เปลี่ยน 'น้ำ' เป็น 'ไฟ' ที่ปายสองแง่

แม้น้่ำประปาภูเขาจะมีอยู่จำกัด แต่ถ้ารู้จักใช้ รู้จักคิด ก็สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ และนี่คือตัวอย่างหนึ่งของการเลือกใช้พลังงานให้เหมาะกับพื้นที่
ภาพเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สว่างไสวไม่มีวันหลับ อาจเป็นภาพชินตา ทว่า ถ้าวันหนึ่งไม่มีไฟฟ้า เมืองอันโอ่อ่าจะอยู่อย่างไร หรือแม้แต่มีเพียงดวงไฟเล็กๆ ไม่กี่ดวง...ก็คงไม่ชิน
เข้าฤดูร้อน อากาศก็ร้อนเต็มที พัดลม เครื่องปรับอากาศ เครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ถูกระดมใช้อย่างไม่บันยะบันยัง
ขึ้นชื่อว่า เครื่องใช้ไฟฟ้าก็ต้องอาศัยไฟฟ้าเป็นพลังงาน มิเช่นนั้น พัดลมซึ่งเคยหมุนแรงและเครื่องปรับอากาศแสนเย็นสบาย ก็กลายเป็นเพียงเศษเหล็กเศษพลาสติกเท่านั้น แต่จะมีกี่คนที่ใส่ใจว่าเรื่องราวเหล่านี้จะเกิดขึ้น ไฟฟ้าที่น่าจะมีมหาศาลจะหมดลงไปได้อย่างไร...จนกระทั่งไม่นานนี้ กระแสข่าวที่ชวนตกตะลึง ก็ทำให้หลายคน (โดยเฉพาะคนเมือง) ต้องนั่งใจสั่นกลัววันที่ 5 เมษายน 2556 จะมาถึง
เพราะในช่วงวันดังกล่าวประเทศเพื่อนบ้านซึ่งเป็นผู้ผลิตและขายไฟฟ้าแก่ไทยจะปรับปรุงระบบ ซึ่งนั่นทำให้ต้องหยุดจ่ายไฟฟ้าแก่ไทย ส่งผลให้กระแสไฟฟ้าสำรองที่ไทยมีในวันที่ 5 เมษายนซึ่งเชื่อกันว่าจะเป็นวันที่ต้องใช้ไฟฟ้ามากที่สุดวันหนึ่ง เหลือน้อยจนอาจทำให้เกิดเหตุการณ์ไฟฟ้าดับทั่วประเทศ หรืออย่างดีก็หลายพื้นที่
กระทั่งทุกวันนี้มีผู้หลักผู้ใหญ่ออกมาชี้แจงแล้วว่า สถานการณ์อาจไม่เลวร้ายเช่นนั้น เพราะหาทางป้องกันแก้ไขไว้เรียบร้อยแล้ว...
ยังไม่ถึงวันก็ไม่อาจบอกอะไรได้เต็มปาก จะมีกี่พื้นที่ที่ไฟฟ้าดับ ประชาชนกี่มากน้อยต้องโชคร้ายรับเคราะห์นี้ แต่มีที่แห่งหนึ่งไม่เดือดร้อนแน่นอน ถึงไม่ได้ไฟฟ้าจากการไฟฟ้าฯ ปายสองแง่ จ.แม่ฮ่องสอน ก็ยังสว่างไสวเสมอ
-1-
เดิมที ชุมชนแห่งนี้ยามมืดก็มืดสนิท มีเพียงแสงดาวและแสงจันทร์ การสัญจรไปมายามค่ำคืนจึงแสนลำบาก...
จนกระทั่งปี 2550 คณะวิจัยจาก สกว. ได้เข้าไปทำโครงการที่บ้านหนองขาว จ.แม่ฮ่องสอน เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านซึ่งประสบปัญหาทางเดินหายใจ เพราะต้องก่อไฟในบ้านที่ไม่มีหน้าต่าง เพื่อต่อสู้กับอากาศหนาว อีกทั้งชาวบ้านหนองขาวยังทิ้งเครื่องโซล่าโฮมที่นักพลังงานมอบให้ใช้ผลิตไฟฟ้า กลายเป็นของไร้ค่า ใช้ได้แค่ตากพริก
ผู้ช่วยศาสตราจารย์เสริมสุข บัวเจริญ จากศูนย์วิจัยพลังงาน มหาวิทยาลัยแม่โจ้ อธิบาย เพราะชาวบ้านได้รับแต่เครื่องมือ ทว่า ไม่ได้รับความรู้เพื่อนำไปใช้ ผลลัพธ์จึงเป็นเช่นนี้
"โซล่าโฮม หรือแผงโซล่าเซลล์ที่ไปทิ้งไว้ให้เขาเมื่อหลายปีที่แล้ว คนบริโภคไม่มีการเรียนรู้ที่จะใช้มันให้ถูกที่ถูกทาง เขาไม่รู้ จริงๆ มันไม่เสีย แผงเล็กนิดเดียว แต่แบตลูกเบ้อเร่อ พอชาร์จก็ชาร์จไม่เต็ม แบตก็เสียไว"
ถัดมาอีกสามปี มีการประชุมที่แม่สะเรียง จ.เชียงราย ทุกเรื่องราวปัญหาถูกหยิบขึ้นมาถกกัน ตั้งแต่เรื่องพลังงาน การท่องเที่ยว ขยะ ฯลฯ อ.เสริมสุข จึงได้พบกับนายทหารท่านหนึ่ง ประเด็นปัญหาที่คล้ายคลึงกันจึงถูกขมวดเป็นปมเดียว
"วันนั้นได้เจอผู้การหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 36 ท่านพูดถึงทหารตามแนวชายแดนที่ทำหน้าที่ดูแลชายแดน ต้องใช้วิทยุเพื่อการสื่อสาร ที่นี่บางฐานเวลาอากาศปิด โซล่าเซลล์จบ เพราะฉะนั้นพลังงานสำรองจึงค่อนข้างมีปัญหา ก็กระทบภารกิจ"
เขาและคณะวิจัยจึงริเริ่มโครงการพัฒนาพลังงานทดแทนขึ้น เพื่อช่วยเหลือทั้งชาวบ้านและทหาร โดยเริ่มที่ทหารก่อนเพื่อเป็นตัวอย่าง และเมื่อทหารทำได้แล้วก็นำไปเผยแพร่ต่อให้แก่ชาวบ้าน ซึ่งเดิมทีไม่มีปฏิสัมพันธ์กันนัก ต่างฝ่ายต่างระแวงซึ่งกันและกัน
"เมื่อก่อนไม่รักทหาร เพราะไม่ได้เข้าหากันเหมือนอย่างทุกวันนี้ เดี๋ยวนี้มีอะไรก็ช่วยเหลือกัน" แอโจ่ จะเสย ผู้นำชุมชนบ้านปายสองแง่ กล่าว
-2-
ตั้งแต่เห็นปัญหาจนมองเห็นทางแก้อย่างเป็นรูปธรรม กระแสน้ำที่ไหลแรงพัดพาเอาความหวังและพลังงานมาด้วย อ.เสริมสุขเล่าว่า บนพื้นที่สูงมีประปาภูเขา น่าจะใช้ประโยชน์ได้ดีทีเดียว
"เราได้เจอน้ำประปาภูเขาที่น่าจะเป็นประโยชน์ เราได้ข้อมูลว่าเขาปล่อยให้น้ำไหลไปเฉยๆ ผมก็บอกว่าก่อนใช้น้ำก็เอามาปั่นไฟใช้ก่อนแล้วกัน"
แต่มีปัญหาหนึ่งรออยู่ คือ ปริมาณน้ำบนภูเขามีเท่าที่ธรรมชาติให้มา เมื่อควบคุมข้อจำกัดดังกล่าวไม่ได้ ก็ต้องจัดการที่ความอยากได้อยากมีของชาวบ้านเอง
"น้ำต้นทุนบนภูเขาก็มีอยู่แค่นั้นแหละ เราก็ออกแบบพื้นที่ให้เหมาะกับแต่ละที่ สิ่งหนึ่งที่เราพยายามบอกชุมชน คือ มีเท่าไรให้ใช้เท่านั้น ใช้อย่างพอเพียง อย่างไฟฟ้านี่ ให้ใช้แสงสว่างอ่านหนังสือก่อนนะ อย่างอื่นเอาไว้ทีหลัง ถ้าน้ำพอ เราก็ทำเพิ่มได้ ทีนี้เขาถามว่าจะทำอย่างไรให้น้ำพอ เราบอก ก็ป่าเยอะๆ สิ เราจะผูกตรงนี้ไว้ตลอด"
กังหันน้ำจึงเกิดขึ้นเพื่อหมุนเอาพลังงานศักย์สร้างเป็นพลังงานจลน์ ขณะเดียวกันก็หมุนวิถีชีวิตแบบเดิมให้เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นบนความพอเพียงและยั่งยืนดังที่อ.เสริมสุขกล่าวว่า "มีป่า มีน้ำ มีไฟฟ้า"
"เราทำกังหันน้ำ เพราะมันได้น้ำได้เนื้อดี มันเป็นเรื่องที่ผูกกับการอนุรักษ์ได้ดี ถ้าใครเคยได้ยินกระแสพระราชดำรัสของพระเทพฯ จะพูดเรื่องพลังน้ำเสมอ ซึ่งผูกกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งที่จะให้คนปฏิบัติตามได้ คือ ให้เขาเรียนรู้ด้วยตัวเอง"
ทั้งทหารและชาวบ้านก็ได้เรียนรู้และลงมือปฏิบัติด้วยตัวเอง...
เมื่อฟ้ามืดลงแสงจากโคมไฟดวงน้อยๆ ที่ติดตามรายทางจะส่องสว่างแก่ชาวบ้าน แม้แสงไม่มากถึงขั้นมองเห็นทุกสิ่งท่ามกลางความมืด แต่วันนี้ชาวบ้านก็ไม่ต้องเสี่ยงกับงูเงี้ยวเขี้ยวขอ สัตว์มีพิษต่างๆ นานา หรือไม่ต้องกลัวตกหลุมบ่อที่ความมืดอำพรางไว้ในอดีต
"ผมยืดหยัดทำแบบหิ่งห้อย 2-5 กิโลวัตต์ ไม่ทำใหญ่กว่านั้น เพราะน้ำมีแค่นี้ แต่ถ้าบางพื้นที่มีน้ำมากกว่า ก็ทำใหญ่กว่านี้ได้ ขึ้นอยู่กับบริบทพื้นที่นั้นๆ และดูความต้องการด้วย น้ำเยอะก็จริง แต่ความต้องการไม่มากก็ไม่ต้องทำใหญ่ เพราะทำใหญ่ผลกระทบก็เยอะด้วย อย่างฝายนี่ ถ้าต้องการเมกะวัตต์เยอะๆ ต้องกั้นน้ำเยอะ ได้อย่างเสียอย่าง เราจึงต้องทำให้เสียน้อยที่สุด เราสอนให้เขาทำกันเองได้ โคมไฟ อะไรต่อมิอะไรพวกนี้ไม่ใช่ผมทำ เขาทำกันเอง พอทำปั๊บ ครั้งแรกจะร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ได้หรอก มันจะพัฒนาจากการเรียนรู้ขึ้นไป นี่คือสิ่งที่ได้ตามมา"
-3-
ต้องยอมรับว่าในอดีตพื้นที่ปายสองแง่เป็นเส้นทางลำเลียงยาเสพติดและสิ่งผิดกฎหมาย อย่างที่ แอโจ่ จะเสย บอกไว้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างชาวบ้านกับทหารจึงไม่ค่อยสู้ดีนัก แต่ด้วยพลังงานทดแทนความไม่เข้าใจกันของสองฝ่าย ก็ถูกพังทลายและแทนที่ด้วยความรักกันแน่นแฟ้น
"ตอนนี้รักทหารมาก รักทหารขนาดเลย (หัวเราะ)" แอโจ่บอก
เพราะก่อนหน้านี้สิ่งหนึ่งที่ชาวบ้านไม่เคยสัมผัสและปรารถนาที่สุดคือไฟฟ้า ด้วยค่าที่เป็นชาวเขาชาวดอย ห่างไกลระบบสาธารณูปโภคทุกอย่าง จึงกลายเป็นประชาชนประเภทตกสำรวจ
อาโจ่เล่าว่า พอทหารบอกว่าจะเอาไฟฟ้ามาให้ทุกคนดีใจมาก ทุกคนยินดีให้ความร่วมมือแม้ไฟฟ้านั้นจะไม่มากมาย...แต่ก็ยังมี
"ทุกคนเห็นดีเลย เพราะเราอยากได้ไฟฟ้า ถ้าอาจารย์หรือทหารไม่อยู่ แผงควบคุมอยู่ที่โรงเรียน ชาวบ้านจะดูแลเอง ทหารสอนเราหมดเลย สอนง่ายๆ ไฟมากับไม่มาแล้วต้องทำอย่างไร สิ่งที่อยากได้ที่สุดในชีวิต ก็อยากได้ไฟฟ้านี่แหละ (หัวเราะ) ไฟฟ้ามีประโยชน์หลายอย่าง เมื่อก่อนเราใช้ไฟฉายเวลาเดินตอนกลางคืน เดี๋ยวนี้มองเห็นถนนหนทางโดยไม่ต้องมีไฟฉายก็ได้ เราเป็นชาวมูเซอแดง การมีไฟฟ้าใช้ไม่ขัดความเชื่อของเราเลย มีไฟฟ้าแล้วดี บ้านเราได้พัฒนาขึ้นมากเลย"
แอโจ่ เล่าถึงวันที่พวกเขามีไฟฟ้าใช้ครั้งแรกในชีวิตว่า ช่างเป็นวันที่น่าตื่นเต้น ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันทำเสาสำหรับติดตั้งไฟ พวกเขาเฝ้าดูทหารนำไฟมาติดให้ทีละดวงๆ จนกระทั่งครบทุกเสา
"ทีแรกเขาสั่งให้ตั้งเสาไว้ก่อน บ้านใครบ้านมัน ประมาณสี่สิบกว่าบ้าน วันที่จะเปิดไฟครั้งแรก พวกเราไปรวมตัวกัน"
และแล้วนาทีสำคัญก็มาถึง...
"พอไฟติดชาวบ้านก็ดีใจ เขาว่ามีไฟแล้ว เมื่อก่อนไม่เคยได้ใช้ไฟอย่างนี้สักครั้ง"
แสงไฟเพียงเล็กน้อยกับวิถีชีวิตอันเรียบง่ายของชาวบ้านที่นี่ดูจะไปกันได้ด้วยดี ตื่นเช้ามาหุงหาอาหาร เลี้ยงสัตว์ ทำเกษตร ตามธรรมชาติทุกกระบวนจะจบลงก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ดังนั้นความต้องการใช้ไฟจึงไม่มากมาย
"คืนนั้นบางคนก็นั่งมองไฟไป พูดไป ตรงนี้ก็ใช้ได้ ตรงนั้นก็ใช้ได้" แอโจ่บอก
...นั่นคือตัวอย่างชุมชนเล็กๆ แห่งหนึ่งบนยอดดอย ชุมชนที่ไม่เคยได้รับโอกาสอย่างที่ใครต่อมิใครได้รับ กระทั่งวันที่พวกเขามีไฟฟ้าเพียงน้อยนิดไว้ใช้ แต่ดูเหมือนว่ามันช่างยิ่งใหญ่ และเรียกรอยยิ้มให้เปื้อนใบหน้าพวกเขาได้ หากลองตั้งคำถาม ทำไมไฟฟ้าเล็กๆ น้อยๆ สร้างความสุขให้พวกเขาได้มากเพียงนี้? คำตอบอาจอยู่แค่คำว่า 'พอ' ซึ่งอนาคตพลังงานไทยต้องถูกปรับเปลี่ยนให้ 'พอ' เพื่อความยั่งยืนเช่นกัน และแน่นอนว่าชุมชนเมืองก็ทำได้
"ต่อไปนี้เริ่มไปคิดจัดการในบ้านได้แล้ว เรื่องไฟฟ้า แสงสว่างไม่ต้องใช้ไฟ 220 ใช้ 12 โวลท์นี่แหละ เพราะหลอด LED ก็สว่างมากพอ เดี๋ยวนี้สถาปนิกเริ่มดีไซน์แบบนี้แล้ว และจะลดค่าใช้จ่ายได้เยอะเลย ผมเคยบอกว่าขับรถปิ๊กอัพตลอดวัน ไฟไดชาร์จพอเต็มแล้วมันหมุนฟรีนะ เปลืองน้ำมันนะ ทำไมไม่ต่อไว้อีกสักตัว กลับมาบ้านยกลงติดไฟรั้ว มีพลทหารทำแล้วประหยัดได้เยอะเลย
บางทีเรามองข้ามไป เพราะคิดว่าเป็นเรื่องเล็กๆ มันก็น่าเสียดาย อนาคตไม่ต้องกลัวหรอก มันจะหมด แล้วเราจะดิ้นรนเอง ผมว่าสิบกว่าปีนี้มีปัญหาแล้ว" อ.เสริมสุข บอก




