"ชีวิตดีกับเราเหลือเกิน" อรชุมา ยุทธวงศ์

"ชีวิตดีกับเราเหลือเกิน"

อรชุมา ยุทธวงศ์

ระหว่างทางเดินของชีวิต คุณจะอ้อยอิ่งเก็บดอกไม้ข้างทาง หรือเร่งรีบไปให้ถึงจุดหมาย และนี่คือ เรื่องราวของศิลปินที่เลือกแบบแรก

ชีวิตที่เลือกได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าออกแบบได้ เธอได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ค้นหาตัวเองได้เร็ว ในวัยเรียน...ขณะที่เพื่อนๆ นั่งร้องไห้สะอึกสะอื้น เพราะพ่อแม่ไม่อยากให้เรียนละคร แต่เธอมีอิสระในการเลือกเต็มที่ และรู้ว่า นี่คือสิ่งที่ใช่ และชอบ

รองศาสตราจารย์ อรชุมา ยุทธวงศ์ อดีตหัวหน้าภาควิชาศิลปะการละคร คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ปัจจุบันเป็นแอ็คติ้งโค้ช นักแสดง นักร้อง ผู้ประกาศข่าว ผู้บริหาร พนักงานสารพัดรูปแบบ คนเหล่านั้นเคยเดินเข้าไปในสตูดิโอที่บ้านของเธอ และเดินออกมาด้วยความมุ่งมั่น มีพลังที่จะเดินต่อ

ใครๆ ก็เรียกเธอว่า ครูแอ๋ว ซึ่งคนในวงการบันเทิงและคนนอกวงการ รู้จักเธอเป็นอย่างดี ไม่ใช่เพราะความดัง ความเก่ง แต่มีบางอย่างที่มีอยู่ในตัวครูคนนี้ เธอช่วยสะกิดบางเรื่องที่บางคนทำหล่นหายหรือหลงลืมระหว่างทาง จุดประกายความคิดสร้างสรรค์ ความเข้าใจชีวิต และความละเมียดละไมในการใช้ชีวิต

ณ วันนี้ กว่า 20 ปีที่ครูแอ๋วเปิดสตูดิโอที่บ้าน และมีคนหลากหลายอาชีพเดินเข้าออกให้ช่วยโค้ช ทั้งเรื่องงาน ชีวิต การสื่อสาร และการแสดง ฯลฯ ทั้งๆ ที่ตอนลาออกจากอาจารย์มหาวิทยาลัย ครูแอ๋วก็ไม่รู้ว่า จะมีงานทำหรือเปล่า
แต่ในที่สุดแล้ว เธอก็ใช้ทั้งพรสวรรค์ที่มีอยู่ในตัว พรแสวงที่เรียนรู้มาทั้งชีวิต ทำงานที่ตัวเองรัก แม้จะดูเหมือนเป็นชีวิตที่สมบูรณ์แบบ แต่ตามประสาปุถุชน ก็ต้องมีบางเรื่อง ทำให้ทุกข์ใจบ้าง นั่นอาจไม่สำคัญมาก ที่สำคัญคือ เธอเชื่อว่า ชีวิตดีกับเธอเหลือเกิน

ลองอ่านบรรทัดถัดไป และถัดไป...เรื่องราวที่เชื่อมร้อยเหมือนเกลียวเชือก คงจะทำให้หลายคนเก็บเกี่ยวมาใช้กับตัวเองได้บ้าง และนั่นแหละคือ สิ่งที่ครูอย่างเธอต้องการ...


ชีวิตตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างคะ
เพิ่ง 65 ปีไปเมื่อเดือนที่แล้ว ถ้าไม่ลงตัว ก็แย่แล้ว เมื่อเช้า(16 มกราคม)ก็มีคนมาอวยพร พูดคำดีๆ มีดอกไม้สวยๆ นั่งทำงานที่บ้านมานานกว่า 20 ปี ก็มีงานและคนเข้ามาเรื่อยๆ ไม่ต้องหางานเลย ปากต่อปาก เพราะทำบ้านเป็นสตูดิโอ เราจัดสรรงานเองได้ ถ้าไปปฎิบัติธรรมก็ไม่นัด

จะเรียกว่า ชีวิตเป็นของเราได้ไหม
งานก็เลือกได้ว่า จะทำ หรือ ไม่ทำ เรื่องไหนคิดว่า สนุกก็ทำ อย่างภาพยนตร์รัก 7 ปี ดี 7 หน ทำงานด้วยกัน สนุกมาก ตอนนั้นโค้ชให้สู่ขวัญ บูลกุล , ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์, คริส หอวัง และ นิชคุณ หรเวชกุล

ก่อนจะคุยถึงงานหลัก ขอถามถึงงานอดิเรก...การวาดรูป ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง
วาดมา 7 ปีแล้ว เว้นไป 3 ปี เพิ่งกลับมาวาดรูปอีก วาดให้ลูกสาวที่กำลังจะแต่งงาน เราสนใจวาดรูปมาตั้งแต่เด็ก ชอบเก็บภาพวาดและไปพิพิธภัณฑ์ จนได้เจอครูโต-ม.ล.จิราธร ก็ถามว่าถ้าอยากวาดรูปต้องทำอย่างไร ครูโตบอกว่า มาเรียนได้เลย ทุกคนสามารถวาดรูปได้ เรียนครั้งแรกก็มีภาพวาดกลับบ้าน ค่อยๆ วาดไป แล้วหาสไตล์ตัวเอง เพราะเราวาดเพื่อหย่อนใจ

ชอบวาดรูปสไตล์ไหน
ส่วนมากเป็นแนวอิมเพรสชันนิสต์ วาดดอกไม้และผู้หญิง เราได้ใช้เวลาอย่างที่ตั้งใจ บางวันตื่นมา รอให้แสงสว่างแทบไม่ไหว เพราะอยากวาดรูป วาดไว้เยอะจนเต็มห้อง วาดเสร็จก็มอบเป็นของขวัญให้คนพิเศษหรือของขวัญวันแต่งงาน เพราะเป็นชิ้นเดียวในโลกที่เราตั้งใจให้ บางครั้งนึกสนุก วาดเสร็จ ก็เอามาทำแบบเป็นพรม หลายปีที่แล้วครูโตสนับสนุนให้แสดงงานที่สยามสมาคม เราก็ไม่อยากขายภาพเลย ครูก็บอกว่า ต้องตัดใจ เป็นงานแสดงภาพ 4-5 ชั่วโมง ตื่นเต้นดี ก็เอาเงินไปทำบุญ

ศิลปะหลายแขนง มันเชื่อมร้อยกันอย่างไร
อาจารย์เจตนา นาควัชระ เคยพูดไว้ว่า ไม่ว่าจะวาดรูป เล่นละคร ทำงานหลังฉาก ศิลปะมันจรรโลงซึ่งกันและกัน ทั้งหมดมันต่อเนื่องกันหมด นอกจากวาดรูปแล้ว ตอนไปที่ภูใจใสก็ปั้น เดินเล่น เขียนหนังสือเคยเขียนให้นิตยสารเพื่อนเดินทาง 3 ปี แล้วหยุดไป เพราะไม่ได้เที่ยวมาก วัตถุดิบหมด ตอนนี้เขียนคอลัมภ์'ตะวันชาย บ่ายคล้อย' ที่นิตยสารสกุลไทย

ใช้ชีวิตแบบสบายๆ ?
งานก็เข้ามาเรื่อยๆ เพิ่งติวดีเจ 7 คน มีละครรอสองเรื่อง นางเอกใหม่รอให้โค้ชสองคน เราเชื่อเลยว่า คนเราแต่ละคนมีเทวดาคุ้มครอง

ทำไมเชื่อเช่นนั้น ?
ก็รู้สึกชีวิตดี มีการจัดสรรที่ดี อยากทำอะไรก็ได้ทำ ไม่อยากก็พ้นไป

เพราะทำสิ่งดีๆ ไว้ จึงได้รับผลตอบแทนหรือเปล่า
คงไม่ใช่ เพราะเราอย่างเดียว แต่มีคนอื่นด้วย เมื่อคนได้เห็นงานของเราแล้วรู้สึกว่าใช่ ซึ่งกรณีนี้ต่างจากเราทำงานเยอะ ถ้าคนไม่เห็น ก็ไม่มีตรงนี้ เหมือนคำถามแรกที่ถามว่า ตอนนี้ชีวิตเป็นอย่างไร รู้สึกสบายๆ อยากทำอะไรก็ได้ทำ อยากให้มีอะไรเกิดขึ้นก็หมายเหตุไว้ เดี๋ยวก็เป็นจริง

ยกตัวอย่างสักนิด ?
อย่างการโค้ชให้นักแสดงละคร บางครั้งรู้สึกอึดอัดใจ ไม่ใช่ทางของเราขึ้นเรื่อยๆ เพราะสมัยนี้ต้องเอาเรทติ้งเป็นหลัก ไม่มีละครที่เราจะละเลียดทำนั่งตีความถกกับผู้กำกับที่กองถ่าย เวลาถ่ายทำมันรีบเร่ง เราก็หมายเหตุไว้ว่า "ทำละครไม่ค่อยสนุก" ก็มีคนทำหนังมาให้โค้ชเยอะขึ้น และหนังไทยกำลังมีอนาคตน่าสนใจ

มีบ้างไหมที่เอางานของเราไปให้คนอื่นทำต่อ
ปกติจะทำงานเดียว เขาติดต่อเรา แสดงว่า เขาต้องการรสชาติแบบเรา ความเห็นของเรา งานลักษณะนี้ถ้าทำหลายคนจะยุ่ง ต่างคนต่างความคิด เมื่อฝึกนักแสดงที่สตูดิโอในบ้านแล้ว ก็ส่งเข้ากองถ่าย ในช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมา นอกจากติวให้พิธีกร นักร้อง นักแสดง ดีเจ ผู้ประกาศข่าว ยังติวให้คนในองค์กร ทั้งผู้บริหารและพนักงาน ไม่ว่าองค์กรของตลาดหลักทรัพย์ ธนาคาร กระทรวงการคลัง การบินไทย ก็เคยทำให้หลายรุ่น ฯลฯ

นำประสบการณ์ด้านละครไปใช้กับการจัดเวิร์คชอปเพิ่มศักยภาพบุคคลในสายอาชีพอื่นๆ อย่างไร
เราเป็นสังเกตชีวิต สังเกตคน รับรู้ไว ในส่วนของศาสตร์การละคร คนก็ไม่เข้าใจคิดว่า สอนให้คนเล่นละครทีวีกรี๊ดกราด นึกว่างานครูแอ๋วเป็นแบบนั้น ครูแอ๋วมีหน้าที่ทำงานหลังฉากให้ผู้กำกับทำงานง่ายขึ้น ตีความบทได้ มีความเห็นเดียวกับตัวละคร ทุ่นเวลาหน้าฉาก ส่วนเรื่องการปรุงรสเป็นหน้าที่ผู้กำกับ เรามีหน้าที่โค้ช ถ้าเราจะเล่นบทเป็นใครสักคน ที่ไม่ใช่ตัวเรา เราต้องทำความรู้จักตัวละครตัวนั้น ขณะเดียวกันเราต้องรู้จักตัวเองก่อน อย่างคุณต้องเล่นแม่พลอย ครูแอ๋วมีหน้าที่ทำให้คุณเป็นแม่พลอยให้ได้ ต้องค้นคนๆ นั้นว่าเป็นคนอย่างไร ทำความรู้จักคนๆ นั้นและตัวละคร แล้วเอามาโยงกันว่า สองคนนี้มีความเหมือนกันอย่างไร แล้วจะดึงอะไรมาใช้

การที่เราจะทำให้เขารู้จักตัวเอง ก็ต้องดูทัศนคติ เคยติวให้อ้อม-สุนิสา เธอเคยบอกว่า ไม่ชอบแอ็คติ้งเลย ดูเสแสร้ง ทัศนคติแบบนี้ติดลบ ต้องกลับมาดูทัศนคติ ถ้าจัดให้กลุ่มองค์กรต้องไม่เกิน 12 คน อบรมสองวัน นอกจากนี้มีโค้ชตัวต่อตัว หลักการที่นำมาใช้ ไม่ใช่ละครอย่างเดียว เป็นประสบการณ์ส่วนตัวด้วย ซึ่งการทำแบบนี้ กลายเป็น ไลฟ์ โค้ชชิง

สิ่งที่ครูแอ้วทำคือ การเข้าไปด้านในของคนๆ นั้น แล้วมองดูว่า อะไรสุข หรือ ทุกข์ คนๆ นั้นอาจเป็นหัวหน้า พนักงาน แล้วคุณเปิดรับคนอื่นแค่ไหน ก็เหมือนละครต้องเล่นหลายบท ซึ่งในชีวิตจริงก็มีหลายบทบาท เป็นลูก เป็นแม่ เป็นลูกน้อง เป็นเจ้านาย เราเล่นบทบาทนี้แล้ว มีความสุขไหม ถ้าอยู่ในที่ทำงาน คนก็จะเจอกันในที่ประชุม หักล้างกันด้วยเหตุผลหรืออะไรก็ตาม มีความกดดัน ตอนที่เราให้เปิดใจกัน บางคนพูดกับอีกคนว่า "พี่รู้ไหม เคยพนันกันว่า เวลาโทรถึงพี่ จะได้คุยกับพี่กี่วินาทีก่อนพี่จะวางหู" การเปิดวงสนทนา ทำให้เขาได้เข้าใจอีกแง่มุมหนึ่งจากมุมของเขาและเพื่อนร่วมงาน เพราะเวลาทำงานไม่มีเวลาคุยกัน เมื่อพวกเขากลับไป ก็จะมีความเข้าใจกันอย่างลึกซึ้ง

ในวงสนทนา ครูแอ๋วทำหน้าที่เปิดประตูใจ ?
เคยโค้ชให้คุณหมอคนหนึ่ง เขาต้องการปรับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เพราะไม่ค่อยสัมพันธ์กับใคร อยู่กับเครื่องมือผ่าตัดทั้งวัน เขาเล่าว่า "เวลาอยู่โรงพยาบาล มีใครเข้ามาทัก รู้สึกสะดุดและรบกวน" เราให้การบ้าน ลองไปสังเกตรอบๆ ตัวว่า แต่ละวันสัมผัสอะไรบ้าง เห็นอะไรเพิ่มเติม กลางวันทานข้าวกับใคร คุยเรื่องอะไร ได้รู้จักคนเพิ่มไหม แล้วการดูแลคนไข้ ลองมองให้เห็นคนไข้เป็นรายบุคคล

อาทิตย์ต่อมาเจอกัน ในไอโฟนของเขาเต็มไปด้วยรูปภาพและสิ่งต่างๆ ที่เคยมองไม่เห็น เขาเล่าให้ฟังว่า “ตรงลิฟท์ผมไม่เคยเห็นว่ามีป้ายประกาศ ในห้องทำงานผมไม่เคยรู้ว่ามีรูปติดอยู่ เมื่อสังเกตก็เห็น” หลายอาทิตย์ต่อมา เขาเล่าว่า “ตอนทานอาหารกลางวัน ผมบอกแม่ค้าว่า อร่อย แม่ค้าก็ตอบกลับมาว่า ไม่จริง..ยังเหลือในจาน เขาก็บอกว่าอิ่ม " แค่นี้เป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขาในการสร้างความสัมพันธ์กับคน เพราะปกติแล้วเขาละเลย รีบเร่ง ไม่มอง

แค่สะกิดให้เขามองสิ่งรอบตัว ?
มีนักธุรกิจหลายคน ชอบสำนวนที่เราบอกว่า "ต้องชมวิวบ้าง" ทุกอย่างมีคำว่า 'ต้อง' แม้ชีวิตจะบรรลุเป้าหมาย แต่มองไม่เห็นสองข้างทางเลย ไม่รู้ว่าได้ผลักใครล้มระเนระนาด คุณหมอคนเดิมยังเล่าอีกว่า "ได้จัดการคนไข้คนหนึ่ง เขาทำนัดทุกโรงพยาบาล เพื่อจะผ่าตัดเรื่องเดียวกัน ถ้าเป็นเมื่อก่อนรับไม่ได้ แต่ผมใช้เวลากับเขา ค่อยๆ ถามว่า เป็นเพราะอะไร ถึงได้รู้ว่าที่เขาทำนัดเยอะๆ ไม่ได้กลัวการผ่าตัด แต่กลัวไม่ฟื้น เมื่อผมเห็นความกลัวของเขา ผมก็หาสาเหตุ” ธรรมดาแล้วหมอจะไม่มีเวลาให้เรื่องพวกนี้ แต่เขายอมใช้เวลา และ เขาเล่าอีกว่า “วันนี้ผมได้เอามือไปแตะพยาบาลที่ผ่าตัดด้วยกัน แล้วบอกว่า ขอบใจมากนะ” แค่นี้เอง เราแค่เป็นคนสังเกต แล้วแนะนำเขา

นั่นเป็นวิธีการโค้ชอย่างหนึ่ง ?
ผู้บริหารหรือหมอบางคนไม่รู้ว่า จะเริ่มความสัมพันธ์กับคนอย่างไร มีผู้บริหารคนหนึ่งบริษัทส่งมาเดียว เราเล่าให้เขาฟังว่า ตอนที่เรารู้สึกแย่ๆ ตอนนั้นอยู่ที่จุฬาฯ ก็เดินเข้าไปในห้องอาจารย์สดใส พันธุมโกมลแล้วบอกว่า ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ไม่ได้ พอคุยสักพัก เดินออกจากห้องอาจารย์ รู้สึกว่า ทำได้ทุกอย่างในโลกนี้ เขาบอกว่า “ผมไม่มี Beautiful Mind มีแต่ Critical Mind ใครที่เข้ากับผมไม่ได้ในคลื่นเดียวกัน ไปไกลๆ เลย” เมื่อเล่าเรื่อง เจ้านายของเราคือ อ.สดใส ที่ทำทุกคนออกจากประตูห้องพักแล้วรู้สึกว่า ทำได้ทุกอย่างในโลกนี้ ผู้บริหารคนนั้น ก็เลยบอกว่า “ผมข้ามบางอย่างไป” เขาค้นหาตัวเองจากเรื่องเล่าของเรา

อะไรเป็นต้นเหตุให้มาทำงานโค้ชนักบริหารหรือคนในองค์การที่ต้องการพัฒนาตัวเอง ?
เริ่มจากเพชรพริ้ง สารสิน โทรมาปรึกษาบอกให้ช่วย เพราะเจ้านายเธอบอกว่า แอร์โฮสเตสและสจ็วตไม่ค่อยยิ้ม ก็ลองทำหลักสูตรให้ เมื่อโจทย์มาแบบนี้ ไม่ยิ้มแปลว่า ไม่สนุกกับงาน เราก็ดูต่อว่า งานของเขาเหมือนเดิมทุกวัน ถ้าคิดให้เบื่อ ก็เบื่อได้เลย..."สวัสดีคะ ยินดีต้อนรับ ชาหรือกาแฟค่ะ " ต้องพูดซ้ำๆ เราก็นำการละครมาใช้ นักแสดงต้องเล่นซ้ำๆ กว่าสี่สิบรอบ แต่เรามีหลักการให้นึกว่าทุกรอบที่แสดงต้องเป็นรอบแรก แม้จะท่องบทมาร้อยครั้ง ก็ต้องเล่นให้คนดูรู้สึกว่า เหตุการณ์นี้เพิ่งเกิดขึ้น เหมือนการทำงานวันแรก จึงแนะว่า ข้อ 1.ต้องมีใจนึกสนุกกับงาน 2. ต้องมีใจกระปรี่กระเปร่ากับงาน ถึงแม้จะเป็นงานซ้ำๆ 3. ให้เคารพตัวเอง ให้คิดว่า สิ่งที่ทำมีความหมาย ผู้โดยสารสำคัญเท่ากันหมด เวลาจะถามผู้โดยสารว่า จะดื่มชาหรือกาแฟ แม้จะถามเป็นหมื่นๆ ครั้ง แต่อยู่ที่เราแคร์เอาใจใส่เขา ตอนอบรมก็ให้พวกเขาคุยถึงเรื่องที่ดีที่สุดในชีวิตการทำงาน แอร์บางคนได้ทำคลอด บางคนผู้โดยสารถูกใจจัดงานวันเกิดให้ นอกจากเรื่องดีๆ ก็ให้เล่าประสบการณ์แย่ที่สุด แต่ไม่ได้บอกว่า ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ นั่นไม่ใช่แนว

เติมสีสันชีวิตให้พวกเขา ?
ให้เขาเห็นว่า บทบาทนั้นสำคัญ เหมือนการแสดง แม้คุณเล่นเป็นคนรับใช้ หรือตัวประกอบ ถ้ามัวแต่จ้องกล้องหรือแย่งชิงบท คุณก็แย่แล้ว ทำงานพังได้เหมือนกัน เพราะไม่ว่าคุณจะทำอุปกรณ์ประกอบฉาก จัดแสง คุณมีความสำคัญเท่ากันหมด

ยากที่คนส่วนใหญ่จะคิดแบบนั้น ?
ใช่คะ เพราะคนเรามีตัวตน จำได้ว่าตอนอบรมให้พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน มีสจ๊วตคนหนึ่งถามว่า ถ้าอย่างนั้นผมต้องเปลี่ยนวิธีการทำงานหมดเลยสิ ถ้าพูดอย่างนั้นปิดคอร์สกลับบ้านได้ เราแค่อยากให้คุณกลับมามองสิ่งที่ทำไปแล้ว และมีพลังให้ตัวเองมากขึ้น

เคยเจอกรณียากๆ ที่คนไม่เปิดรับไหม
แน่นอน บางคนบริษัทส่งมาเรียน ใจไม่อยู่ตรงนั้น และที่ยากคือ นักแสดงบางคนไม่ใส่ใจ ไม่เปิดรับเพื่อนำไปใช้ ใส่ใจแต่เรื่องการโชว์ตัวและชื่อเสียง แต่สมัยนี้มีคนแบบนี้น้อยลง เพราะการแข่งขันมีมากขึ้นมีนักแสดงหน้าใหม่จ่อคิวตลอดเวลา ส่วนนักบริหารที่ว่ายาก ประเภทเดินเข้ามา แม้กระทั่งเพื่อนก็ไม่ทัก อันนี้เราก็ถามตัวเองว่า...เอาเวลาเสาร์อาทิตย์ของฉันไปทำไม อันนี้ทีท่ายาก แต่ถ้าเราเอาอยู่ ในที่สุดก็เปิดใจ จึงมีทั้งโค้ชกลุ่มและเดียว ซึ่งเราต้องมีจรรยาบรรณ ไม่เปิดเผยข้อมูล และเราก็บอกว่า ออกจากที่นี่ไป ไม่ควรนำไปเล่า ให้ถือว่าเป็นการเรียนรู้ร่วมกัน
พวกเขามาเจอกับเราแค่วัน สองวัน แล้วเขามีชีวิตมา 30-40 ปี ทำแบบเดิมๆ มากี่ร้อยวัน เราก็แค่ทำหน้าที่เป็นกระจก คุณมองเห็นอย่างที่เราเห็นคุณหรือเปล่า จากนั้นก็เป็นเรื่องของคุณ นักบริหารที่เล่าให้ฟัง เขาก็ปรับตัวเยอะ อย่างน้อยๆ เราก็ทำให้คนๆ หนึ่งคิด หรือทำให้หมอคนหนึ่งรู้สึกว่าชีวิตเบาสบายขึ้น ฮัลโหลกับใครก็ได้ สำหรับเขาก็เป็นเรื่องใหญ่แล้ว

แล้วการทำงานกับผู้กำกับล่ะ
ทำงานกับเก้ง-จิระ มะลิกุล สนุกมาก บางทีมาคุยกันตั้งแต่ยังไม่เขียนบท หรือส่งบทมาแล้ว ยกทีมมานั่งคุย เพราะเวลาส่งบทมา เราก็จะอ่านแล้วจดโน้ตเอาไว้ ทุกคนก็จะรอโน้ต เก้งเคยบอกว่า ถ้าครูแอ๋วติเรื่องไหน แล้วไม่ปรับแก้จะมีปัญหาภายหลัง อย่างอิทธิสุนทรก็เคยส่งเทปคนที่เขาคัดเลือกไว้ในหนังโหมโรงมาให้ช่วยดู เราก็ให้ความเห็น งานก็สนุก ขึ้นอยู่ว่าผู้กำกับต้องการความเห็นแค่ไหน ซึ่งการทำงานแบบนี้ตรงประเด็นมากกว่าการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย เอาไปใช้ทันที อย่างจา พนม ก็ยังรักกันจนบัดนี้ เขามีลูก ก็ส่งรูปมาให้ดู แล้วบอกว่า “ตอนนี้ไม่ใช่คนแล้ว แต่เป็นพ่อคน”

เป็นสายสัมพันธ์ที่ดี ?
บางครั้งจา พนม ก็โทรมาบอกว่า ให้ทายสิว่า ตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน เขาบอกว่า อยู่บนหลังช้าง ครูแอ๋วบอกเขาไปว่า ให้เขากลับถิ่นบ้านเกิดบ้าง ถ้าหลุดไปอยู่ในเมืองหรือไปต่างประเทศบ่อย ๆ กลิ่นอายแท้ๆ ของเขาจะหายไป

การให้คำแนะนำแบบนี้ มีคำอธิบายเพิ่มเติมอย่างไร
ไม่ได้กลัวว่า เขาจะลืมตัว แต่งานของเขาเป็นงานค่อนข้างศักดิ์สิทธิ ต้องใช้พละกำลังจากข้างใน เพราะฉะนั้นเขาต้องสัมผัสกับสิ่งที่เป็นเขา ไม่ว่ารูป เสียง กลิ่น รส บ้านเกิด รากเหง้าที่เป็นตัวเขา ถ้าเอาแต่โรดโชว์ ปลื้มที่คนฝรั่งเศสลุกขึ้นตบมือยี่สิบนาทีไม่หยุด พลังแบบนี้หายไปได้ ต้องกลับไปหารากตัวเอง

บางครั้งก็ใช้ประสบการณ์ส่วนตัวในการโค้ช ?
ขึ้นอยู่ว่า คนๆ นั้น เราจะใช้วิธีการแบบไหน ก็เลยมีคนเรียก แม่หมอ เพราะมอง แล้วทะลุ

ได้เรียนรู้อะไรจากคนที่ถูกโค้ช
เรียนรู้ทุกเรื่อง ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นครู ยกตัวอย่าง เราให้การบ้านดีเจ 7 คนไปสังเกตชีวิต เรื่องอะไรที่กระทบใจ เพราะนักจัดรายการวิทยุจะพูดไปเรื่อยๆ เราก็บอกว่า ต้องพูดให้ตรงประเด็น แล้วหาอย่างอื่นมาเสริม เพื่อให้การพูดมีคุณค่า เราก็บอกให้เขาแข่งกับตัวเอง

ไม่มีรูปแบบตายตัว ?
เหมือนตัดเสื้อ เราไม่ได้แนะว่า ต้องทำอย่างนั้น อย่างนี้ ดีเจบางคนมีลีลาสุมเสียงดีอยู่แล้ว แต่เนื้อหาต้องเพิ่ม หรือบางคนพรั่งพรูมากไป ก็ลองจัดลำดับความสำคัญการพูด หลายเรื่องเป็นโจทย์เฉพาะตัว ซึ่งเราก็สนุก เป็นงานที่เหมือนทำให้เพื่อนมนุษย์ แม้จะได้ค่าตอบแทน แต่แทบจะไม่เป็นการค้า งานจบไม่มีการประเมินผล แล้วครูแอ๋วก็จะมีจดหมายรักให้แต่ละคน ทำแบบนี้มาตลอด 40 ปี

ใช้วิธีจุดประกายความคิด เติมบางอย่างให้บางคนที่มีความพร่อง ?
เวลาเรียนหนังสือ คนเราจะจำเนื้อหาไม่ค่อยได้ แต่จำความรู้สึกบางอย่างได้ ยกตัวอย่างครูแอ๋ว ขับรถจากตึกอธิการข้ามมาแถวสี่แยกหน้าจุฬาฯ ซึ่งคนไม่ค่อยรู้ว่า มีไฟเขียวไฟแดงอีกจุด พอเห็นไฟเขียวด้านหนึ่งแล่นเลย รถผ่านมา ชนเปรี้ยง คว่ำเลย คนในตึกสถาปัตย์ออกมาดู แต่มีอาจารย์ฝรั่งสอนดราม่าคนหนึ่งบอกว่า “อรชุมา เธอต้องขับรถต่อให้ได้นะ ไม่อย่างนั้นเธอจะไม่ขับรถเลยทั้งชีวิต ฉันจะคอยดู เธอต้องมาบอกฉัน " เรื่องนี้เราจำได้ เราจำสิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจได้

การสร้างแรงบันดาลใจ คือ สิ่งที่ครูแอ๋วนำมาใช้กับการโค้ช ?
ใช่...ใช่ ตรงนี้เป็นสมบัติของเรา ถ้าเขาลงแรงมาหาเราที่บ้าน เมื่อคนเดินออกไป ก็ลองถามตัวเองว่า มันเกิดอะไรขึ้นบ้างไหม

แรงบันดาลสร้างได้ เหมือนที่อาจารย์สดใส พันธุมโกมลสร้างแรงบันดาลใจให้ครูแอ๋ว ?
อาจารย์จะมองในสิ่งที่เราทำได้ แล้วบอกว่า เธอมีดีตรงนี้ เชื่อมั่นว่าทำได้และให้โอกาส อาจารย์พูดเสมอว่า ชีวิตในมหาวิทยาลัย คุณลองผิดลองถูกได้ แต่ถ้าออกไปทำงาน ไม่มีใครให้คุณลอง อาจารย์สอนและปฎิบัติให้เห็นว่า ทุกคนสำคัญเท่ากันหมด ยกตัวอย่าง มีพลทหารคนหนึ่งจบจากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ เขากลับมาหาอาจารย์ และอาจารย์ชวนพลทหารมาเป็นอาจารย์ในคณะ อาจารย์มองไปไกลว่า ภาควิชาต้องการคนที่มานั่งตอกไม้ทำอะไรก็ได้ สร้างฉาก เพราะคนออกแบบฉากส่งมาจากต่างประเทศได้ แต่จะมีใครยอมอดทนทำงานตรงนี้แล้วไม่มีตัวตน อาจารย์บอกพลทหารคนนั้นว่า เขาทำได้ ตอนนี้เขาเป็นอาจารย์อาวุโสที่สุดในภาค อาจารย์สร้างคน หาทุนให้เขาเรียนต่อต่างประเทศ
จิก-ประภาส ชลศรานนท์ จะรักอาจารย์มาก เพราะอาจารย์จะให้เต็มที่และไม่มีตัวตน อาจารย์ให้เวลาทุกคน เวลาอาจารย์ทำสูจิบัตร ก็จะขอบคุณตั้งแต่คนขับรถ นักการ ทำให้เราเห็นและรู้สึกว่า ชีวิตมีค่า แล้วมนุษย์กับมนุษย์สำคัญเท่ากันหมด ทำให้การทำงานมีความสุขมาก

การถูกเลี้ยงดูอย่างอิสระ เป็นปัจจัยสำคัญในชีวิตไหม
โชคดีมาก เพราะเป็นลูกคนเดียว ได้อิสระจากครอบครัวมาก ไม่มีถูกบังคับเลย คนอื่นมานั่งร้องไห้ พ่อแม่ไม่ให้เรียนละคร แต่เราเรียนชั่วโมงแรกจากอาจารย์สดใส รู้เลยว่า วิชาที่เราอยากเรียนเป็นแบบนี้ และโชคดีที่เรียนหนังสือได้ดี ได้เกียรตินิยม พอมาปฎิบัติธรรมแล้วมองย้อนไป ก็ได้รู้ว่า เราเป็นคนที่ไม่ต้องใช้ความพยายามมาก ทุกอย่างได้มาง่าย เพราะเป็นการจัดสรร เป็นคนที่รู้สึกว่าชีวิตดีกับเราเหลือเกิน ให้โอกาสได้ทำโน้น ทำนี่ และไม่ใช่เรามีชีวิตที่ดี แม้พ่อแม่แยกกัน แต่เรามีป้าที่รักเราเสียจนพอ ไม่รู้สึกขาดแคลนใดๆ

ดูเหมือนชีวิตจะสมบูรณ์แบบ ?
ไม่ได้สมบูรณ์แบบขนาดนั้น คำนี้น่ากลัวมาก ถ้าจะบอกว่าเป็นชีวิตที่ดี ดีเพราะอะไร ...ดีเพราะว่า ไม่ต้องฝืนใจตัวเอง ตอนเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ขับรถอยู่ ติดบนถนนสองชั่วโมง เราก็ถามตัวเองว่า ฉันมาทำอะไรที่นี่ คิดถึงบ้าน ตอนเช้าต้องออกไปอีกแล้ว ทำงานมานาน เราก็ลาออก มาทำสตูดิโอที่บ้าน ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่า จะมีงานทำหรือเปล่า ถึงได้บอกว่า มีการจัดสรรที่ดีเกิดขึ้น จึงรู้สึกขอบคุณชีวิต และขอบคุณอะไรที่ผ่านเข้ามา ก็เลยมีเรี่ยวแรงที่จะทำอะไรใหม่ๆ มีทัศนคติที่เป็นบวกกับสิ่งที่เข้ามา

ถ้าใช้คำเท่ๆ ชีวิตออกแบบ ?
เราไม่ได้ออกแบบเอง อย่างเราเรียนวาดรูป ก็ไม่ได้ได้ตะเกียกตะกายว่า สักวันหนึ่งต้องแสดงงาน ถ้าทำอย่างนั้นเราจะเหนื่อย ถึงเวลาเราก็ได้แสดงงาน ตอนที่จะออกจากจากจุฬาฯ ก็มีคนทักทวง แต่เราคิดว่าเหมือนชีวิตมีรางวัลรออยู่ ถ้าเราไม่ชั่วร้าย

ย้อนมาเรื่องที่ครูแอ๋วเล่าให้ฟัง แม่หาแปรงสีฟันไม่เจอ แล้วนั่งร้องไห้ เพราะเป็นอัลไซเมอร์ อยากให้เล่าอีกสักนิด ?
อันนี้เป็นจุดบอดเลย ถ้าถามว่า รู้สึกแย่ในเรื่องใดมากที่สุด เรื่องที่ว่า...อยากดีให้มากกว่านี้ อยากคุมอารมณ์ให้ได้ เพราะแม่เป็นอัลไซเมอร์ ก็เครียดในบางครั้ง ถามเรายี่สิบครั้ง เสียงก็จะเปลี่ยน เนื่องจากเราเป็นคนละคร ความรู้สึกอ่อนไหวในตัวเราจะไวมาก คนอื่นรู้สึกแค่ 10 เรารู้สึก 100 เราจะละเอียดอ่อน เพราะอารมณ์เราจะขึ้นลง การปฎิบัติธรรมก็ช่วยได้เยอะ เราจะทรมานในฐานะที่เห็นแม่แล้วรู้สึกเป็นเขา เป็นตัวละครที่เป็นอัลไซเมอร์โดยอัตโนมัติ เราเข้าถึงเขามาก ณ ตรงนี้ที่แม่พูดไม่รู้เรื่องเลย เราวิเคราะห์ว่า 1.เรารู้สึกแย่เหมือนแม่ 2. รู้สึกแย่ที่เราเป็นลูก แล้วเห็นแม่เป็นอย่างนี้ และ 3. เราสอบตกในเรื่องอารมณ์ก็ฝึกตามอารมณ์ เจริญสติ และ4. รู้สึกแย่ในความเป็นเรา อย่างวันหนึ่งแม่ถามว่า “แอ๋วไปไหน” ทั้งๆ ที่เรานั่งอยู่ เราไม่รู้จะตอบยังไง

ต้องปรับตัวอย่างไร
ปรับตัวไปเรื่อย บางวันแม่ไม่หลับ ทั้งกลางวัน กลางคืน บางวันเรียกหาตลอด จนเสียงแม่เรียก...หลอนเลย พอเรามาหา ก็ไม่รู้ว่าเป็นเรา มันเยอะ ถ้าอารมณ์เราไม่พร้อม ก็ใช้วิธีกอดเช้า กอดกลางวัน กอดเย็น หรือแตะตัว อย่างน้อยๆ เรารู้สึกว่าไม่พลาด แม่ไล่คนดูแลออกไปหลายคน มีพฤติกรรมบางอย่างที่ไม่ใช่วิสัยของแม่ หลายอย่างทำให้เราทุกข์ เป็นเรื่องยากในการดูแลคนป่วยอัลไซเมอร์ จนเป็นที่มาของหนังสือบันทึกใกล้ใจ เป็นทั้งสมุดบันทึกและเรื่องเล่าจากเราที่ได้สัมผัสผู้คน อย่างไปสิงคโปร์ ประเทศเนิร์ดๆ ดูจืดชืด ส่วนเมืองไทยเหมือนเด็กไม่เอาไหน เกเร แต่ดูมีชีวิตชีวา ยิ้มได้ทั้งปากทั้งตา ถ้าจะให้เลือกก็ขออยู่แบบนี้แหละ หรือเรื่องเล่าตอนอยู่ซานฟานซิสโก้สามเดือน แม่เดินทางคนเดียวไปหาเรา ตอนนั้นแม่ใส่หมวกปีกกว้าง สดชื่น เราก็คิดว่า เราจำภาพตรงนี้ดีกว่า เพราะปัจจุบันมันเศร้ามาก อยู่ใกล้กัน แต่เอื้อมไม่ถึงกัน มันเหมือนการจากเป็น หนังสือเล่มนี้ทำขึ้น เพราะตั้งใจว่าจะช่วยคุณหมอที่ดูแลแม่อย่างดี และสร้างความตระหนักรู้เรื่องอัลไซเมอร์ เราก็ได้คิดด้วยว่า เวลาเราออกไปพูดเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้คนฟัง แต่พอกลับถึงบ้าน ถ้าอารมณ์เสียกับแม่ ก็รู้สึกว่า เราหน้าไหว้หลังหลอก เมื่อเราคิดจะอุทิศตัวทำงานแบบนี้ ก็น่าจะใสกระจ่างหลุดพ้น

นั่นเป็นความพยายามที่จะทำ ?
ใช่ ใช่ ก็ได้เห็นความน่าเกียจบางอย่างในตัวเรา ทำให้ย้อนคิด เมื่อเราพูดว่า ต้องอย่างนั้น อย่างนี้ แต่เราทำไม่ได้นี่นา

เป็นความทุกข์อย่างหนึ่ง ?
ใช่คะ ก็ตอบคำถามก่อนหน้านี้ที่บอกว่า เหมือนชีวิตจะสมบูรณ์แบบ มันไม่ใช่ แต่ถามว่าพอใจกับชีวิต ก็พอใจมาก จริงๆ สำหรับคนที่เป็นพ่อแม่ ก็คงไม่มีอะไรที่ดีไปกว่ามองเห็นว่า ลูกจะมีชีวิตต่อไปยังไง เราพอจะเข้าใจแล้วว่า ต่อไปลูกสาวที่เป็นนักการทูตจะใช้ชีวิตอย่างไร

เมื่อทุกข์ก็ต้องมีทางออก นอกจากวาดรูปแล้ว ชอบทำอะไรอีก
ชอบถ่ายรูป อยากถ่ายให้ดี และอยากร้องเพลงเป็น ตอนนี้ร้องในห้องน้ำ เวลามีความทุกข์เยอะ ก็ต้องระบายออกบ้าง ก็ใช้เรื่องการเขียนหนังสือและปฎิบัติธรรม อยากให้ตัวเรานิ่งได้ สงบตามดวงจิตได้ แต่ละวันก็มีเดินจงกรม สมาธิบ้าง รวมถึงกำหนดสติตามดูอารมณ์ ถ้าตามอารมณ์ไม่ทัน อารมณ์กำลังจะขึ้น ก็พยายามหยุด หวังว่าจะไม่กะเพื่อม ซึ่งยากมาก