My Body My Weapon เหล่าสตรีผู้มีเรือนกายเป็นอาวุธ

My Body My Weapon เหล่าสตรีผู้มีเรือนกายเป็นอาวุธ

จากบทบาทในอาชีพดารานักแสดง อาชีพที่มี "รูปร่าง - หน้าตา" เป็นในเบิกทางแรก วันนี้ ทราย - วรรณพร ฉิมบรรจง เลือกเดินอีกเส้นทางของความเป็น "ศิลปิน" ด้วยการทำงาน "ศิลปะร่วมสมัย"

จากบทบาทในอาชีพดารานักแสดง อาชีพที่มี "รูปร่าง - หน้าตา" เป็นในเบิกทางแรก วันนี้ ทราย - วรรณพร ฉิมบรรจง เลือกเดินอีกเส้นทางของความเป็น "ศิลปิน" ด้วยการทำงาน "ศิลปะร่วมสมัย" ที่นอกจากจะนำเสนอ "ความงาม" "ความหมาย" และ "ความคิด" งานศิลปะของเธอยังหวังจะถ่ายทอดเรื่องราวการต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมของผู้หญิงในบางมุมโลกโดยอาศัย "ร่างกาย" เป็นอาวุธ

ทำไมถึงความคิดว่าจะหันมาทำงานศิลปะ

เราชอบวาดรูปมาตั้งแต่เด็กๆ พี่ชายก็เรียนช่างศิลป์แต่เราไปเรียนนาฎศิลป์ พอมาเป็นดารา เป็นนักแสดงเนอะ ก็จะมีรายการไปถ่ายเราว่ากิจกรรมพิเศษทำอะไร ก็คือวาดรูป คนก็จะรู้ว่าคนนี้เป็นดาราวาดรูป

จนกระทั่งมีคนเห็นว่าเราเขียนรูปได้ก็จะมีคนชวนไปแสดงงาน เป็นศิลปินรับเชิญ ตั้งแต่ตอนยังเป็นนักแสดงอยู่ โชว์งานศิลปะครั้งแรกที่เสถียรธรรมสถาน ตอนนั้นเขาจะจัดงานอนุสาวรีย์แห่งความดีงามของแม่เป็นงานกลุ่มมีศิลปินรุ่นใหญ่ทั้งนั้นเลย เขาก็อยากให้มีศิลปินผู้หญิงบ้าง ก็ตื่นเต้นมากเพราะเป็นครั้งแรกที่ได้แสดงงาน แล้วก็ขายได้ด้วย จากนั้นมาก็มีงานโชว์เป็นกลุ่มเรื่อยๆ หลายงานอยู่

จนมารู้จักพี่วสันต์ (วสันต์ สิทธิเขตต์ ศิลปินนักเคลื่อนไหว) จากนั้นเราก็จะไปช่วยงานการกุศลต่างๆ ไปเป็นพิธีกรประมูลงานศิลปะซะส่วนใหญ่ในช่วงนั้น เพราะเราพอจะรู้จักคนในแวดวงศิลปะและพูดได้ จากนั้นก็เข้ากลุ่มกับกลุ่มพี่วสันต์ไปเขียนแลนด์สเคปตามจังหวัดต่างๆ ที่จะมีโรงไฟฟ้ามาสร้าง ที่ที่จะมีการประท้วงต่างๆ เราก็ไปหลายจังหวัด ไปเขียนแลนด์สเคปแล้วก็โชว์ตามตลาด โรงเรียน วัด ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเขื่อน โรงไฟฟ้า เรื่องสิ่งแวดล้อม แล้วก็มีไปปัตตานีเป็นเรื่องสันติภาพ ก็เขียนรูปไปเรื่อยๆ แสดงงานกลุ่มไป

พอมาถึงปี 2548 มีการประท้วงเรื่องคอรัปชั่นสมัยรัฐบาลทักษิณ ตอนนั้นยังไม่มีเวทีเสื้อสีไหนทั้งสิ้น กลุ่มศิลปินเราก็ไปทำงานกันเองไม่เกี่ยวกับสีไหน เขียนรูป เขียนป้าย เขียนใส่กระดาษเยอะแยะมากมาย จากนั้นก็เริ่มมีความคิดว่าอยากมีนิทรรศการเดี่ยวที่แสดงงานของตัวเอง งานที่เป็นความคิดของเราเองทั้งหมด

จากจุดนั้นก็อยากจะเลิก ไม่อยากแสดงละครอีกต่อไป เพราะรู้สึกว่ามันไม่ใช่ทางเรา เราไม่เหมาะที่จะเป็นดาราเพราะไม่เคยรักษาภาพลักษณ์อะไรทั้งสิ้น (หัวเราะ) ซึ่งจะทำให้บริษัทที่เราทำงานด้วยค่อนข้างมีปัญหา เรารู้สึกว่าเราต้องการอีกอย่างนึง ก็เลยคิดว่าจะแสดงนิทรรศการเดียว

นั่นคือที่มาของนิทรรศการ “สังขารา” ในช่วงปี 2549-2550

ชุดนั้นที่เป็นงานที่พูดถึงร่างกายของผู้หญิง เรื่องสังขาร ความคิดเราคือวันนี้เราเป็นดาราแต่วันนึงเราก็ต้องแก่ ต้องมีคนใหม่ขึ้นมาแทน เราคงต้องไปเล่นเป็นแม่หรือยาย ก็เลยมาคิดว่าเออ มันน่าจะดีกว่านะถ้าเราแก่แล้วไปนั่งวาดรูป มีแสดงผลงานศิลปะของเรา จากนั้นมาไม่เคยเล่นหนังเล่นละครอีกเลย มีบ้างก็งานหนังสั้นของเพื่อนนิดหน่อย

ทำไมถึงทำงานศิลปะกับสังคม

ก่อนจะรู้จักกับพี่วสันต์เราก็เรียนศิลปะกับอาจารย์ธีระพันธ์ ลอไพบูลย์ จากนั้นพอมารู้จักพี่วสันต์ก็ได้เรียนรู้อะไรจากเขาเยอะ งานก็เริ่มออกไปแนวเพื่อสันติภาพ เพื่อสิ่งแวดล้อม จริงๆ เราก็เขียนแลนด์สเคป เขียนภูเขา เขียนดอกไม้นะ แต่เสร็จแล้วเอาไปให้ชาวบ้าน ให้เขาดูว่าเนี่ย ถ้ามีโรงงานเข้ามาธรรมชาติก็จะหายไป คืองานเป็นแลนด์สเคป งานภาพวิว แต่มันได้สื่อสารกับคนว่าคุณควรจะดูแลบ้านของคุณ พอเราทำงานแบบนี้มาตลอดมันก็เลยมีความรุ้สึกว่าศิลปะของเรามันคงสวยดีเนอะถ้ามันได้บอกอะไร ได้สื่อสารกับคนในสังคม

ถามว่าเขียนดอกไม้ไม๊เขียน เขียนภูเขาไม๊เขียน เขียนคนเขียน เขียนหมด แต่เวลาที่เราแสดงงานเราอยากแสดงมากกว่ารูปเขียน อยากแสดงความคิดของเราออกมา

จากจุดนั้นเลยเป็นศิลปินทำงานศิลปะร่วมสมัยเต็มตัว

จากการแสดงงานครั้งแรก อาจารย์ทวี รัชนีกร (ศิลปินแห่งชาติสาขาจิตรกรรม) ให้คำพูดบางอย่างที่เราประทับใจมาถึงทุกวันนี้ และยืนยันที่เราจะเดินในสายศิลปะ อาจารย์บอกทุกๆ คนว่าศิลปินหญิงน่ะมีน้อย ดูแลหน่อย ทะนุถนอมเราไว้ในวงการ แล้วอาจารย์ก็บอกเราว่าถ้ามีการแสดงงานครั้งที่หนึ่งแล้วมันก็จะมีครั้งต่อไป จากนั้นก็มีครั้งต่อๆ มาจริงๆ

จนตัดสินใจว่า โอเค...เราไม่ได้เรียนมาทางศิลปะโดยตรง แต่ก็จะทำงานศิลปะละ ในปีนึงเราวางแผนเลยว่าเราจะคิดงาน เราจะทำงานให้ได้ 1 ชุด บางปีได้ 2 ชุด

จนกระทั่งช่วงก่อนหน้านี้ที่การเมืองบ้านเรามีการเปลี่ยนแปลง เราก็เลยรู้สึกว่าเราไม่อยากอยู่ที่นี่เนาะ เราก็เลยตัดสินใจไปเรียนต่อที่อินเดียเลย หลังจากประกาศตั้งรัฐบาล 1 อาทิตย์ก็ไปเลย ไปเรียนที่อินเดีย 2 ปีเพิ่งกลับมา

ไปเรียนอะไร ที่ไหน

ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยวิศวภารติ เมืองศานตินิเกตัน ประเทศอินเดีย คณะที่เรียนคือไฟน์อาร์ต ส่วนสาขาที่เรียนคือจิตรกรรมฝาผนัง

พอไปอินเดียก็ไปสนใจสังคมอินเดีย

คือตั้งแต่ก่อนไปอินเดียแล้ว เรารู้จักกับผู้หญิงคนที่เป็นแรงบันดาลใจของเราคือ อิรอม ชาร์มีลา ชานุ (Irom Sharmila Chanu) ประท้วงต่อต้านการใช้กฎหมายคุกคามเข่นฆ่าประชาชนต่างชาติพันธุ์ในรัฐมณีปูร์ ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย

ผู้หญิงคนนี้ประท้วงรัฐบาลอินเดียด้วยการอดอาหารตามรอยมหาตมะคานธี ทำต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 13 แล้ว ประท้วงการที่รัฐบาลอินเดียส่งหน่วยรบพิเศษเข้าไปบริหารจัดการ 7 จังหวัดทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย แล้วทหารก็เข้าไปข่มขืนผู้หญิงบ้าง ไปฆ่าคน ไปจับเขา เขาก็เลยมีความรู้สึกว่าไม่ทนอีกต่อไป เธอคนนี้ก็เลยเดินจากบ้านไปเดลีเพื่อไปยื่นจดหมายประท้วง ไปวางดอกไม้ที่อนุสาวรีย์คานธี ตำรวจก็จับขังคุกข้อหาพยายามฆ่าตัวตาย แล้วก็บังคับเอาสายยางยัดเข้าไปในจมูกเขาเพื่อให้อาหาร จนถึงตอนนี้ 13 ปีก็ยังโดนจับมั่ง ออกมามั่ง ไปขึ้นศาลมั่งอยู่ แต่เขาประกาศเลยว่าถ้ารัฐบาลยังไม่ยอมถอนหน่วยรบพิเศษนี้ออกไปก็จะอดอาหารไปตลอด ตอนนี้คนที่อยู่ข้างนอกหลากหลายมาให้รางวัลเต็มไปหมด แต่ก็ยังเข้าออกคุกอยู่ประจำ

ก็เลยกลายมาเป็นงานชุด “My Body My Weapon”

เราก็รู้สึกว่าเราอยากทำเรื่องนี้ เพราะเราเห็นว่าที่อินเดียมีการกดขี่ผู้หญิงมากเกินไป เราก็เลยทำเรื่อง “My Body My Weapon” ทำวิดีโอเพอฟอร์มานซ์ ประติมากรรม เพนท์ติ้ง เขียนบนส่าหรี ใช้สัญลักษณ์ของความเป็นผู้หญิง แค่จะบอกว่าจริงๆ แล้วทุกคนก็เกิดมาจากผู้หญิง แล้วที่โรงเรียนจะมีเทศกาลศิลปะทุกปีตอนปลายปี นักเรียนก็จะเสนอโปรเจกต์ว่าใครจะทำอะไร เราก็เสนอโปรเจกต์นี้ให้อาจารย์ก็เลยมาเป็นงานชุดนี้

วันเปิดงานที่โน่นเราก็ทำเพอฟอร์มานซ์ เพนท์ติ้ง ถ้าจะให้ครบทั้งหมดก็จะมีภาพวาดบนส่าหรี ประติมากรรม วิดีโอ แล้วก็เพนท์ติ้งบนผ้าใบ แล้วก็ตั้งใจว่าจะเอาไปแสดงที่เดลีด้วย แต่ตอนนี้กำลังมีสถานการณ์ทางการเมืองซึ่งเขาค่อนข้างซีเรียสก็เลยต้องงด

ส่วนที่มาโชว์ที่เมืองไทยคราวนี้ก็เอามาได้เป็นบางส่วน มีงานเพนท์ติ้งกับวิดีโอ วันเปิดงานทรายแสดงเพอฟอร์แมนซ์ ใส่ส่าหรีสีขาว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการตายและการเกิด เอาผลไม้มาแกะสลักเป็นลูกระเบิด ปืน กระสุน แล้วเราก็เอาเครื่องปั่นอาหารมาปั่นแล้วก็เอาท่อสายยางมาดูดใส่จมูก...เกือบตายเพราะในนั้นมันมีพริกอยู่ด้วย (หัวเราะ) แต่บางคนดูแล้วบอกว่าเข้าใจเลยว่านี่มันเจ็บปวดมาก

พอทำไอเดียอันนี้ออกมา มันไม่ใช่เรื่องของผู้หญิงอินเดียแล้ว มันเป็นเรื่องของผู้หญิงทั้งหมดที่ต่อสู้ด้วยสันติวิธี

สถานการณ์ผู้หญิงไทยในสายตาทราย-วรรณพร

คือเราก็สนใจเรื่องผู้นำหญิงในโลกใบนี้นะว่ามีใครบ้าง แล้วใครทำอะไรบ้าง เราสนใจมาก ในเมืองไทยเราก็รู้จักหลายคนที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ รู้จักกลุ่มผู้หญิงที่ค่อนข้างมีบทบาทในบ้านเรา ตอนหลังพอมีประเด็นเรื่องผู้หญิงขึ้นมามากขึ้น จนกระทั่งมีประเด็นอยากได้นายกฯ หญิงเนี่ย ทุกคนอยู่ดีๆ ก็ลุกขึ้นมาเรียกร้องให้มีนายกฯ หญิง เรามีความรู้สึก...โอ้โห ไม่ไหวนะ คือกลายเป็นว่าเรียกร้องให้ใครก็ได้ที่เป็นผู้หญิงให้มาเป็นนายกฯ

เราก็เลยมีความรู้สึกว่าการเคลื่อนไหวของผู้หญิงที่มีบทบาทในสังคมบ้านเรา...ค่อนข้างไปคนละทิศละทาง

...

"My Body My Weapon" นิทรรศการศิลปะ Painting - Performance -VDO โดย ทราย - วรรณพร ฉิมบรรจง จัดแสดง ณ หอศิลปวัฒณธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (ชั้น 2) จนถึง 28 กุมภาพันธ์ 2556