พายแคนู...ไปดูผี

พายแคนู...ไปดูผี

สำหรับผม ถ้าใครถามว่า ชอบทะเลไปที่ไหน “กระบี่” คือคำตอบที่ผมแทบไม่ต้องคิด ผมว่าจังหวัดนี้ครบเครื่องเรื่องแหล่งท่องเที่ยว

เบื่อทะเลก็เข้าป่า เบื่อป่าก็ไปดูธรรมชาติแปลกๆ น้ำพุร้อนเค็ม น้ำตกร้อน ท่าปอม สระมรกต ฯลฯ สารพัด ถ้าเบื่อทั้งจังหวัด จะไปต่อที่อื่นก็สะดวก ตัดลัดไปภูเก็ตทางเรือ จะต่อไปตรังไปสตูลก็ง่าย หรือจะเลยขึ้นเหนือไปพังงา ไปตะวันออกทางสุราษฎร์ก็ดูสะดวกไปหมด

เวลาลงใต้ทีไร นึกอะไรไม่ออกผมก็กระบี่ไว้ก่อน คราวนี้ผมห้าวเกินพิกัด อยากพาไปดูผีที่ กระบี่ ซะอย่างนั้น ผีที่เขาว่า หัวโต ผีตัวนี้อยู่ที่คลองท่อมครับ ใส่สร้อยประคำ แล้วเตรียมไฟฉาย เดินตามผมมาอย่าห่างกันเชียว

ผีหัวโต ที่ว่านี้ จริงๆ แล้วก็คือ ชื่อถ้ำที่มีภาพเขียนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เหมือนที่ผาแต้ม เหมือนดอยช้าง ที่ออบหลวง เหมือนที่อ่าวพังงา และเหมือนอีกหลายๆ ที่ แต่ใช่ว่าแต่ละแห่งจะเหมือนกันทั้งหมด เพราะเท่าที่ผมตามๆ ดูมาหลายที่ จะมีสีที่ปรากฏเพียงไม่กี่สีคือสีออกแดงเลือดนก แบบนี้จะเจอเยอะมาก โดยเฉพาะทางอีสาน อีกแบบคือสีออกขาวนวลๆ อย่างเช่นที่ดอยช้าง อุทยานแห่งชาติออบหลวง อีกประเภทคือสีออกดำๆ จริงๆ สีแบบดำนี้ไม่ค่อยเห็นบ่อยนัก เหตุที่สีที่ใช้เขียนไม่หลากหลาย ก็เป็นเพราะคนในยุคนั้นเขาใช้วัสดุที่มีอยู่ในท้องถิ่น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสีของหินที่มีหรือหาง่ายในย่านนั้น และให้สีที่สามารถเขียนได้ แล้วอาจมีการเอามาผสมกับวัสดุอย่างอื่นให้ติดทนมากขึ้น อาจจะเป็นยางไม้ หรือหนังสัตว์ ที่ให้ความเหนียวติดคงทน

ส่วนวิธีการนั้นมีทั้งวาด ทั้งพ่น ทั้งทา รูปแบบที่วาดก็มีสารพัด เป็นสัญลักษณ์ที่ต้องมาตีความ เป็นรูปอวัยวะ (ส่วนใหญ่เป็นรูปมือ ยังไม่เคยเห็นเป็นรูปอวัยวะอื่น เช่น เท้า แต่อย่างใด) เป็นสิ่งของเครื่องใช้ ที่ไม่ต้องตีความเลยก็คือที่เป็นรูปร่างชัดเจน เป็นปลา เป็นวัว เป็นคน ในอิริยาบถต่างๆ ยิงธนูบ้าง เลี้ยงสัตว์บ้าง มีพิธีการทางศาสนาหรือความเชื่อ จับมือ ส่วนจะจับทำอะไรจริงๆ นั้นก็ไม่รู้ คนรุ่นเรามาตีความกันว่าเต้นระบำบ้าง ทำพิธีการอะไรสักอย่างก็ตีความกันไป

ไม่มีผิดถูกหรอกครับ เพราะคนตีความก็เกิดไม่ทันยุคนั้นสักคน ผมถึงบอกไงละครับว่าเรื่องทางโบราณคดีนี่สนุก ที่สอนๆ กันมา ถ้าท่านมีหลักฐานใหม่ ทฤษฏีใหม่ ที่สามารถมาอธิบายหรือใช้หลักฐานนั้นให้เชื่อได้ ก็เอามาถกกัน แม้กระทั่งเรื่องภาพวาดโบราณที่ครูบาอาจารย์ท่านสันนิษฐานว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐาน บอกแล้วว่าไม่มีใครเกิดในยุคนั้นสักคน

ที่ผมสนใจเรื่องนี้ก็เพราะภาพเขียนเหล่านี้มีการพิสูจน์ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ว่ามีอายุเป็นพันๆ ปี ผมไม่แปลกใจที่รูปวาดย่านๆ ภูเขา จะเป็นรูปเหมือนคนป่า มีเครื่องประดับบนหัว ถือธนู ล่าสัตว์ ไม่แปลกใจที่รูปทางดอยช้าง ออบหลวง เป็นรูปช้าง หรือที่พังงาเป็นรูปโลมา รูปเรือสำเภาจีนบ้าง นั่นก็เป็นการบันทึกสิ่งที่เห็นบ่อย เห็นง่ายในชีวิตประจำวัน

แต่เขาเขียนทำไม เขียนเพราะมือบอนเหมือนเด็กช่างกลที่ชอบไปพ่นสีโน่นนี่นั่น บอกเชื้อสายว่าใครเป็นพ่อใคร (แล้วพ่อใครต่อใครนั่นก็มาดักยิงลูกบนรถเมล์บ้าง ยกพวกไปตีกับลูกบ้าง) ก็ไม่น่าใช่ เพราะถ้ามือบอนก็คงหยิบฉวยอะไรได้ก็วาดไปตามเรื่อง คงไม่คงทน สะท้อนให้เห็นความตั้งใจแบบนี้ วาดเพื่อจดบันทึกเหตุการณ์ เพื่อบ่งบอกอาณาเขต อะไรก็แล้วแต่จะสันนิฐานกันไป แล้วแปลกที่การวาดรูปเหล่านี้ไว้ตามผนังถ้ำ เพดานถ้ำทั้งหลาย มีกันทั่วโลก ในยุคสมัยที่ใกล้เคียงกัน แสดงว่าอาการมือบอนหรือการเล่าเหตุการณ์ผ่านรูปของมนุษย์นี่เหมือนกันทั่วโลก อย่างรูปที่เขาปลาร้า อุทัยธานี ที่เป็นเหมือนรูปสมัยสังคมการล่าสัตว์นั้น ก็ช่างแตกต่างเหลือเกินกับรูปเรือสำเภาที่มีการลงสีสันที่ถ้ำไวกิ้ง กระบี่ แสดงว่าวัฒนธรรมการวาดบนผนังถ้ำนี้มีมาตั้งแต่เป็นคนป่ามาจนอาจจะใกล้ๆ สมัยเจิ้งเหอพาเรือสำเภาจีนออกท่องทะเลก็ได้ใครจะไปรู้

สำหรับที่ถ้ำผีหัวโตนี้ เป็นเหมือนรูปคนใส่ชุดคลุมหัวและกรอมเท้า ลักษณะเหมือนกำลังเดิน ภาพวาดอยู่บนผนังถ้ำอย่างชัดเจน สีสันยังคงสดใสเพราะอยู่ในมุมมืดต้องใช้ไฟฉายส่องดู บริเวณอื่นก็มีเป็นรูปสัญลักษณ์บ้าง รูปฝ่ามือที่มีหกนิ้ว ฯลฯ มีหลายที่หลายตำแหน่งในถ้ำ บางคนบอกว่าชื่อถ้ำมาจากการขุดค้นหัวกะโหลกของมนุษย์ที่มีขนาดใหญ่โตกว่าปกติ เป็นกะโหลกของคนในยุคโบราณ ซึ่งผมไม่ค่อยเชื่อ เพราะไปเห็นหัวกะโหลกมนุษย์ในสมัยโบราณทั้งที่โนนเมือง ที่บ้านเชียง บ้านปราสาท ทางอีสานทั้งหลาย ก็ไม่เห็นว่าเขาจะสูงใหญ่หรือหัวโตผิดจากมนุษย์ปัจจุบัน จนกว่าจะมีการนำหัวกะโหลกที่ว่านั่นมาให้เห็นจริงๆ

ส่วนชื่อผีหัวโตจะมาจากที่ไหน อันนี้ไม่รู้ ผมไม่ได้เป็นคนตั้งคนแรก ก็เรียกชื่อตามเขามาเหมือนกัน บางคนบอกว่าก็มาตามรูปวาดบนผนังถ้ำนั่นแหละ ที่เป็นเหมือนชุดกรอมเท้า เลยดูเหมือนหัวโต อันนี้ก็ว่ากันไป

แต่ถ้ำแห่งนี้ถึงไม่มีภาพวาดโบราณก็น่าสนใจ ถ้ำนี้เป็นถ้ำโปร่ง หินงอกหินย้อยที่นี่อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะเจาะ ถ่ายรูปออกมาสวยงามทีเดียว ส่วนใหญ่ผมจะเสียเวลาถ่ายรูปถ้ำมากกว่าไปดูภาพวาดโบราณ ยิ่งมีฟอสซิลหอยครางเยอะมากตามพื้นถ้ำยิ่งน่าสนใจในแง่ธรณีวิทยา

นั่นคือจุดหมายปลายทางของการไปดูผีที่ถ้ารู้เรื่องภาพวาดโบราณสักนิด จะสนุกในการได้ไปเที่ยว ได้ไปเห็น แต่ยิ่งสนุกกว่านั้นก็คือ เขาจัดให้มีการเดินทางไปโดยการพายเรือแคนูบ้าง คายัคบ้าง พายไปตามคลองนั้นแหละ ค่อยๆ พายเลาะไปตามป่าโกงกางริมคลอง ค่อยมองทิวทัศน์ของยอดเขาหินปูนรูปทรงต่างๆ ที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมา ได้ออกกำลังกายเบาๆ ใครไม่อยากพาย เขาก็มีคนพายให้ เรานั่งเป็นคุณนายไปได้ หรืออยากขึ้นเรือหางยาว เขาก็มีบริการอีก เรียกว่ามีทางเลือกเยอะ

แล้วไม่ใช่แค่พายแคนูไปถ้ำผีหัวโตอย่างเดียว เขามีถ้ำลอดด้วย เรือเราสามารถลอดเข้าไปในโพรงถ้ำยามน้ำลง แล้วดูความวิจิตรของหินงอกหินย้อยที่มันเกิดจากถ้ำใกล้น้ำ แล้วค่อยไปดูหินงอกหินย้อยที่ถ้ำที่มันอยู่บนบก ดูเผินๆ มันเหมือนกัน แต่จริงๆ แล้วมีข้อแตกต่าง ถ้าผมไม่ลืมจะเล่าเรื่องถ้ำให้ฟังคราวหลัง

ผมเชื่อแน่ว่าท่านผู้อ่านมาที่บ้านบ่อท่อ อ.อ่าวลึก แล้วได้มาลองลงเรือไปดูผี ดูถ้ำ รับรองไม่ผิดหวัง เพราะมันทั้งสนุกทั้งน่าประทับใจ มาไม่ยากครับ เข้าไปที่ อ.อ่าวลึก มีทางแยกข้างที่ว่าการอำเภอ เข้าไปอีกไม่ไกลก็ไปจอดที่ท่าเรือบ้านบ่อท่อ เจอใครแถวนั้นก็บอกเขาเถอะว่าจะมาดูผี เดี๋ยวเขาจัดการให้

อย่างที่ผมบอกว่ามากระบี่ เบื่ออะไรก็หนีไปทำอย่างอื่นได้ อย่างเบื่อทะเล ลองมาดูผีที่บ่อท่อ รับรองคุณจะรักผีขึ้นอีกเยอะ โดยเฉพาะ ผีทะเล ที่บ่อท่อแห่งนี้