กลิ่นเขม่าของ เควนติน ในกระสุน Django Unchained

เปิดใจผู้กำกับหนังคนดัง
ผู้ชายคนหนึ่งเคยถูกชื่นชมยกย่องว่า ไต่เต้าขึ้นมาเป็นผู้กำกับหนัง จากพนักงานร้านวิดีโอเช่า แต่ตัวตนของเขาบอกกับสื่อบ่อยๆ ว่า การนั่งดูหนังสยองขวัญแทนการกินข้าว และราวกับทำวิทยานิพนธ์เล่มหนาของปริญญาโท เป็นสิ่งที่เขาภาคภูมิใจมากกว่า
เสียงอื้ออึงทั้ง Reservoir Dogs กับ Pulp Fiction ในต้นทศวรรษที่ 90 ยังไม่ทำให้ เควนติน ตารันติโน ถูกกล่าวขานเนิ่นนาน แต่เมื่อเขาหนักแน่น สานต่อในการทำงานมา 20 ปี นี่จึงน่าจะเป็นช่วงเวลาที่วงการหนังควรจะสรรเสริญผู้กำกับจอมกวน(ตีน)คนนี้แล้ว
เขาไม่ใช่คนที่กวนตีนเล่น เพราะถ้าดูจากตัวละคร ไล่มาจากเรื่องแรกจนถึง Django Unchained อาการกวนบาทาของเขา มีอยู่อย่างสม่ำเสมอมาตลอด (ซึ่งในรอบสื่อที่ฉายไปแล้วที่ CTW คนดูได้เห็นอาการกวนอีกครั้ง ผ่านพระเอกผิวสี)
ถ้า Stoker คือ Psychological Thriller เสียแล้ว หนังอย่าง Django Unchained ก็คงเรียกได้ว่าเป็น Blaxploitation ในแบบที่เควนตินผสมผสานเอาเองหมด (มาจากคำว่า black ผสมกับ exploitation หมายถึงหนังที่มีตัวเอกเป็นคนผิวสี)
พล็อตเรื่องของ Django Unchained เกิดขึ้นทางตอนใต้ สองปีก่อนหน้าสงครามกลางเมืองจะอุบัติ “จังโก้” ทาสผู้ซึ่งประวัติร้ายกาจของเขากับอดีตนายจ้างทำให้เขาต้องเผชิญหน้ากับ ดร.คิง ชูลซ์ นักล่าค่าหัวชาวเยอรมัน ชูลซ์กำลังไล่ล่าพี่น้องฆาตกรบริทเทิล และมีเพียง จังโก้ เท่านั้นที่สามารถนำทางเขาไปสู่เหยื่อที่เขาหมายปองได้
ชูลซ์ ผู้มีนิสัยพิลึกพิลั่นได้ให้จังโก้นำทางเขา โดยสัญญาว่าจะปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระ หลังจากจับตัวพี่น้องบริทเทิลได้ ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย
และระหว่างที่กำลังจะฉายในบ้านเราวันที่ 14 มีนาคมนี้ นิตยสาร GQ ก็ไปสัมภาษณ์มุมมองความคิดส่วนตัวมาให้เราอ่านกัน
0 0 0 0 0
ทำไมคุณถึงยังอยากทำหนังอยู่เรื่อยๆ
ผมคงไม่มีทางเลือกมั้ง คงเพราะผมจำเป็นต้องทำ ผมสมควรทำ ทำไมโมสาร์ทเล่นเปียโน? เห็นไหม คำตอบเหมือนกัน ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมผมทำ ผมบอกไม่ได้ สมมติว่ามีบาร์สำหรับผู้กำกับชั้นยอดนะ Hitchcock ก็นั่งอยู่ในนั้น John Ford, Martin Scorsese, Antonioni หรือแม้แต่ Steven Spielberg ก็นั่งอยู่ ผมไม่อยากแม้แต่จะมีส่วนร่วม มีโอกาสไปนั่งในบาร์นั้นเลย ผมไม่ชอบบุคคลเหล่านั้น นั่นไม่ใช่บาร์ที่ผมจะไป บาร์ของผมต้องเป็นบาร์ที่ J.D. Salinger, Bob Dylan พวกเขาอยู่เหนือศิลปะทั้งปวง
เท่าที่สังเกต หนังของคุณชอบแอบถ่ายเท้าของผู้หญิง
ถูกต้อง ผมว่านี่แหละคือสัญลักษณ์ของหนังเควนติน ดูอย่างในหนังของผู้กำกับมือดีส่วนมากซิ ถ้าเรื่องนั้นมีผู้หญิงมีเป็นตัวหลัก เรื่องนั้นก็ต้องมีฉากเท้าของพวกหล่อนเต็มไปหมด เพราะมันเป็นเทคนิคทางหนังไง เดี๋ยวนี้คนเห็นว่าเท้าเซ็กซี่ขึ้นเรื่อย ๆ ดูอย่าง Jane Campion ที่ทำหนังเรื่อง In the Cut ซิ มีเป็นล้านช็อตเลยมั้งที่ถ่ายเท้าของ Meg Ryan หรือไม่ก็หนัง The Virgin Suicides ของ Sofia Coppola เธอถ่ายเท้าประจำ หรือหากจะดูในกรณีของ Death Proof แน่หล่ะเรื่องนี้เป็นหนัง Exploitation เป็นหนังที่สมควรจะเซ็กซี่อยู่ในตัว ผมจึงต้องถ่ายทอดสิ่งที่ผมคิดว่าเซ็กซี่ นั่นคือ ขา ก้น และที่สำคัญ เท้าของผู้หญิง
บ่อยครั้งคุณมักชอบเล่นกับความรุนแรงที่ไม่มันตั้งตัว ต่อคนดู มันมีความทรงจำอะไร หรือแค่เทคนิคหนัง
ความรุนแรงของหนัง โดยเฉพาะสยองขวัญจึงเป็นการกระทำของอีกคน ที่มีภาพของความน่าขนพองสยองเกล้า เต็มไปด้วยเลือดนั่นเอง คุณรู้มั้ยว่าความรุนแรงมีบทบาทอย่างไรในหนังแนว grindhouse คำตอบคือ มีบทบาทสำคัญมาก อาจเรียกได้ว่าสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้เลยทีเดียว นี่ก็คือความหมายของหนังแนว exploitation ชื่อนี้ไม่ได้มีความหมายในแง่ลบ
ไม่ได้หมายความรวมไปถึงการที่มีใครถูกใช้ประโยชน์หรืออะไรทำนองนั้น แต่เพราะหนังเกรดบีประเภทนี้ ไม่ได้มีนักแสดงมีชื่ออย่าง Paul Newman ไม่มี Barbra Streisand และไม่ได้มีนักแสดงโด่งดังอะไรที่จะโชว์หราบนโปสเตอร์เพื่อเรียกคนดูได้ คนสร้างหนังจึงต้องใช้ความเป็น exploitation คือต้องเพิ่มฉากเลิฟซีน มีเซ็กส์อันโจ่งแจ้ง ต้องเลือดอาบ ต้องแปลกประหลาด สุดขั้วเข้าไว้ เพื่อเป็นจุดขายนั่นเอง
เคยมีข่าวว่าคุณไปชกมวยกับบ็อบ ดิแลน
เขามีค่ายมวย ประมาณหกปีที่แล้วผมได้ไปใช้ค่ายมวยของเขา เลยรู้จักกันที่นั่น เป็นเหมือนที่ฝึกส่วนตัวทำนองนั้น ในเมือง ผมรู้จักเขาที่นั่น และเราก็คลิกกันมาก เราได้แลกเปลี่ยนบทสนทนาที่น่าประทับใจ แล้วเราก็ได้แลกหมัดกันซัก 2-3 ยก เขาก็ต้องการให้ผมชกด้วย แบบไม่ให้เกร็งไง เล่นเลยเต็มที่ เหมือนที่เขาเล่นกับคนอื่นๆ เขาต้องการเล่นจริงๆ
และเล่นหนักด้วย จริง ๆ แล้วเขาต่อยผมแรงมากครั้งหนึ่ง ตอนนั้นเรากำลังแลกหมัดกัน มีช่วงหนึ่งที่ผมไม่ทันระวังตัว เลยโดนชกเข้าให้ มันเป็นหมัดที่เยี่ยมมาก ๆ (ทำท่าเอี้ยวตัว) ผมหลบซ้าย และการ์ดไว้ซักพัก แล้วเขาก็ชกผมอีก จริง ๆ ผมต้องเคลื่อนไหวตัวให้เร็ว แต่ผมกลับไปจ้องหมัดเขา จากจุดนั้นมาจุดนี้ ผมก็เลยโดนเต็ม ๆ (หัวเราะ)
ฉากยิงกันใน Django Unchained หรือใน Pulp Fiction รวมทั้งหนังอื่นๆ มันมีความคล้ายกับการใส่ความรุนแรงรถชนกันในหนังของคุณเพื่ออะไร
ผมว่ามันก็เหมือนเซ็กส์ ทุกคนต่างก็ต้องการถึงจุดสุดยอดกันทั้งนั้น หรือว่าไม่จริง? ผมก็เพียงช่วยให้คุณสำเร็จเสร็จกิจที่ปรารถนา แล้วตอนที่รถชนกันนั้น มันก็เหมือนคุณเสร็จแล้วนั่นเอง พอจะเข้าใจใช่มั้ย? ผมทำให้คุณอยาก แล้วคุณก็ไม่ต้องการให้ผมหยุดในวินาทีสุดท้ายนั้นด้วย เหมือนพวกคุณรอให้สิ่งเลวร้ายเกิดขึ้น รอไป ลุ้นไปเรื่อย ๆ
จนพอถึงจุดนั้น เหมือนพอคุณเสร็จ คุณก็จะรู้สึกว่า ไม่นะ มันแย่มาก สิ่งที่มันเกิดขึ้นมันเลวร้ายกว่าสิ่งใดที่คุณจินตนาการไว้ คุณกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดไปอย่างไม่ตั้งใจ
แล้ว Blaxploitation อย่าง Django Unchained ต้องการขับเน้นอะไร
ชะตากรรมของคนผิวสี ที่ต้องเจอกับชีวิตที่โหดร้าย มันไม่ใช่ Dark แต่เป็น Black หรือ Blax ในศัพท์ตระกูลของหนัง
การทำหนังของคุณ เหมือนบำบัดตัวเองคล้ายผู้กำกับบางคนหรือเปล่า
ผมคิดว่าความรุนแรงที่มีประโยชน์ในหนัง เป็นการทำให้ผมสำเร็จความใคร่มากกว่า มีคนมาชมว่าหนังของผมถ่ายภาพออกมาวย หรือนักแสดงมีหน้าตาที่ดี มากกว่านะ..







