ฉึกฉัก.. รถรางเปลี่ยนชีวิต

ฉึกฉัก.. รถรางเปลี่ยนชีวิต

ประชานิยมหรือไม่ จะเกิดขึ้นจริงในไม่กี่ปีข้างหน้าได้จริงไหม สำหรับรถไฟความเร็วสูงที่หลายๆ คนใฝ่ฝัน แต่อย่างไรเสียมรดกร้อยปีจากยุคสร้างชาติอย่าง 'รถไฟไทย' ก็ยังคงต้องหาทางไปต่อให้ได้ในอนาคต

ให้ลองจินตนาการถึง 'รถไฟในฝัน' ในความคิดของคุณเป็นอย่างไร ?

ไม่ต้องถึงกับฟุ้ง(ซ่าน) จนอยากจะให้มีชานชาลาหมายเลขเศษสามส่วนสี่เหมือนในนิยายขายดีทั่วโลกอย่าง แฮรี่ พอตเตอร์ ขอแค่พอดีๆ ที่ยังพอจะเป็นจริงได้ คิดว่า พอจะมีไอเดียรถไฟในฝันของตัวเองกันบ้างไหม

ถ้าใครยังคิดไม่ออก ลองตามไปดูเคสรถไฟดีไซน์เจ๋งๆ ของ บริษัท คิวชู เรลเวย์ คอมปานี ที่เพิ่งจะหอบหิ้วผลงานออกแบบพร้อมเปิดตัวนิทรรศการ "รถไฟสายความสุข" ที่ TCDC โดยมีนายกฯ ปู ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาร่วมเปิดงาน และยังเปรียบถึงความสำคัญของการขนส่งระบบรางว่า คือ 'กระดูกสันหลัง' ที่จะนำพาความเจริญไปทุกเส้นทาง ก่อให้เกิดการสร้างรายได้ ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ

แต่จะรางคู่ รางเดี่ยว ความกว้างของล้อจะกี่เมตร จะเชื่อมต่อกับรางเพื่อนบ้านได้ไหม แล้วจะเป็นรถไฟความเร็วสูงปานจรวดสักเพียงใด ก็คงไม่สำคัญเท่ากับหน้าที่หลักของรถไฟ ที่อย่างไรเสียก็ยังเป็น 'รถสาธารณะ' ที่ต้องอำนวยประโยชน์แก่ผู้คนได้อย่างเต็มที่

โดยเฉพาะการเติมเต็มชีวิตคนหนึ่งๆ ให้ดีขึ้น โดยไม่บั่นทอนความเป็นอยู่ของใครอีกคนหนึ่ง จริงไหม ?

  • เศรษฐกิจริมราง

ราคาอสังหาริมทรัพย์ ตามประสาคตินิยมที่ว่า 'ความเจริญไปที่ไหน.. การลงทุนไปที่นั่น' ซึ่งทำให้ที่ดินแปรสภาพเป็นทองคำ โดยเฉพาะในรางในเมืองอย่างรถไฟฟ้าทั้งใต้ดินบนดินที่อำนวยเม็ดเงินไหลไปตามรางอย่างถ้วนหน้า

ชัดเจนจากอานิสงส์ของรถไฟฟ้าต่อราคาที่ดิน ซึ่ง ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส โดย ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ระบุไว้ชัดเจนว่า "รถไฟฟ้าทำให้ราคาที่ดินพุ่งขึ้นอย่างมาก"

ปัจจุบันที่ดินบริเวณใกล้เคียงกับสถานีรถไฟฟ้า 112 สาย ราคาเฉลี่ยคือ 392,955 บาทต่อตารางวา และหากจำเพาะลงไป ที่สยามสแควร์ เพลินจิต ชิดลม ราคาตารางวาละ 1,500,000 บาท ส่วนถนนวิทยุ และสุขุมวิทช่วงต้นระหว่างซอย 1-21 ตกที่ตารางวาละ 1,300,000 บาท ขณะที่สีลม และราชดำริ ราคาตารางวาละ 1,200,000 บาท

เสริมด้วยกรณีศึกษาการเปลี่ยนแปลงราคาที่ดินเพราะรถไฟฟ้า โดยอาศัยกรณีศึกษาที่ดินติดถนนสุขุมวิท บริเวณท้องฟ้าจำลอง กับที่ดินติดถนนพระรามสี่ใกล้แยกกล้วยน้ำไท โดยเห็นชัดเจนว่า ราคาที่ดินแตกต่างกันเพราะการเกิดขึ้นของรถไฟฟ้า

การเพิ่มขึ้นของราคาที่ดินในปี พ.ศ.2537-2555 ที่ดินที่กล้วยน้ำไทเพิ่มขึ้น 33 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่ดินที่ท้องฟ้าจำลองเพิ่มขึ้น 241 เปอร์เซ็นต์ ทำให้อัตราเพิ่มของราคาที่ดินต่อปี (ตามหลักดอกเบี้ยทบต้น) เพิ่มขึ้น 1.58 เปอร์เซ็นต์ และ 7.05 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ

พร้อมๆ กับราคาที่ดินอันแสนอู้ฟู่ ภาพป้ายรื้อถอนตามแนวรั้วสังกะสี ตึกร้างที่รอการทุบ ตลอดจนปั้นจั่นก่อสร้างอาคารสูง ที่พักอาศัยโมเดิร์น ตามประสาไลฟ์สไตล์คนเมืองก็ผุดขึ้นตามมา

ขณะที่พ่อค้าแม่ขายรายเก่าที่เคยตักข้าวแกง ลวกก๋วยเตี๋ยว หรือขายของชำสารพัดนึก ก็พากันเก็บข้างของย้ายออก เพื่อรอให้ชาวเมืองเก๋ๆ ชิคๆ แพ็คกระเป๋าเข้ามาเป็นประชากรแทนที่

ยังไม่นับถึงบรรดาแม่ค้าข้าวเหนียวไก่ย่างสีเหลืองหอมฟุ้ง ก๋วยเตี๋ยวแห้งใส่ห่อพอหนึ่งอิ่ม หรือจะหมูแผ่น หม้อแกง กระทั่งไข่ปิ้ง แล้วยังมีสารพัดลูกอม ยาดม ยาหม่อง และเครื่องดื่มหวานเย็นชื่นใจ ฯลฯ ที่อาศัยหากินตามแนวรถรางสายหลักของชาติทั้งสายเหนือ-ใต้-อีสาน จะได้รับอานิสงส์ของรางรถไฟที่สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจระดับรากหญ้าได้จริงหรือไม่?

เพราะถึงแม้ 'ระบบราง' จะสร้างความเจริญได้จริง แต่แน่ใจไหม ว่า จะทำให้ 'คนข้างราง' มีความสุข?

  • จับดีไซน์ใส่ม้าเหล็ก

จากภาวะขาดทุนยับเยิน 3 หมื่นล้านเยน ทั้งจากดอกเบี้ยเงินกู้ และยังต้องเจอปัญหาคนใช้บริการน้อย โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับรถยนต์ส่วนบุคคล ซึ่งสูงถึง 70 เปอร์เซ็นต์ และมีผู้เลือกใช้บริการขนส่งมวลชนราว 30 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งในจำนวนนั้นเลือกใช้บริการของ เจอาร์ คิวชู เพียง 5.6 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

โทชิฮิโกะ อาโอยากิ กรรมการผู้จัดการอาวุโส คิวชู เรลเวย์ คอมปานี เล่าถึงวิธีแก้ปัญหาในตอนนั้นว่า หากขึ้นค่าโดยสารเพื่อแก้ปัญหาขาดทุน จะส่งผลให้มีผู้โดยสารน้อยลง ต้องตัดค่าใช้จ่าย และทำให้บริการแย่ลงตามมา ซึ่งก็จะยิ่งทำให้คนขึ้นน้อยลงหนักกว่าเดิม

"ถ้าขึ้นค่าตั๋ว แล้วลดต้นทุน คนก็จะใช้น้อยลง แล้วผลมันเป็นวงจรอุบาทว์อย่างแน่นอน" อาโอยากิซัง เอ่ยถึงประสบการณ์ของผู้บริหารชุดก่อน ที่เคยแก้ปัญหาด้วยวิธีเข้าตาจนเช่นนั้น ก่อนจะปรับกระบวนคิด หันมาใช้เรื่องของดีไซน์มาเป็นทางแก้ปัญหา โดยทาบทามให้ เอย์จิ มิโตโอกะ นักออกแบบ และผู้ก่อตั้ง ดง ดีไซน์ แอสโซซิเอทส์ มาร่วมดีไซน์ประสบการณ์ใหม่ให้กับการเดินทางบนรถไฟของเจอาร์ คิวชู ทั้งปรับปรุงขบวนเก่าที่วิ่งอยู่เดิมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สนุกขึ้น พร้อมๆ กับเปิดเส้นทางใหม่เพื่อให้บริการรถไฟท่องเที่ยว

ตัวอย่างเช่น รถไฟรุ่น883 นามว่า 'โซนิก' ก็นำเสนอความสนุกสนาน ตั้งแต่ดีไซน์การตกแต่งสีสันสุดแซ่บ มีที่พิงศีรษะคล้ายหัวมิคกี้เมาส์ แล้วยังมีหัวขบวนรถไฟที่เป็นขวัญใจของเด็กๆ เพราะเลียนแบบหุ่นยนต์นักรบ พร้อมๆ กันก็พัฒนาให้สามารถทำความเร็วได้สูงขึ้น เพียงแค่ทำให้รถไม่ต้องลดความเร็วในขณะเข้าโค้งด้วยนวัตกรรมที่เรียกว่า Tilding Train ก็ทำให้ย่นระยะเวลาไปได้ถึง 20 นาที

หรืออย่างขบวนรถไฟท่องเที่ยวแบบรถด่วนที่ชื่อว่า Ibusuki no Tamatebako ก็มีคอนเซปท์มาจากตำนานเรื่อง อุชิมา ทาโร่ โดยมาแบบเก๋ไก๋ สองสีทูโทน สีขาวเป็นฝั่งเลียบทะเล ส่วนสีดำเป็นฝั่งภูเขา นอกจากนี้ก็ยังจัดวางเก้าอี้โดยหันข้างให้ดูวิวกันให้หนำใจ

และยังมีขบวนรถไฟเด็กเล่นอย่าง Umisachi Yamasachi ที่สร้างจำลองจากรถไฟไม้ ของเล่นของเด็กๆ ส่วนของผู้ใหญ่ก็มีขบวนหรูๆ อย่าง A-Train ซึ่งมีดนตรีแจ๊สบรรเลงระหว่างนั่งชิลชมวิวริมราง เป็นต้น

พร้อมๆ กับโมเดลเพิ่มรายได้โดยสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวแบบใหม่ๆ ทุกเส้นทางที่รถไฟของเจอาร์ คิวชู วิ่งไปถึง ก็นำเอาความร่วมมือทางเศรษฐกิจท่องถิ่นในหลากหลายรูปแบบด้วย

อย่างเช่น การเชื่อมต่อที่รวดเร็วจากฟุกุโอกะไปยังคาโกชิมะ ที่ช่วยให้การท่องเที่ยวในเขตคิริชิมะของจังหวัดคาโกชิมะซึ่งเคยเดินทางยากลำบาก ใช้เวลานาน สามารถต้อนรับนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น เกิดเป็นประสบการณ์การท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ที่ทั้ง 'รวดเร็ว' และ 'เนิบช้า' ได้ในเวลาเดียวกัน

และไม่ใช่แค่คาโกชิมะเท่านั้นที่ได้รับอานิสงส์ แต่ทุกๆ ที่ที่รางรถไฟของเจอาร์ คิวชู ไปถึง ที่นั่นก็ จะเกิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ตามมา อาทิ การจัดทำเส้นทางท่องเที่ยว การจำหน่ายสินค้าท้องถิ่น และผลผลิตทางการเษตรที่สาถนีรถไฟ ร้าน อาหาร ไปจนถึงห้างสรรพสินค้าแสนสะดวกสบาย และโรงแรมหรู ที่พักอาศัยชั้นเยี่ยมก็อยู่ร่วมกันได้

นอกจากนี้เจอาร์คิวชู ซึ่งเป็นบริษัทที่มีพื้นฐานมาจากท้องถิ่นอยู่แล้ว ก็ได้ร่วมพลิกฟื้นภูมิภาคคิวชูผ่านการลงทุนในภาคการเกษตรกรรม โดยคัดเลือกและทำงานร่วมกับเกษตรกรฝีมือดีในการเฟ้นหาผลผลิตทางการเกษตรป้อนสู่ตลาด ส่งไปเป็นวัตถุดิบสำหรับโรงแรม หรือภัตตาคารในเครือของบริษัทฯ และนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อจำหน่ายบนรถไฟสายต่างๆ อย่างเช่น ไข่ไก่แบรนด์ "อุชิ โนะ ทามาโกะ" และข้าวกล่องรถไฟ (เอกิเบง) จากวัตถุดิบในชุมชน ซึ่งปัจจุบันคิวชู มีเอกิเบงวางขายมากถึงกว่า 100 ชนิด เป็นต้น

...เมื่อย้อนกลับมาดูโมเดลของพี่ไทยเรา แน่นอนว่า การเพิ่มเส้นทางรถไฟ แผนพัฒนาระบบราง ตลอดจนก้าวข้ามไปสู่รถไฟความเร็วสูง ไม่ว่าจะไหนๆ ไม่เฉพาะประเทศไทยเอง ก็เนื่องจากคำว่า 'พัฒนา' เพียงคำเดียวดเท่านั้น

แต่หากการพัฒนานั้น เกิดขึ้นบนพื้นฐานแนวคิดบูชาเทคโนโลยีสุดล้ำ วิศวกรรมไฮเทค โดยไร้ 'จุดร่วม' ของสังคม ก็คงเหมือนอย่างที่เจ้าของโรงแรมบาเดนไวเลอห์ในเยอรมนี บอกแก่ผู้จัดการออนเซนในเครือเจอาร์คิวชูเมื่อครั้งที่เดินทางไปดูงาน เพื่อมองหาโมเดลการพัฒนาธุรกิจที่เหมาะสมกับชุมชน ว่า

"ถ้าคุณเริ่มวางผังเมืองโดยลำพัง สุดท้ายในเมืองก็จะเหลือคุณเพียงคนเดียว การวางผังเมืองโดยได้รับความร่วมมือเป็นเรื่องสำคัญมาก"

...และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น คือ จะต้องค้นหาจิตวิญญาณของเมืองให้พบ!