที่มีในชีวิตประจำวันของที่นั่น เพราะเราอยากให้เข้าถึงคนบรูไน

ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกเริ่มไหมว่าหนังต้องผลิตด้วยคนบรูไนทั้งหมด

ตั้งแต่ต้นเลย ทั้งผู้กำกับ เขียนบท และก็ DOP (ผู้กำกับภาพ) และตัวเราเองก็ถือว่าเป็นพลเมืองที่บรูไนด้วย แม้จะเป็นคนไทยก็ตาม เคยคิดเรื่องจะ source out ผู้กำกับภาพจากมาเลเซียนะ แต่คิดอีกที มันเป็นโปรเจคทดลองอยู่แล้ว ลองทำกันเองเลยดีไหม กับบุคลากรของเราที่มีอยู่ เราก็จะได้รู้ปัญหา และเอาไปปรับปรุงให้มันดีขึ้นได้ด้วย อาจจะมีข้อยกเว้นเป็นคนเชื้อชาติมาเลย์ แต่เขาก็ปักหลักเป็นคนที่นั่นแล้ว

อุปกรณ์ก็ใช้เท่าที่เรามีในบริษัทที่เราทำโปรดักชั่นเฮ้าส์อยู่แล้ว ยกเว้นขั้นตอนการทำ DCP (Digital Cinema Package) มาทำที่บริษัทไวท์ไลท์เมืองไทยนี่แหละ เพราะถ่ายด้วยกล้องถ่ายหนังดิจิทัล

ขั้นตอนการโปรโมทหนังก็ทำเอง?

ใช่ มาร์เก็ตติ้งแพลนก็ทำเอง แบบประหยัดงบ ใช้แค่ปรินต์แบนเนอร์แนวตั้งบนแผ่นไวนิลราคาถูกๆ เพื่อวางไว้หน้าโรงภาพยนตร์ และดีลกับโรงหนังเอง ที่นั่นดิสตริบิวเตอร์มาจากมาเลเซีย ที่นำหนังมาเลย์ อินโดหรือหนังฮอลลีวู้ดเข้าฉายในบรูไนนะ

โรงภาพยนตร์ในบรูไนเป็นอย่างไร

มีโรงแบบซีเนเพล็กซ์ (มากกว่าสามจอ) มี 4 โรงอยู่ในบันดาเสรีเบกาวัน และ 1 โรงแบบ dual plex (หนึ่งโรงมีแค่สองจอ) ที่เมืองซีเรีย ที่เป็นเมืองขุดน้ำมัน ส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติมาทำงาน และคนค่อนข้างมีตังค์ก็เป็นโรงใหญ่และโรงที่ต่างจังหวัดอีกหนึ่งโรง ล่าสุดมีโรงเปิดใหม่ขนาดใหญ่ชื่อ 'ไทม์ ซีเนเพล็กซ์' ที่เพิ่งเปิดตัวด้วยหนัง Skyfall และโรงนี้เขาก็ยอมให้เราเอาหนังเข้าฉาย

ต้องเป็น distributor เอง?

สำหรับเราหนังเรื่องนี้คุยกับโรงโดยตรง ทางโรงให้ส่วนแบ่งรายได้แบบ 50/50 เลย แต่เราไม่มีอำนาจต่อรอง เพราะบางโรงเขายังฉายได้เฉพาะระบบฟิล์มภาพยนตร์ 35 มม. ก็ฉายให้เราไม่ได้ เพราะเราไม่มีงบที่จะปรินต์ฟิล์ม และอีกโรงใหญ่เขาก็ไม่รับหนังเรา (ช่วงหนังฮอลลีวู้ดอย่าง Oz the Great and the Powerful เข้าฉาย) ส่วนโรงต่างจังหวัดเขามี 2 โรง เขาต้องแบ่งรอบกับหนังฮอลลีวู้ด ก็ได้มาหนึ่งโรงในเมืองหลวง ได้โรงใหญ่ ประมาณ 210 คน วันแรกๆ คนเข้าดูเกือบเต็มโรง เต็มรอบ ถือว่าได้ประมาณวันละ 500-600 คน

เราพยายามต่อรองกับโรงหนัง ขอค่าตั๋วชมภาพยนตร์ เป็น flat rate ทุกรอบทุกโรง จากราคาตั๋วที่มันจะปรับตามเวลาและวัน เช่นรอบวีคเอนด์ก็อาจจะ 6-8 เหรียญบรูไน เราก็ขอปรับมาเป็น 5 เหรียญทุกรอบทุกวันเลย เพราะเราทำหนังก็อยากให้คนได้มาดู ไม่งั้นก็ไม่มีความหมายเลย และเราก็เตรียมตัวแรกเริ่มแจกบัตรไว้ 1,000 ใบ มีทั้งสื่อมวลชน และแขกผู้ใหญ่ที่เราเคยทำงานกับเขา หน่วยงานราชการ เพื่อจะการันตีกับโรงหนังว่า เรามีคนมาดูแน่ๆ แล้วนะ ป้องกันการถอดหนังออกจากโรง ถ้าเกิดไม่มีคนมาดูในช่วงแรก

ผลตอบรับออกมาเป็นอย่างไร

ต้องยอมรับว่า คนมาดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น และมันมีคนแบบ skeptical แบบว่า มันจะดีเรอะ หนังคนบรูไนทำได้จริงเหรอ มันจะเป็นยังไง แต่ไม่มั่นใจว่าจะเอนเตอร์เทนเขารึเปล่าอะไรแบบนี้ เพราะงั้น curiosity เป็นส่วนหนึ่งที่ดึงคนมาดู แต่พอได้ดูแล้ว เสียงส่วนใหญ่ก็ชอบกัน เราไปแอบดูเวลาหนังจบ พอมีเครดิตขึ้น มีเสียงปรบมือทุกรอบเลย ช่วงแรกรู้สึกขนลุก และหายเหนื่อยเลย ณ จุดนั้น เรื่องผลกำไร ไม่สำคัญแล้ว สิ่งที่เคยตั้งเป้าว่า ขอให้คนดูรอบละ 30 คนน่ะ มันทะลุเป้าแล้ว เรารู้ตัวมาตั้งแต่แรกแล้วว่า เราลงทุนเพื่อการเรียนรู้ของตัวเองและทีมงานอยู่แล้ว และเหมือนเป็นการพิสูจน์อะไรบางอย่างต่อสังคมบรูไนเกี่ยวกับภาพยนตร์บรูไนด้วย

เราตั้งใจฉายหนังวันแรกแบบ public screening ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ เพื่อให้ตรงกับวันชาติบรูไน เพราะถือว่านี่คือภาพยนตร์เรื่องแรกในแบบคอมเมอร์เชียลของบรูไนจริงๆ

โดยทั่วไปธรรมเนียมการโปรโมทหนังในบรูไนเป็นแบบไหน

ก็มีแสตนดี้ตั้งหน้าโรง เหมือนเมืองไทย แต่ของเราเป็นแค่เจ็ทปรินต์บนไวนิลไม่กี่บาท และไม่ได้ใช้สื่อโฆษณา มีเชิญนักวิจารณ์หรือคนที่เขาเขียนเกี่ยวกับหนังมาดูในรอบก่อนฉายจริง และก็โซเชียลมีเดีย มีเฟซบุ๊ค และบล็อกเกอร์ส เพราะในรอบฉายเพื่อหาสปอนเซอร์ เราเคยเอาบัตรพิเศษไปเชิญวีไอพี แบบไปคุยเอง เพื่อให้เขามาลองดูหนังเราก่อน ไม่มีข้อผูกมัด แต่มาไม่ถึง 50% เพราะเขาไม่เชื่อในหนัง และก็ไม่ได้สปอนเซอร์เลย เราใช้โซเชียลมีเดีย ผ่านทาง whatsapp เราส่งทีเซอร์ และเทรลเลอร์หนัง ให้คนฟอร์เวิร์ดต่อๆ กัน ซึ่งที่นั่นคนนิยมใช้(แอพพลิเคชั่น)กันมาก จะเป็นรูปภาพ จะข่าวจริงข่าวลือก็ฟอร์เวิร์ดกันแหลกลาญ

โซเชียลมีเดียช่วยได้ไหม

มันก็ได้บ้าง แต่ เราก็ได้บล็อกเกอร์ที่ฟอลโลเวอร์สเยอะๆ มาช่วยเขียนบอกกล่าว แต่คนก็ยังคิดว่า มันก็เป็นแค่ข่าว เพราะมันเป็นความเชื่อที่ฝังรากลึกว่า คนบรูไนทำ(หนัง)ไม่ได้หรอก เรื่องความไม่เชื่อเนี่ย ส่วนหนึ่งมันเคยมีโปรดักชั่นอื่น ที่ตั้งต้น เปิดแถลงข่าวใหญ่โตมาแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่มีเรื่องไหนทำเสร็จออกมาสักที ทางเราเองก็ไม่ได้บอกอะไรกับใคร รอจนหนังเสร็จพร้อมที่จะฉายในโรงแล้ว ก็เริ่มบอกเพื่อนๆ ในแวดวง กระจายข่าวออกไป แต่ส่วนใหญ่ก็ยังคิดว่า หนังที่เราทำเป็นหนังเพื่อฉายทีวี ไม่ใช่หนังระดับที่ฉายในโรงภาพยนตร์ คิดว่าเป็นละครทีวีอีกรูปแบบหนึ่ง

รัฐไทยเคยมีโครงการไทยเข้มแข็งให้ทุนสนับสนุนหนังอิสระ ที่บรูไนมีไหม

เหมือนกันหรือเปล่าไม่รู้ ปีที่แล้ว (2012) ก็มีนโยบายส่งเสริม creative ที่ทางกระทรวงวัฒนธรรมก็เรียกบรรดาผู้ผลิตสื่อ ซึ่งทางเราก็ถูกเข้าไปประชุมคุย ระดมสมอง และอยากจะทำหนังเพื่อแสดงภาพลักษณ์บรูไนต่อชาวโลก ให้มีการเสนอไอเดียต่างๆ นานา แต่ก็ยังไม่ได้ผลเป็นรูปธรรมนะ แต่แนวทางจะเน้นภาพลักษณ์ดีๆ ของประเทศ และอยากให้งานแบบฟอร์มยักษ์ไปเลย อยากไปไกลระดับโลก

สรุปแล้วหนังเรื่องนี้ไม่ได้สปอนเซอร์เลย หน่วยงานรัฐมีสนใจบ้างไหม

ไม่ได้เลย หน่วยงานรัฐบางหน่วยบอกว่าอยากช่วย แต่ไม่รู้ว่าจะตัดงบตรงไหนมาช่วยเรา เพราะ(หนัง)เป็นของใหม่ ที่ไม่เข้ากับกลุ่มใดเลย และมีธนาคารหนึ่งสนใจ คอนเซปต์เขาเป็นอิสลาม พอหนังเป็นคอมเมดี้ถึงแม้จะไม่มีอะไรผิดหลักศาสนาเลย แต่เขาก็รู้สึกไม่กล้า เพราะไม่รู้จะเข้ามาตรงไหน เข้ามาแล้วเขาจะได้อะไร(ในเชิงธุรกิจ) เราไม่มี product placement เลย เขาช่วยได้แค่จัดรอบฉายพิเศษ เหมารอบไปหนึ่งรอบ ให้ผู้ป่วยและเด็กกำพร้ามาชม มีหน่วยงานจากกระทรวงวัฒนธรรม ที่เขาเคยให้ทุนเพื่อทำหนังแอ็คชั่นเรื่องหนึ่งของบรูไน เราก็เอา proposal ไปเสนอ เขาดูแล้วก็ชมว่าหนังดี ภาพสวย และเราถามเรื่องงบที่เราขอสนับสนุน 1.5 แสนเหรียญ (ประมาณ 4-5 ล้านบาท) เขาก็บอกว่าไม่แพง แต่เขาให้เหตุผลที่ไม่ให้ทุนเราว่า เราไม่ได้ทำหนังใหญ่พอ ให้เรากลับมาแก้รายละเอียด แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้

มีมูฟวี่คลับในกระทรวงหนึ่งเขาเหมาตั๋วไป 75 ใบ และรองปลัดกระทรวงซึ่งเป็นนักเรียนนอกมาก่อน เขาก็มาชื่นชมเป็นการส่วนตัว

ในส่วนของนักแสดง หลังจากมีคนดูตอบรับแล้ว ทำให้พวกเขาเป็นดาราเลยไหม ถือว่าหนังเป็น Starmaker ไหม

เป็นๆ เพราะการจัดหนังรอบแรกๆ เราจะพานักแสดงนำ พระเอกสองคนคือ ชูกรี มาฮารี และ เตาฟิก อิเลียซ กับนางเอก ดายังกู โมนีรี ปางีรัน โมฮีดิน ไปพบกับผู้ชมในโรงหนัง แบบเซอร์ไพรส์ด้วย ปรากฏว่า คนดูวิ่งมาขอลายเซ็นขอถ่ายรูป ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลยในบรูไน โดยเฉพาะดาราที่เราบอกว่า คนบรูไนก็จะชอบดารามาเลย์ อินโด ดาราอินเตอร์ไป แต่ไม่ได้มีดาราที่มีพาวเวอร์แบบดาราจริงๆ มาก่อนเลย นักแสดงเหล่านี้ก็เป็นคนทำงานในวงการบันเทิงบรูไน แต่ไม่ได้รับความสนใจแบบที่เป็นป๊อปสตาร์ตอนนี้ และยังมีคนถามถึงว่าโรงไหนที่ดาราจะไปปรากฏตัวอีกไหม

ผู้กำกับที่เป็นคนบรูไนโดยกำเนิด จากการทำหนังบรูไน เทียบกับการรับอิทธิพลสื่อจากมาเลเซีย อินโดนีเซีย มันแสดงให้เห็น identity บรูไนอย่างไร

แค่ภาษาอย่างเดียวก็ชัดเจนแล้ว และยังเป็นเรื่องแรกที่แสดงมุมมองของคนบรูไน ผ่านนักแสดงบรูไน วิถีชีวิตคนยุคนี้ และหนังยังโชว์ scenery สถานที่สำคัญๆ ของบรูไนด้วย เพราะเราพยายามจะทำให้ได้มากที่สุด เราก็แสดง scene สวยๆ ในโลเคชันของบรูไนเองด้วย

เสียงตอบรับในแง่ลบมีไหม

มี แต่ส่วนใหญ่จะเป็นพวกที่ยังไม่ได้ดูหนัง เขาไม่เชื่อว่าจะทำได้ หรือมันจะดี และยังไม่ยอมมาดู ส่วนอีกเสียง ก็คาดหวังว่าจะได้ดู เลิฟสตอรี่ เพราะเราเสนอว่าเป็นหนังโรแมนติก คนดูกลุ่มนี้ก็จะรู้สึกขัดใจกับมุขหรือโจ๊กๆ ตลกที่เราใส่ไป เพราะเขาอยากได้โรแมนติกละมุนมากกว่านี้ ก็ผิดหวังกับหนังเรานิดหนึ่ง เขาไม่พร้อมสำหรับคอมเมดี้ แต่ส่วนใหญ่ก็โอเคกับหนัง

กับอีกเสียงติในบรูไนคือ เขาอยากได้ อาร์ตฟิล์ม แบบเห็นภาพถ่ายที่สวย ไม่ซ้ำใคร ช็อตทุกช็อต ทุกเฟรมต้องมีความหมาย การใช้ space and time น่าจะเป็นงานอาร์ตกว่านี้ แต่อันนี้เราพยายามใส่เข้าไปเท่าที่จะทำได้นะ หามุมสวย แต่จุดประสงค์แรก อยากทำหนังเอนเตอร์เทนคนดูมากกว่า และมีอาจารย์สอนสังคมศาสตร์ที่วิจารณ์ภาพยนตร์และศิลปะในบรูไน เขาก็ชมเรา ยกสองนิ้วให้เลย เพราะเขาเข้าใจเรา ซึ่งเราก็พอใจนะ ในสเกลของบรูไนที่เป็นอยู่

การเลือกทำหนังแนวโรแมนติกคอมมิดี้ เพื่อการตลาดหรือว่ามีปัจจัยอะไรในการเลือกแนวนี้

เรื่องมันพูดถึงพระเอกวัย 30 ปีเป็นคนโสด และเฝ้าคิดหาภรรยาในอุดมคติ ซึ่งควรจะมีชื่อ รีน่า เรื่องราวมันเป็นวิถีของคนบรูไนในปัจจุบันนั่นแหละ วัยนี้น่าจะไม่โสดแล้วนะ แล้วเราพยายามเสนอให้มันง่าย ในแบบที่เป็นส่วนผสม ระหว่าง แนวซีรี่ส์ Ally McBeal กับหนัง There’s Something About Mary

เกี่ยวกับอาเซียน มองถึงโอกาสของหนังบรูไนและหนังของตัวเองไว้อย่างไร

ในวันที่ 28-30 มีนาคมนี้ หนังเราก็ได้ไปฉายในงานเทศกาล Asean International Film Festival and Awards (AIFFA) ในเมืองกูชิง รัฐซาราวัก มาเลเซีย ซึ่งก็ถือเป็นการก้าวออกมานอกบ้าน

แต่สำหรับเรา เรารู้ว่าตลาดบรูไนก็เล็กๆ แต่แน่นอน เราต้องพาหนังบรูไนไปนอกบ้าน แต่ฮาลิฟกับเรา เชื่อว่าก้าวแรกเราต้องทำให้คนบรูไนยอมรับหนังเราให้ได้ก่อน นี่คือจุดยืน ซึ่งตอนนี้ถือว่า เราทำได้แล้ว สเต็ปต่อไป ทางทีมก็มองว่าจะร่วมมือกับเพื่อนบ้านที่มีวิถีใกล้เคียงกัน อย่างซาราวัก ที่อยู่บนเกาะบอร์เนียวด้วยกัน หรืออาจจะมาร่วมกับทางเมืองไทย เพื่อให้ทีมงานได้เรียนรู้ด้วย และเพิ่มคนที่มี skill ด้านโพสต์โปรดักชั่น เพื่อให้มีคน local ทำงานที่บรูไนได้เลย เพราะคนบรูไนอาจจะมีเงิน ซื้อหาอุปกรณ์ แต่เรื่อง skills มันยังต้องใช้เวลาเรียนรู้อีกเยอะ

มีโรงเรียนสอนภาพยนตร์ไหม

ตอนนี้มีคนบรูไนไปเรียนฟิล์มต่างประเทศ แต่ยังไม่จบ แม้แต่โปรดักชั่นเฮ้าส์ ก็ยังขาดคน และมหาวิทยาลัยในบรูไน ก็เพิ่งจะเปิดสอนสาขา Media Profession ในระดับปริญญาตรี มาแค่ 3 หรือ 4 ปีเอง

ในประเทศอิสลามแบบนี้ มีเซนเซอร์ที่จะเป็นอุปสรรคของการทำหนังไหม

มี censorship หน่วยงานที่ดูแลแยกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกสังกัด Ministry of Home Affairs ก็เป็นผู้ทรงคุณวุฒิจากอาชีพต่างๆ ฝ่ายศาสนา ฝ่ายปกครอง ข้าราชการปลดเกษียณ จะดูแล งานภาพยนตร์และ public stage performance (การแสดงต่อสาธารณชน) กลุ่มสอง ขึ้นตรงตัวสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะเข้มงวดกับรายการทีวี ห้ามแสดงภาพลบของสังคมบรูไน หรือแสดงอิทธิพลที่ไม่ดี มีบางกรณีที่แสดงภาพไม่ดีแล้ว ต้องอธิบายให้ชัดว่าสิ่งนั้นคือความไม่ดี

มีเงื่อนไขอะไรที่ห้ามออกสื่อ

หลักๆ ก็มี ห้ามโปรโมทศาสนาอื่น ห้ามแสดงภาพผู้ชายผมยาว ซึ่งอันนี้ทาง Regalblue เคยทำละครทีวี พระเอกเป็นหนุ่มเซอร์ผมยาว เพราะเป็นนักเรียนเทคนิค เกือบจะโดนสถานีตัดงบประมาณไป 50 เปอร์เซ็นต์ จนเราแก้ปัญหา ถ่ายเพิ่ม เพิ่มฉากท้ายเรื่องที่พระเอกตัดผมสั้นเรียบร้อยและหันมาพูดกับกล้องบอกกับคนดูว่า ถ้าอยากประสบความสำเร็จต้องเป็นแบบเขานะ(อย่าไว้ผมยาว)

เซนเซอร์เข้มงวดมากไหม

มาก ถ้าเขาปฏิเสธแล้ว เราไม่มีสิทธิจะไปเรียกร้องเลย สื่ออย่างละครทีวี เขาจะเน้นแนวละครส่งเสริมภาพลักษณ์อันดีงาม ส่งเสริมสถาบันครอบครัว และอยากให้โปรโมทประเทศบรูไนในแนว Islamic Tourism Country แต่เขาไม่เข้มงวดกับสื่อจากต่างประเทศนะ ซีรี่ส์หรือหนังก็ฉายได้ อาจจะมีเรื่องเซ็กซ์ คนรักเพศเดียวกัน และเสื้อผ้าไม่เรียบร้อย ผู้หญิงในละครของบรูไนห้ามนุ่งกระโปรงสั้น ถ้าเป็นฝรั่งอาจจะอนุโลม

เคสล่าสุด หนังผีจากมาเลเซีย ของผู้กำกับชื่อ Mamat Khalid เพิ่งถูกห้ามฉาย เพราะแสดงภาพคนมุสลิมเชื่อผี ซึ่งมันขัดกับศาสนา แต่พวกหนังผีไทย เข้าฉายกันได้ไม่มีปัญหา เพราะเป็นคนศาสนาอื่น

คนมุสลิมไม่เชื่อผี แต่ดูหนังผีได้?

ได้ เราเองก็เคยทำละครแนวผี ซึ่งเป็นบทละครที่ทางสถานีโทรทัศน์เขาคัดมาแล้ว และเราเป็นโปรดักชั่นไปประมูลงานมาได้ เรื่อง Mystery of the Rented House ประมาณ 'ผีบ้านเช่า' ซึ่งได้รับความนิยมมาก ประเด็นอยู่ที่ว่า ทำเรื่องผีได้แต่ต้องให้เคลียร์ว่า ต้องไม่ให้แสดงให้เห็นว่าคนมุสลิมเชื่อหรือเกี่ยวข้องกับเรื่องผี

หรือต้องอธิบายให้ได้ว่าความเชื่อนั้นมันงมงายเพื่อไม่ให้ขัดกับหลักศาสนา และเราก็เตรียมตัวแล้วว่า ภาพยนตร์เรื่องที่สองจะเป็นหนังผี.