สนามวิจารณ์ : โกโบริ 2013 อาจจะไม่ตาย

สนามวิจารณ์ : โกโบริ 2013 อาจจะไม่ตาย

สนามวิจารณ์เป็นพื้นที่งสำหรับการแสดงความคิดเห็นด้านสังคม ไลฟ์สไตล์ ศิลปวัฒนธรรม บันเทิง ส่งบทความของคุณมาได้ที่ [email protected]

ก่อนอื่นต้องเล่าถึงที่มาของความคิดนี้ คืนหนึ่ง ในขณะที่พวกเราพักจิบชาในห้องวิจัย นั่งมองดวงจันทร์กันแบบเพลียๆกับชีวิตเรียนปริญญาเอกโค้งสุดท้าย ข้าพเจ้าได้เล่าเรื่องคู่กรรมให้เพื่อนชาวต่างชาติฟัง และจบลงโดยบอกความรู้สึกที่คงไม่ต่างจากผู้หญิงไทยคนอื่นที่รู้จักเรื่องนี้

“I can’t resist this Japanese soldier.” ผู้ชายดีๆแบบนี้ต้องเก็บเอาไว้บนโลก พาร์วีซ์เพื่อนคนหนึ่งสวนขึ้นด้วยประโยคแห่งแรงบันดาลใจ

“Come on then, let’s save the Japanese guy.”

พาร์วีซ์ศึกษาการดัดแปลงบทละคร(Literary Adaptation) ขยายให้ฟังว่า การดัดแปลงบทประพันธ์ทำได้ถึงขั้นไม่ให้ตัวละครเอกตาย อย่างเรื่องแฮมเล็ต (Hamlet) ซึ่งมีการดัดแปลงในบางประเทศ ตัวละครเอกกลับไม่ตาย นั่นไม่ใช่เพราะผู้เขียนบทไม่สามารถเข้าถึงบทประพันธ์ดั้งเดิมหรือขาดความสามารถที่จะนำพาผู้ชมให้เข้าถึงสารัตถะของตัวบทเดิม แต่ต้องการส่งสารถึงผู้ชมที่เหมาะกับบริบทสังคมและยุคสมัย

การดัดแปลงที่กล้าขนาดนี้ ฝีมือต้อง “เจ๋ง” พอ เพราะผู้ชมส่วนใหญ่เข้าใจบทประพันธ์ชั้นครูดีถึงขนาดท่องได้ วิจารณ์ได้ การดัดแปลงจึงต้องทำบนพื้นฐานความรู้ที่แข็งแรง และทำให้ผู้ชมที่รักบทประพันธ์ดั่งเดิมอย่างหวงแหนรับได้ ที่สำคัญคือต้องไม่ทำให้ผู้เขียนเดิมเสียใจ แต่ต้องทำให้เข้าใจถึงความพยายามที่จะพัฒนาสืบทอด ต่อยอดความลุ่มลึกทางความคิด พาร์วีซ์อธิบายให้เห็นภาพว่าขนาดแฮมเล็ตยังถูกแปลงสัญชาติ เพราะแก่นความคิดที่ถูกใส่ลงไปไม่ใช่ปรัชญาตะวันตกอีกต่อไป ใครสนใจ หาอ่านเพิ่มเติมได้ในหนังสือชื่อ “Hamlet's Arab Journey: Shakespeare's Prince and Nasser's Ghost" เขียนโดย Margaret Litvin

เมื่อศึกษาดูนวนิยายรักระหว่างรบของชาติอื่น เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์ (Ernest Hemingway) เขียนเรื่อง “A Farewell to Arms” ซึ่งเป็นเรื่องราวความรักระหว่างเฮนรีทหารอเมริกันกับแคทเธอรีนพยาบาลชาวอังกฤษระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ผู้เขียนสร้างแรงผลักดันต่างๆให้ตัวละครทั้งคู่หนีไปจากสงคราม

พูดในเชิงสัญลักษณ์ก็คือ ทั้งคู่ถอดเสื้อผ้าทางสังคม ชุดทหารและชุดพยาบาลที่จองจำเขาทั้งสองให้อยู่ในหน้าที่ แล้วหนีไปอยู่ป่าในสวิสเซอร์แลนด์ เฮมิงเวย์มักจะให้ตัวละครเคลื่อนไหว ดิ้นรนต่อสู้ ความสง่างามของตัวละครก็คือการที่ได้ลุกขึ้นยืนลิ้มลองภาวะระหว่างความกล้ากับความกลัว ชื่อเรื่องก็มีความหมายถึงสองระดับ Arms ที่แปลว่าอาวุธ สื่อถึงการปฏิเสธที่จะมีส่วนร่วมในสงคราม และ Arms ที่แปลว่าอ้อมแขน การที่ตัวละครต้องบอกลาบุคคลอันเป็นที่รักชั่วนิรันดร์ ซึ่งสุดท้าย ตัวละครทั้งคู่ก็หนีไม่รอด เพราะเฮนรีเสียทั้งลูกที่กำลังจะคลอดออกมาและหญิงคนรัก

สิ่งที่เหลือคือความรักโดยปราศจากคนที่เขารักเช่นเดียวกับอังศุมาลิน สิ่งที่ต่างกันคือคู่กรรมเป็นตัวแทนการสอนแบบตะวันออกที่มองว่าคุณค่าของมนุษย์คือการอุทิศตนเพื่อหน้าที่ ต้องให้ประโยชน์ส่วมรวมอยู่เหนือประโยชน์ส่วนตน แต่ A Farewell to Arms สื่อปรัชญาตะวันตกที่สอนให้ขยับ เพื่อสร้างที่ยืนในระดับปัจเจกบุคคล แม้ว่าชัยชนะจะได้มาด้วยความยากเย็นหรือเป็นการต่อสู้ที่ไม่ได้อะไรเลยก็ตาม

ในคู่กรรม เหตุผลหลักที่คุณทมยันตีกระทำการประหารตัวละครเอก ก็คือ

1) เพื่อรักษาความเข้มข้นของความรักเอาไว้ นั่นหมายความว่า ถ้าปล่อยให้พ่อโกมะลิกับแม่อังสมหวังกันยาวๆ ความรักย่อมจางได้ ดังนั้น การที่จะให้ความรักมีรสชาติอมตะ ก็คือ ต้องปลิดชีพเสียตอนที่ยังสดใหม่ เพื่อนชายคนไทยเคยพูดว่า คุณทมยันตีทำร้ายอังศุมาลินมากหลือเกิน เพราะอังศุมาลินเองตอนจบก็มีสภาพตายทั้งเป็น เหมือนถูกแม่มดบีบบังคับให้ดื่มพิษความขื่นขมเข้าไปเต็มๆ แต่นึกดูอีกทีคุณทมยันตีไม่ได้ใจดำขนาดนั้น เพราะเธอยังมีแบตเตอร์รี่สำรองไว้ให้กับชีวิตของอังศุมาลินนั่นคือลูกในครรภ์ อย่างน้อยอังศุมาลินก็ได้นั่งชมปลาตะเพียนที่แขวนไว้หน้าบ้าน

2) การสร้างโครงเรื่อง(plotting) เพื่อตอกย้ำแนวคิดสันติภาพ (pro-peace novel) ยิ่งทำให้คนดูรักโกโบริได้มากแค่ไหน คนดูจะยิ่งมีทัศนคติและความรู้สึกเกลียดสงครามมากเท่านั้น ดังนั้นการที่จะช่วยโกโบริให้รอดชีวิต ก็กระเทือนพล็อตที่ร้อยประสานกันอยู่ไม่น้อย เพราะแก่นเรื่องที่ได้อันเป็นสาระที่ถูกขับเคลื่อนโดยการสร้างความรู้สึกสะเทือนใจต่อคนอ่านอาจเสียรูปไป โกโบริเหมือนฝุ่นเล็กๆที่ถูกพัดปลิวโดยพายุสงคราม เพื่อการพบและการพลัดพราก นวนินายเรื่องนี้เป็นเหมือนเวทีโศกนาฎกรรมที่พวกเราคนอ่านได้รัก สัมผัสจิตใจ และสงสารตัวละครตัวเล็กๆที่หนีไม่รอดจากชะตากรรมที่ผู้เขียนได้วางกับดักเอาไว้

เราได้พยายามหาช่องทางทางประวัติศาสตร์ว่ามีจุดไหนที่พอจะช่วยโกโบริกับอังศุมาลินได้ ถ้าโกโบริรอดจากเหตุการณ์ระเบิดที่สถานีรถไฟบางกอกน้อย ต่อมาเมื่อญี่ปุ่นแพ้สงคราม โกโบริก็มีฝั่งเพื่อนร่วมชาติที่ยากจะตัดรอน อีกทั้งยังแบกศักดิ์ศรีเลือดซามูไร คงไม่แปลกที่คนอย่างเขาจะร่วมฮาราคีรี กามิกาเซ่ เอามีดคว้านท้องตัวเองหรือขับเครื่องบินรบพุ่งชนเครื่องบินของข้าศึกแม้จะรู้ว่าเครื่องบินฝ่ายตนมีสมรรถนะด้อยกว่าดังที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ ถ้าเขากลับประเทศก็ต้องเจอกับการบงการของอเมริกา เจอกับสงครามชีวิตในประเทศที่แพ้สงคราม

สำหรับคนญี่ปุ่น ซึ่งเป็นชาติที่ไม่สอนในเรื่องความยืดหยุ่น แต่สอนให้เป็นนักสู้ ย่อมรับไม่ได้กับการแพ้ ความผิดพลาด และการอยู่อย่างไม่มีศักดิ์ศรี โกโบริถูกหล่อหลอมในสังคมญี่ปุ่นที่เน้นเรื่องการเคารพ เชื่อฟัง การมีวินัย และเคร่งครัดต่อการปฏิบัติหน้าที่ ที่สำคัญคือมีความเด็ดเดี่ยว รักศักดิ์ศรี และนี่อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่โกโบริหลงรักอังศุมาลิน เพราะเธอคือเงาสะท้อนของตัวเขาเอง แถมยังไม่เหมือนผู้หญิงญี่ปุ่นส่วนใหญ่ตรงที่แทนที่จะเคารพผู้ชาย อังศุมาลินกลับมีสิ่งที่เร้าใจกว่า ในแง่ที่กล้าท้าทาย โต้แย้ง ถกเถียง มีทั้งพลังความมีชีวิตชีวาและความนุ่มนวลอ่อนไหวดำรงอยู่ในตัว ซึ่งเป็นบุคลิกที่มีมิติ อย่างไรก็ดี เมื่อนำข้อมูลทางประวัติศาสตร์เข้ามาวิเคราะห์ร่วมกับอุปนิสัยและพฤติกรรมของ โกโบริ เรารู้ล่วงหน้าว่าเขาย่อมเดินไปสู่หลุมพรางของประวัติศาสตร์ได้ด้วยตัวของเขาเอง

ทีนี้ มาดูกันว่า งั้นเราจะใช้วิธีการทางวาทศิลป์แทนเกร็ดประวัติศาสตร์มาช่วยโกโบริได้หรือไม่ วิธีการนี้ มักจะถูกใช้เสมอ เมื่อตัวละครกระทำการที่ขัดกับเหตุผล แต่ผู้เขียนต้องการสร้างฐานความเชื่อที่สนับสนุนการกระทำเหล่านั้น เพราะเป็นการกระทำที่ไม่มีเหตุผลที่แข็งแรงด้วยตัวของมันเอง เช่น ตอนที่โกโบริเห็นเชลยสงครามซ่อนตัวในตู้เสื้อผ้า แล้วไม่จับกุม ย่อมจะเกิดคำถามขึ้นในใจของผู้อ่านผู้ชมอยู่ไม่น้อย เพราะการกระทำนั้นขัดแย้งกับหน้าที่ทหาร แต่พวกเราก็ร้อง “อ๋อ...รับได้ๆ” เมื่อโกโบริพูดในเชิงว่า คนที่หลบอยู่หลังกระโปรงผู้หญิง ถือว่าเป็นคนไม่มีศักดิ์ศรี เท่ากับคนที่ตายแล้ว และการฆ่าคนที่ตายไปแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไร จบคำพูดนี้ปั๊บ คนอ่านคนดูเริ่มมีเสียงสนับสนุน “เออๆ งั้นไม่ต้องจับหรอก” ด้วยวิธีการทางวาทศิลป์ ผู้เขียนสามารถรักษาเกียรติของตัวละครโกโบริไว้ได้ แม้ว่าเขาจะบกพร่องในหน้าที่ทหารก็ตาม

หลังจากทบทวนอยู่พักใหญ่ เราก็ได้ทางเลือกใหม่ ต้องขอย้ำว่า นี่อาจไม่ใช่แนวคิดที่ดีที่สุด อาจมีคนคิดดัดแปลงได้ “เจ๋ง” กว่านี้ และคงจะดีหากมีคนช่วยคิดเพื่อให้วงการอ่านและการดูหนังดูละครมีชีวิตชีวา มากกว่าแค่รับรู้ ฉากที่ได้ในตอนจบก็คือ เมื่อไฟดับลงทีละดวง เห็นทางช้างเผือกทอดยาวขาวผ่อง อังศุมาลินกอดโกโบริไว้ในอ้อมแขน ได้บอกรักและครวญเพลงภาษาญี่ปุ่นเพื่อให้โกโบริตายอย่างสงบ

ณ บัดนาว วนัสนึกขึ้นได้ว่า เขาไม่ควรปล่อยให้อังอยู่ในที่อันตรายตามลำพัง บทบาทของวนัสไม่ใช่แค่ปลดปล่อยหัวใจของอังศุมาลินให้เป็นอิสระ วนัสรู้ตัวดีว่าอังศุมาลินไม่ได้เป็นผู้เลือก เพราะหัวใจของอังศุมาลินเลือกให้เธอเรียบร้อยแล้ว ด้วยน้ำใจลูกผู้ชายไทย วนัสเดินเข้าไปช่วยอังศุมาลินและโกโบริในฐานะมิตรแท้ หลังจากได้รับการรักษา โกโบริตัดสินใจลาออกจากทหารก่อนสงครามยุติ แม้การกระทำนี้ ต้องใช้ความอดทนสูงกับแรงนินทาของยายเมี้ยนและการอธิบายต่อพ่อแม่ที่ญี่ปุ่น แต่โกโบริก็หมั่นบอกกับกลินท์ลูกชายของเขาว่า “พ่อ อาจไม่ใช่คนยิ่งใหญ่ที่ยอมตายในสงคราม อาจไม่ได้หลับสบายในหลุมศพที่งามสง่า แต่พ่อเลือกแล้วที่จะไม่เป็นฆาตรกรทำลายมนุษยธรรม”

นี่เองที่จะไม่ทำให้โกโบริจนมุมคุณทมยันตีและความจริงทางประวัติศาสตร์ในอดีต โกโบริจะรอดตายในยุคสมัยนั้นก็ต่อเมื่อเขาสามารถถอดสลักความเชื่อดั่งเดิมของฝั่งเอเชียที่สอนให้เชื่อฟังและเคารพตัวบุคคล โดยมองข้ามความจริงที่ว่า ถ้าผู้นำขาดคุณธรรม หรือสูญเสียคุณธรรมเมื่อใด ผู้มีอำนาจนั้นก็หมดสิ้นความชอบธรรมในทันที และเขาไม่คู่ควรกับการเคารพ ศรัทธา บูชาจากสังคมอีกต่อไป นั่นหมายความว่า สมาชิกในสังคมต้องหันมาศรัทธาในหลักการ เช่น ความยุติธรรม ความดี มากกว่าจะยึดติดกับตัวบุคคล เราต้องรักในความดีของผู้นำ ไม่ใช่รักที่ตัวผู้นำ เราต้องเห็นในศีลธรรมของพระแล้วจึงไหว้ ไม่ใช่ไหว้ทุกคนที่ใส่จีวร ความศรัทธาและหน้าที่มีสถานการณ์เป็นตัวกำกับ

และที่ว่างตรงนี้เองเป็นที่ของจิตวิเคราะห์ที่ทำให้พลังของปัจเจกบุคคลคืนชีวิตและแบกรับระบอบการปกครองของสังคมได้ มิฉะนั้น ปัจเจกบุคคลก็จะเสมือนเครื่องจักรที่ทำตามคำสั่งไปทุกกรณี โดยไม่สามารถวิเคราะห์ผลกระทบต่อชีวิตตัวเองและเจตนารมณ์ของคำสั่งเหล่านั้น โกโบริไม่อาจหนีรอดจากการเป็นเหยื่อของสงครามได้ถ้าเขาฝังตัวเองอยู่ในความเชื่อ ค่านิยมในยุคสมัยของเขา

ไม่ว่าคู่กรรมเวอร์ชั่นปีนี้จะจบลงอย่างไรก็ตาม เราน่าจะมองไกลถึงการปรับตัวทางอุดมการณ์บนคำถามที่ว่า เราจะยอมให้วัฒนธรรมในอดีตอยู่กับเราแค่ไหน และอยู่อย่างไร

ขอจบบทความฉบับนี้ โดยดัดแปลงคำพูดตอนจบของอังศุมาลิน

“โกโบริ (คนดีอย่างคุณ) ต้องไม่ตาย เพราะชั้นจะไม่ยอมให้คุณตาย”