มาเฟียขาสั้น

เพราะ 'มาเฟียเด็ก' ไม่ใช่แค่เรื่องเด็กๆ แต่เป็นภาพสะท้อนความรุนแรงในโรงเรียน ที่หากไม่เร่งแก้ไขเราอาจได้มาเฟียผู้ใหญ่มาให้หนักใจในภายหลัง
" ทำไมหนูไม่อยากมาโรงเรียนล่ะ เรียนไม่สนุกเหรอคะ" ครูประจำชั้นถาม
" ............................. " เด็กเงียบ ไม่ตอบ
" เล่นกับเพื่อนๆ เป็นยังไงบ้าง มีใครรังแกรึป่าว " ครูถามอีก
" ไม่มีอะไรครับครู ผมแค่ไม่อยากมาเฉยๆ " เด็กปฏิเสธ
นี่เป็นเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ในเกือบทุกโรงเรียนของประเทศไทย เพราะทุกวันนี้กรณีของเด็กทะเลาะกัน ตั้งแก๊งเป็นมาเฟียเพื่อข่มขู่รีดไถเพื่อนนักเรียนในสถานศึกษาเริ่มมีให้เห็นบ่อยขึ้นตามข่าวรายวันทั่วไป โดยเฉพาะกับเด็กระดับชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้นที่มักเป็นฝ่ายถูกรังแก โดนทำร้ายร่างกาย หรือโดนรีดไถเงินจากนักเรียนรุ่นพี่
ล่าสุดช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมาก็พบกรณีลักษณะนี้อีกเช่นกัน เมื่อเด็กชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 รังแกเด็กชั้นอนุบาลในโรงเรียนเดียวกันจนได้รับบาดเจ็บสาหัส มีอาการแขนหัก บอบช้ำภายใน รวมถึงติดเชื้อในกระแสเลือดจนต้องส่งเข้าห้องไอซียูของโรงพยาบาลจุฬาฯ ตามข่าวระบุว่าก่อนที่จะนำตัวเด็กส่งโรงพยาบาล เด็กมีอาการนิ่งเงียบ บอกแต่เพียงว่าตนปวดแขนมาก แต่พอตกค่ำญาติสังเกตเห็นว่าเด็กมีอาการตัวร้อน ไข้สูง แขนบวมมากขึ้น ตกดึกเด็กมีอาการผวาและร้องออกมาว่า 'อย่าทำหนู หนูกลัวแล้ว'
มองผิวเผินอาจดูเหมือนเป็นเรื่องเด็กๆ ทะเลาะกันธรรมดา แต่หากพิจารณากันให้ดี เหตุการณ์เหล่านี้กำลังตอกย้ำกับสังคมไทยว่าปัญหาความรุนแรงในโรงเรียนนับวันยิ่งจะทวีความรุนแรงและพบบ่อยมากขึ้น
รวมกลุ่มตั้งแก๊งค์
ที่ผ่านมา แม้ว่าสถานศึกษา หน่วยงานต่างๆ เกี่ยวกับเด็ก รวมถึงครอบครัวจะระแวดระวังกับภัยลักษณะนี้อยู่พอสมควร แต่อาจเพราะคำว่า 'เวลา' ของผู้ใหญ่ยังมีให้กับปัญหานี้น้อยเกินไปโดยเฉพาะการเฝ้าระวังเด็กที่อยู่ในภาวะเสี่ยง พลั้งเผลอเพียงนิดเดียวเด็กหลายคนก็ตั้งตัวเป็นมาเฟียในรั้วโรงเรียนไปเรียบร้อยแล้ว ซ้ำร้ายยังส่งผลกระทบกับเด็กอีกกลุ่มที่ต้องตกที่นั่งลำบากกลายเป็นผู้ถูกละเมิด ถูกทำร้ายร่างกาย หรือถูกรีดไถเงิน
เมื่อ 2-3 ปีที่แล้วมีข้อมูลจากการวิจัยเรื่อง "มาเฟียเด็ก" ใน กทม. ของคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า ร้อยละ 18 ของนักเรียนในกลุ่มตัวอย่าง มีพฤติกรรมมาเฟียเด็ก ทั้งทำร้ายร่างกาย รีดไถเงิน เสพยา ค้ายา ขายบริการทางเพศ ซึ่งพบในทุกระดับ โดยเฉลี่ยเป็นเด็ก ป.4-ม.ต้น ที่พบความรุนแรงเดือนละ 2-3 ครั้ง และเป็นเด็กชายมากกว่าเด็กหญิง ซึ่งความรุนแรงเหล่านี้เด็กซึมซับมาจากครอบครัว จากวันนั้นถึงวันนี้ ไม่เพียงแต่ปัญหาไม่ได้หายไปไหน แต่ยังพบว่าแนวโน้มพฤติกรรมการใช้ความรุนแรงในเด็กมีรูปแบบที่หลากหลายซับซ้อนมากขึ้น และเด็กที่เข้าแก๊งก็มีอายุน้อยลงเรื่อยๆ
"เด็กที่ตั้งแก๊งขึ้นมาเพื่อข่มขู่หรือรีดไถผู้อื่นในปัจจุบันมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และส่งผลกระทบต่อเนื่องนำไปสู่ปัญหาทางสังคมได้อีกหลายรูปแบบ ที่พบมากที่สุดในปีนี้คือปัญหาความรุนแรงในเด็ก สองคือเรื่องยาเสพติด สามเป็นปัญหามายาวนานเลยคือปัญหาเด็กติดเกม อีกเรื่องคือปัญหาเด็ก ท้อง แท้ง ทิ้ง ทั้ง 4 เรื่องนี้คาบเกี่ยวทั้งช่วงประถมและมัธยม เด็กกลุ่มนี้มีประมาณ 25-50 คนในแต่ละตำบล ประเทศเรามีประมาณ 7,255 ตำบล ฉะนั้นเด็กกลุ่มนี้จึงมีมากถึง 200,000 - 300,000 คน มันจึงเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ยุวอาชญากร" สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เริ่มเล่าถึงสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงของเด็กไทย
ยิ่งไปกว่านั้น การรวบรมสมาชิกแล้วตั้งเป็นก๊วนแก๊งขึ้นมาก็กลายเป็นค่านิยมหรือเทรนด์ใหม่ไปแล้ว ยิ่งมีพรรคพวกมากก็ยิ่งมีอำนาจในการไปข่มขู่รีดไถ่ผู้อื่น อาจารย์สมพงษ์เล่าว่า สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นค่อนข้างมาก คือเด็กหันไปขายยาเสพติดและลักขโมย จะทำกันเป็นแก๊ง ตอนนี้จึงเห็นแก๊งต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ในกระบวนการที่เด็กตั้งแก๊งขึ้นมามันตอบโจทย์เขาได้ว่าเขาต้องการอะไร การตั้งชื่อแก๊งต่างๆ มันสะท้อนความเป็นตัวตนของกลุ่มเด็กกลุ่มนั้นๆ ว่ามีเป้าหมายเพื่ออะไร มีสัญลักษณ์อะไร กิจกรรมที่เขาทำนั้นเพื่ออะไร พอได้ผลประโยชน์มาก็เอามาแบ่งกัน
พฤติกรรมเลียนแบบ
แน่นอนว่าการเกิดขึ้นของแก๊งมาเฟียเด็กเป็นสิ่งที่สังคมปฏิเสธ ทุกคนต่างพยักหน้ารับโดยไม่มีข้อกังขาว่าเด็กกลุ่มนี้สมควรถูกลงโทษตามกฎหมาย ยิ่งไปกว่านั้นยังถูกสังคมมองว่าเป็นพวกเด็กเหลือขอ ขาดการดูแลอบรมสั่งสอน วันๆ ไม่ทำอะไรมีแต่สร้างความเดือดร้อน แต่รู้หรือไม่ ในความเป็นจริงแล้ว พฤติกรรมเหล่านี้พวกเขารับมาจากผู้ใหญ่ใกล้ตัวล้วนๆ เรียกว่าทั้งลอก ทั้งเรียนรู้ และซึมซับพฤติกรรมของผู้ใหญ่ที่เป็นแบบอย่างให้เห็น
ครูยุ่น - มนตรี สินทวิชัย เลขาธิการมูลนิธิคุ้มครองเด็ก ฉายภาพให้เห็นชัดเจนขึ้นว่า การที่เด็กกลุ่มนี้มีพฤติกรรมที่เรียกว่ามาเฟียนั้น จริงๆ แล้วมันคือพฤติกรรมของการชอบใช้อำนาจในแบบผิดๆ ไปรังแกผู้อื่น เป็นอำนาจนอกกฎเกณฑ์ซึ่งมาจากการเลียนแบบผู้ใหญ่ โดยจะแบ่งออกได้เป็นหลายสไตล์ พบเห็นได้ตั้งแต่วัยเด็กถึงวัยรุ่น
"ก็จะมีเรื่องการไถสตางค์เพื่อน ข่มขู่เอาของเพื่อน แล้วก็รังแกเพื่อน แสดงท่าทางต่างๆ ทำให้คนอื่นกลัวตัวเอง มีการรวบรวมพรรคพวกลูกน้อง มีการสั่งให้คนนี้ไปรังแกคนนั้นได้ ให้ลูกน้องปฏิบัติตามสั่งซึ่งทั้งเด็กประถม มัธยม แล้วก็เด็กที่อายุมากกว่าชั้นมัธยม ถ้าดูดีๆ พฤติกรรมนี้มันก็คือพฤติกรรมของผู้ใหญ่ คือผู้ใหญ่มักจะมีพฤติกรรมแสดงอำนาจให้คนอื่นกลัวแล้วมันก็อยู่ในสายตาเด็กมาตลอด"
ครูยุ่นบอกอีกว่า ลักษณะการข่มขู่นี้ไม่ได้เกิดเฉพาะในรั้วโรงเรียนเท่านั้น แต่ยังลุกลามไปถึงนอกโรงเรียนด้วย เด็กบางคนที่โดนเพื่อนข่มขู่รีดไถ กว่าครูจะทราบเรื่องก็โดนไปหลายครั้งแล้ว เพราะโดยธรรมชาติของเด็กที่เป็นฝ่ายถูกละเมิดสิทธิจะสังเกตได้ชัดเจนว่าเด็กจะปิดปากเงียบ เก็บตัว เป็นกังวลตลอดเวลา ไม่มีความสุข แต่พอครูหรือผู้ปกครองซักถามก็มักจะปฏิเสธไม่กล้าเล่าความจริงให้ผู้ใหญ่ฟัง ดังนั้นผู้ปกครองต้องหมั่นสังเกตพฤติกรรมของเด็ก และหาสาเหตุให้ได้ว่าทำไมเขาถึงไม่อยากไปโรงเรียน
"มันไม่ใช่เรื่องของการเรียนอย่างเดียว บางทีเป็นเรื่องของสังคมโรงเรียนด้วย ถ้าเรื่องเรียนไม่มีปัญหา มันก็ต้องเป็นเรื่องเพื่อน หรือครูที่สอน ถ้าลูกเคยไปโรงเรียนเป็นปกติทุกวัน แล้วอยู่ดีๆ มาบอกว่าไม่อยากไปโรงเรียนขึ้นมาเฉยๆ แต่ไม่มีปัญหาอะไรเลย ไม่อยากไปเอง แล้วพ่อแม่จะมาโกรธมาตีลูกเพราะไม่ยอมไปโรงเรียนแบบนี้ผมว่าไม่ใช่แล้ว คือพ่อแม่ต้องสังเกต ต้องเข้าไปคุยว่าทำไมเขาถึงกลัวขนาดนี้หรือปฏิเสธการไปโรงเรียนขนาดนี้ เพราะเด็กที่มีเรื่องอะไรในใจ เขาจะรู้สึกกดดันแล้วสุขภาพจิตเขาจะแย่"
วังวนความรุนแรง
จากลักษณะการข่มขู่ข่มเหงหลากหลายรูปแบบที่เกิดขึ้น การเข้าไปช่วยเหลือเด็กที่เป็นเหยื่อหรือแม้กระทั่งการแก้ไขปัญหาในองค์รวมดูจะทำได้ยาก เพราะปัญหานี้นับวันก็ยิ่งจะซับซ้อนมากขึ้น แต่หากทุกคนใส่ใจและตั้งใจที่จะช่วยกันแก้ไขก็อาจจะเริ่มง่ายๆ จากการช่วยกันสอดส่องและคัดกรองให้เห็นเด็กที่ถูกละเมิดเพื่อเข้าไปช่วยเหลือได้ง่ายขึ้น
ผศ.ดร.วิมลทิพย์ มุสิกพันธ์ นักวิชาการประจำสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว แนะนำว่า หากสังเกตเห็นพฤติกรรมของบุตรหลานที่เข้าไปรังแกเพื่อนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องเข้าไปถามและพูดคุย ต้องใช้แนวทางที่เป็นบวก ไม่ตี ไม่ดุ ไม่ว่า ถามเด็กก่อนว่าทำไมจึงทำแบบนี้กับเพื่อน มีอะไรที่คิดอยู่ในใจ สิ่งที่เขาพูดออกมาพ่อแม่จะพบประเด็นปัญหาเอง เช่น สมมติเด็กตอบว่า ก็เพื่อรังแกหนูก่อน พ่อแม่ก็จะมีหน้าที่ป้อนโปรแกรมว่าอย่างนี้เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง และแนะนำแนวทางที่ถูกที่ควรให้เขา
แต่หากเป็นเด็กโตขึ้นมาหน่อย ครูยุ่น แนะนำว่า พ่อแม่ควรมีมุมของความเป็นเพื่อนกับลูกหลานด้วย เพื่อว่าเวลาเขามีเรื่องอะไรไม่สบายใจจะได้กล้าเล่าให้ฟัง และต้องสร้างความมั่นใจให้ลูกด้วยว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรก็สามารถช่วยเหลือเขาได้ ให้เขาไว้ใจ โดยเฉพาะอะไรก็ตามที่ทำให้เขาถูกละเมิดสิทธิ พ่อแม่ต้องพร้อมที่จะอยู่ข้างเขา โดยเฉพาะในกรณีที่เขาถูกละเมิดหรือถูกทำให้กลัว พ่อแม่ต้องพร้อมที่จะปกป้องเขาตลอด แล้วก็ควรจะสังเกตด้วยว่าลูกลานผิดปกติไปจากเดิมไหม
"ต้องแยกให้ออก อย่าไปมองว่าเด็กโง่จนโดนคนอื่นไถเงิน จริงๆ ไม่ใช่นะ การที่เขาถูกรีดไถเงินไม่ได้แปลว่าเขาโง่ มันหมายความว่าเขาเป็นเหยื่อของเด็กอีกกลุ่มที่ใช้อำนาจในทางไม่ถูกต้องมากกว่า ในภาพใหญ่ถ้าแก้ไม่ได้ ก็เหมือนว่าเราไปส่งเสริมอำนาจที่มันผิด อำนาจที่มันนอกเหนือกฎเกณฑ์ ถ้าปล่อยให้คนเหล่านี้โตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ สังคมนี้จะเป็นอย่างไรล่ะ ก็จะได้ประชากรในประเทศที่ทำอะไรก็ผิดกฎผิดเกณฑ์ ผิดกฎหมาย แล้วมันก็เกิดการบ่มเพาะทักษะที่ไม่ดี ส่วนคนเป็นเหยื่อคนกลุ่มนี้ถ้าโตขึ้นเขาจะเป็นผู้ใหญ่ที่สุขภาพจิตแย่"
ก่อนที่โรงเรียนจะกลายเป็นแหล่งเพาะบ่มมาเฟียรุ่นเยาว์ ถึงเวลาหรือยังที่ทุกฝ่ายจะช่วยกันแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง บนพื้นฐานความเข้าใจที่ว่า เด็ก ไม่ว่าจะเป็น "ผู้กระทำ" หรือ "ถูกกระทำ" พวกเขาล้วนเป็นหยื่อความรุนแรงในสังคมที่มีผู้ใหญ่ทั้งหลายเป็นต้นแบบ
หนทางที่เหมาะสมจึงไม่เพียงปกป้องและเป็นกำลังใจให้กับเด็กที่ตกเป็นเหยื่อ แต่ต้องช่วยกันเปลี่ยนขาใหญ่ให้กลายเป็นเด็กดี เพื่อดึงพวกเขาออกจากวังวนของความรุนแรงเหล่านี้







