โปรดใช้วิจารณญาณในการ'ชม' นพ.กัมปนาท ตันสิถบุตรกุล

โปรดใช้วิจารณญาณในการ'ชม'
 นพ.กัมปนาท ตันสิถบุตรกุล

เปิดใจจิตแพทย์คนดังผู้ประกาศตัดสัมพันธ์ช่อง 3 ด้วยคีย์เวิร์ด 3 คำ "ศักดิ์ศรี" "ความรับผิดชอบ" และ "คุณธรรม"

โดดเด่นขึ้นมาทันทีท่ามกลางความอึมครึมของกรณีการตัดจบละคร 'เหนือเมฆ 2' เมื่อจิตแพทย์หนุ่ม นพ.กัมปนาท ตันสิถบุตรกุล โพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัว ยกเลิกการเป็นวิทยากรของรายการชูรักชูรสตลอดไป ด้วยเหตุผลว่า "ในความคิดเห็นของผม ไทยทีวีสีช่อง 3 มีผู้บริหารที่ไร้ศักดิ์ศรีของความเป็นสื่อมวลชนอย่างสิ้นเชิงแล้ว"


แม้จะได้รับการขานรับอย่างดีด้วยยอดกดไลค์กว่า 20,000 ไลค์และแฟนเพจที่เพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว แต่เสียงค่อนขอดว่า "เกาะกระแสขอแจ้งเกิดในวงการ" ก็ดังไล่หลังมาติดๆ


นพ.กัมปนาท ไม่ใช่หน้าใหม่ในจอแก้วอย่างที่บางคนเข้าใจ(ผิด) แต่เป็นที่รู้จักในฐานะวิทยากรประจำรายการชูรักชูรสมากว่า 10 ปี และถ้ายังจำกันได้ คุณหมอยังเป็นผู้รักษา'จิตรลดา' ผู้ป่วยจิตเวชที่ไล่แทงนักเรียนโรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนเวนต์เมื่อหลายปีก่อน ซึ่งขณะนั้นยังทำงานอยู่ที่สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ ก่อนจะย้ายมาเป็นจิตแพทย์ ที่โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์


วันนี้กับการออกมาแสดงจุดยืนแบบเท่ๆ แน่นอนว่าย่อมต้องมีอีกหลายคำถามที่ตามมา...

-อะไรคือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ประกาศลาออกจากการเป็นวิทยากรรายการชูรักชูรสทางช่อง 3 คะ

จริงๆ ละครเรื่องเหนือเมฆไม่ใช่ละครที่หมอดูเยอะนะ ดูบ้างไม่ดูบ้างอะไรอย่างนี้ ไม่ค่อยสนใจมากนัก แต่ให้ความสนใจเรื่องแรงเงามากกว่า เพราะแรงเงาจะมีแง่มุมของจิตวิทยาเยอะเวลาดูแล้วเราชอบวิเคราะห์ แต่ส่วนที่ไม่ชอบก็คือเรื่องตบตีแต่ก็ยังต้องดูเพราะดูแล้ววิเคราะห์ไปเรื่อยๆ ไปจนถึงตอนจบว่าสุดท้ายเป็นยังไง


ทีนี้พอมีเหนือเมฆมันเหมือนเป็นเข็มอันหนึ่งที่เจาะให้ลูกโป่งระเบิด โอเคจริงๆ ก่อนหน้านี้มันสะสมมาตั้งนานแล้ว ไม่เฉพาะเรื่องละครหรอก เริ่มจากปีที่แล้วคือภาพลักษณ์ของช่อง 3 ในสายตาของหมอมันไม่ดี ถอยลงมาเรื่อยๆ เราดูแล้วไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งเขาก็อาจจะมองในมุมของเขาก็ได้เราก็ไม่ได้ว่ากัน แต่ก็คิดว่าคนไทยส่วนใหญ่รู้สึกว่ามันเป็นภาพลักษณ์ที่ไม่ดี หมอมองว่าทุกคนในโลกนี้ไม่ว่าจะอย่างไร เราต้องยึดมั่นในเรื่องของคุณธรรมจริยธรรมอยู่ ถ้าเราไม่ยึดมั่นตรงนี้ประเทศชาติคงแย่แล้วล่ะ อย่างกรณีพิธีกรที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในประเทศไทยและมีสังกัดอยู่ช่อง3 ทางช่องเองก็เหมือนกับพยายามที่จะปกป้องและไม่ได้แคร์ความรู้สึกผู้ชม หมอมองว่าดูถูกคนไทยมากจนเกินไป

ส่วนเรื่องอื่นๆ ก่อนหน้านี้ก็จะมีกรณีเวิร์คพอยท์ กับไทยแลนด์ ก็อต ทาเลนท์ ไม่รู้นะว่าคนอื่นคิดยังไง แต่ถ้าถามหมอ หมอว่าช่อง 3 ต้องปลดเวิร์คพอยท์ออกไปเลย ฟังดูเหมือนโหดไปแต่ความจริงแล้วเขาต้องรับผิดชอบต่อสังคมไทย ในเมื่อเวิร์คพอยท์ก็ดูเหมือนมีความตั้งใจที่จะทำ ถึงแม้จะมาบอกว่าไม่ได้ทำก็แล้วแต่ เพราะมีหลักฐานที่เห็นชัดๆ อยู่แล้ว ช่อง 3 ก็ควรจะลงแซ่อะไรบ้างแต่ก็ไม่ได้ทำและตัวเองก็ยอมจ่ายเงินค่าปรับประมาณ 500,000 บาท ไม่แน่ใจ ซึ่งเป็นเงินที่น้อยมากถ้าเทียบกับมูลค่าที่เขาได้มากมาย อันนี้ก็เป็นการดูถูกคนไทย หมอรับไม่ได้ นี่ถือว่าเป็นเรื่องวัฒนธรรมไทยอันดีงาม

อย่างน้อยสองแล้วนะ ไม่นับรวมเรื่องอื่นๆ ที่เคยเกิดขึ้นมาซึ่งเราก็พยายามที่จะปล่อยๆ ไปบ้าง ยกตัวอย่างละครทั้งหลายที่มีฉากทะเลาะตบตี ไม่ให้เกียรติพ่อแม่ ซึ่งมันก็เป็นกระแสมาเรื่อยๆ สิ่งที่เราเห็นส่วนใหญ่จะเป็นภาพของผู้จัดละครกับช่องเอากระเช้าดอกไม้ไปให้รัฐมนตรีเสร็จแล้วทุกอย่างก็จบกัน สุดท้ายละครก็เอาพระมาเทศนาเพื่อที่จะทำให้ละครดูดี ซึ่งหมอว่ามันเป็นภาพที่ใช้คำว่า ทุเรศน่ะ

คุณคิดว่าเราโง่มากเหรอ หรือคิดว่าคนไทยเดี๋ยวก็ลืม แต่เราไม่เคยลืมเรื่องพวกนี้นะ เพราะว่าจะเอาไปสอนคน สอนน้อง บอกสื่อ หรือว่าเด็กที่กำลังเรียนเรื่องสื่อสารมวลชนว่าการทำอย่างนี้มันขายจิตวิญญาณของสื่อมวลชนที่ดี เราต้องรับผิดชอบต่อสังคม เพราะสังคมให้อะไรกับเราเยอะ เราก็ต้องให้อะไรกับสังคมบ้าง มันก็เลยเป็นการสะสมมาเรื่อยๆ ถึงจุดหนึ่งก็ระเบิดเลยและคิดว่าเราต้องเคลื่อนไหวอะไรบางอย่าง แต่ไม่ได้มีความคาดหวังเลยนะ ก็แค่เขียนบอกไปในแฟนเพจว่าไม่ทำแล้วล่ะ ไม่โอเคกับสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วเผอิญอาจจะมีบางคนบางท่าน อาจจะเป็นสื่อมวลชนด้วยที่เขาก็ติดตามเราอยู่ รู้จักกันอะไรแบบนี้ ตื่นเช้ามากระแสก็เลยถล่มทลาย ก็ยังงงเหมือนกัน ทุกวันนี้ก็เช็คจากเน็ตดูก็ยังมาเรื่อยๆ มีกดไลค์ มีให้กำลังใจ ส่วนใหญ่ 99.99%

-เรื่องการแบนละครเหนือเมฆ 2 เป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้าย?

บอกแล้วมันเป็นเข็มที่แหลมมากสำหรับหมอนะ เข็มแหลมก็คือความล่อแหลมนั่นเอง เพราะที่ผ่านมาเรื่องที่ไม่ค่อยเหมาะสมเราก็ยังคงชื่นชมและสนับสนุนให้เกิดขึ้นในสถานีโทรทัศน์ช่องนี้ แต่พอมีการนำเสนอเรื่องราวของคุณงามความดี ธรรมะย่อมชนะอธรรมปรากฎว่าถูกปิดไปซะเฉยๆ หมอให้สัมภาษณ์ทุกสื่อเลยนะว่าจุดเริ่มต้นมันมาจากการที่หมอได้คุยกับหมอท่านหนึ่งที่เป็นจิตแพทย์และมีลูกเล็กๆ ซึ่งท่านก็สอนลูกจากละครเรื่องนี้ เด็กก็ชอบมากเพราะเป็นจอมขมังเวทย์อะไรอย่างนี้ แล้วเด็กก็อยากดู ความจริงมันเป็นเวลาที่เด็กควรจะนอนแต่ว่าเด็กชอบ ทีนี้พ่อแม่ไม่อยากจะขัดใจลูกทำยังไง เขาก็ให้ลูกดูแล้วสอนลูกไปด้วย นี่หนูดูนะ ความดีความไม่ดี คนทำไม่ดีจะต้องรับผลแบบนี้

เขากำลังสอนลูกอยู่แล้วอยู่ดีๆ คุณก็มาปิด ปิดกั้นทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งหมอว่ามีหลายบ้านที่เขากำลังสอนลูกเหมือนกัน อันนี้คือสิ่งที่ตัวเองต้องพูดว่า เจ็บใจ เพราะว่าสิ่งที่เป็นคุณงามความดี คุณก็เอามาบิดเบือนว่ามันเป็นการไม่ส่งเสริมศีลธรรมอันดีงาม คือตอนนี้สังคมมันมีลักษณะของการบิดเบือนวิธีคิด อะไรที่เราเคยคิดกันตามปกติที่เป็นความคิดดีๆ เนี่ย มันมีคนกลุ่มหนึ่งที่พยายามบิดเบือนออกไปให้เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก จนคล้ายๆ กับคนไข้ที่ป่วยทางจิตไปแล้ว ซึ่งถามว่าถ้าคนทั้งประเทศคิดกันแบบนี้ ถูกบิดเบือนความคิดกันหมดแล้ว ประเทศชาติจะอยู่อย่างไร

อย่างเหนือเมฆ หมอว่าเป็นเพราะคนส่วนใหญ่ยังเห็นดีเห็นชอบกับเรื่องของคุณธรรมจริยธรรม เรื่องคุณงามความดี มันถึงเกิดมีแรงต่อต้านออกมา แต่ถ้าคนในประเทศนี้เป็นพวกเลวๆ ชั่วๆ ทั้งหลาย เรื่องพวกนี้ก็จะไม่ได้สนใจไม่ได้ใส่ใจใช่ไหม แล้วก็จะมีบางพวกที่หมอพูดเสมอ พวกกินปูนร้อนท้อง พวกสันหลังหวะทั้งหลายเนี่ยไปสะกิดต่อมตัวเองใช่ไหม ก็ไม่รู้ใคร บางคนก็พยายามจะเชื่อมโยงว่าเป็นฝ่ายรัฐบาล เป็นฝ่ายนักการเมือง หมอไม่รู้ หมอไม่ได้บอกว่าเราออกมาตรงนี้จะมาชนกับรัฐบาล จะมาชนกับนักการเมือง หมอไม่ได้พูดประเด็นนี้

หมอพูดแค่เรื่องประเด็นของการทำหน้าที่สื่อ การทำหน้าที่สื่อของคุณเป็นการแสดงให้เห็นเลยว่ามันเหมือนกับมีใครมาบงการคุณได้ แต่ถ้าคุณมีศักดิ์ศรีและคุณยังต่อสู้ต่อไป สมมติว่าคุณยอมปล่อยให้มันฉายไปเรื่อยๆ แล้วเกิดมีเรื่องมีราวเกิดขึ้น คนก็จะได้เห็นชัดไงว่าใครเป็นคนทำ แต่ตอนนี้คนไม่รู้ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นถ้าไม่รู้หมอก็ต้องด่าคนนี้สิจะไปด่าคนที่เราไม่รู้ได้ยังไง ซึ่งคิดว่าคนส่วนใหญ่ก็คิดว่า มี แต่ถ้าไม่มีหลักฐานก็ไม่อยากจะไปด่าเขานะ

-กังวลไหมคะว่าจะถูกผลักให้ไปอยู่สีนั้นสีนี้

ก็เห็นมาบ้างนะกับฝ่ายการเมืองบางขั้วที่อยู่ตรงข้ามกับรัฐบาลที่พยายามจับเราไปอยู่ในบรรดาสีนั้นสีนี้ ซึ่งต้องบอกเลยว่า ขอโทษนะ คุณคิดผิดแล้วล่ะ แล้วก็อย่าทำแบบนั้น เมื่อวานหมอให้สัมภาษณ์รายการหนึ่งบอกว่าใครแตกประเด็นแตกได้แต่ถ้าเอาสิ่งที่หมอทำวันนี้ไปบิดเบือน หมอจะฟ้อง ถือว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เราทำ หมอไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียทางการเมือง ซึ่งถ้าหมอเป็นคนของพรรคใดพรรคหนึ่งเชื่อว่าไม่มีใครอยากฟังหรอก แต่ก็มีบางคนเหมือนกันที่เข้าใจว่า หมอเป็นพวกที่อยากดัง อยากจะเกาะกระแส ซึ่งจริงๆ แล้วหมอไม่ได้ประโยชน์จากตรงนั้นเลย

-แสดงว่าคุณหมอเป็นคนที่สนใจเรื่องการเมืองอยู่ก่อนแล้ว?

มันต้องสนใจอยู่แล้วครับ จะบอกว่าเราไม่สนใจเรื่องการเมืองเลยไม่ได้ หมอมีเพื่อนบางคนนะที่บอกว่าเขาจะพยายามไม่ยุ่งเรื่องการเมือง จะทำบ้านของเขาให้มีความสุขที่สุดซึ่งก็เห็นด้วย แต่คิดว่าคุณจะอยู่โดดเดี่ยวเป็นครอบครัวของคุณโดยที่ไม่มีเรื่องการเมืองเหรอ เพราะการเมืองมันก็เป็นส่วนหนึ่งที่นำพาประเทศชาติไปสู่ความหายนะได้หรือไม่ได้ซึ่งเราก็เห็นๆ กันอยู่ทุกวันนี้ เราจะหลีกหนีเรื่องการเมืองได้เหรอ เราหลีกหนีไม่ได้ เพียงแต่เราจะมีลิมิตมากน้อยขนาดไหน บางคนก็มากจนเกินไป บางคนก็ไม่สนใจเลย

คนที่ไม่สนใจเลยเนี่ยหมอคิดว่าส่วนหนึ่งก็อาจจะเป็นคนเห็นแก่ตัวเหมือนกัน คือฉันเพลย์เซฟตลอด ฉันก็ไม่อยากบาดเจ็บ ไอ้ประเภทที่สุดโต่งเกินไปอันนั้นก็เป็นพวกเครียด พวกอารมณ์แปรปวน หรือไม่ก็อาจจะเป็นพวกที่มีผลประโยชน์จากตรงนั้น เราก็คงต้องอยู่กลางๆ อะไรที่เราสามารถทำได้ อะไรที่เราสามาถช่วยเหลือได้ก็ต้องทำ ทีนี้ในบทบาทวิชาชีพแพทย์หมอคิดว่ายังมีคนออกมาไม่เยอะ คนที่ออกมาบางทีก็เป็นหมอพวกการเมือง แต่สำหรับหมอไม่ใช่พวกการเมือง แต่เป็นหมอที่อยู่ในฝั่งของคนธรรมดาทั่วไป แต่คิดว่าการที่จิตแพทย์ต้องออกมาเพราะถือเป็นหน้าที่

บทบาทจิตแพทย์อันหนึ่งก็คือ การฝึกการปรับวิธีคิดของคน คือคุณต้องคิดต้องวิเคราะห์ เราต้องแนะนำให้คนเลี้ยงลูกให้เติบโตขึ้นมาเป็นคนดีมีจริยธรรม แต่ว่าการที่จะสอนให้คนมีคุณธรรมจริยธรรมมันก็ต้องมาจากการเห็นการปฏิบัติด้วย ไม่ใช่ปาวๆ บอกไปแล้วก็ไม่มีแบบอย่างที่ดี ดังนั้นบางทีอะไรที่มันเป็นแบบอย่างที่ดีเราก็ต้องรีบคว้าเอาไว้ ทีวีเข้าถึงบ้านค่อนข้างมาก ละครเป็นอะไรที่เข้าถึงประชาชนได้เยอะมาก เพราะฉะนั้นในเมื่อละครนำเสนอเรื่องของคุณธรรมจริยธรรมเราจะไม่รีบคว้าเหรอ

-เท่าที่ติดตามละครโทรทัศน์ ทำไมละครเรตติ้งดีมักเป็นประเภทชิงรักหักสวาท

หมอคิดว่าเรามีละคร ภาพยนตร์ตั้งหลายเรื่องที่เป็นละครหรือภาพยนตร์ที่โด่งดังหรือมีชื่อเสียงโดยที่ไม่ได้มีฉากรุนแรงก้าวร้าว ทำไมเขาทำได้ หมอมองว่าคนที่เป็นผู้กำกับ ผู้สร้าง ผู้เขียนบทโทรทัศน์ของเรายังไม่เก่งมากพอ คุณไปดูละครเกาหลีสิ เห็นไหมละครเกาหลีน้ำเน่านะ แต่ทำไมเกาหลีมีสาระ ทำไมเกาหลีมีฉากจิตวิทยาที่เวลาจิตแพทย์ดูแล้วโอเค แต่ฉากจิตวิทยาของคนไทยจิตแพทย์ดูแล้วไม่โอเค เพราะฉะนั้นหมายถึงว่าคุณไม่ทำการบ้าน คุณสุกเอาเผากินไงแล้วมันก็จะเป็นค่านิยมแบบนี้ไปเรื่อยๆ สุกเอาเผากิน ทุกวันๆ ก็คิดได้แค่นี้ พอคนดูได้ดูแต่แบบนี้ก็เกิดความเคยชิน แล้วคนทำเขาก็มีทัศนคติว่าคนคงจะชอบแบบนี้แหละ ก็ทำไปเรื่อยๆ คล้ายๆ กับดูถูกคนไทยในระดับหนึ่งนะ

ละครประเภทตบจูบมันสนุกก็จริง แต่ว่ามีจุดที่ต้องระวัง อย่างพวกเราเป็นวัยที่เป็นผู้ใหญ่ เสพพวกนี้ไปมันไม่มีผลกระทบหรอก แต่จุดที่เรากลัวคือคุณมั่นใจได้อย่างไรช่วงเวลานั้นเด็กจะไม่ดู แล้วเด็กจะไม่เลียนแบบ เพราะระบบคัดกรองตรงนี้บ้านเรายังไม่มีประสิทธิภาพมากพอ การที่คุณมาขึ้นเรต น13 น18 อะไรอย่างนี้มันไม่มีประโยชน์ มันคือการสร้างภาพ ขายผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ ให้ประชาชนเห็นว่า นี่ทีวีประเทศไทยมี น. นะ มี ฉ. นะ อะไรอย่างนี้ แต่ในทางปฏิบัติแล้วไม่มี ซึ่งหมอก็ไม่ได้ปลื้มกับสิ่งเหล่านั้น

ถ้าแน่จริงเอาอย่างนี้สิ คุณสร้างระบบทีวีใหญ่ได้ไหมล่ะ แล้วถ้าพ่อแม่จะดูละครพวกนี้ในช่วงเวลานี้คุณต้องใส่รหัส แจกโค้ดกันไปเลยใส่พาสเวิร์ดเข้าไปคุณเข้าไปดูได้ ลูกไม่มีพาสเวิร์ดห้ามดู ทำได้ไหมล่ะ แต่ถ้าพ่อแม่แจกพาสเวิร์ดลูกด้วยก็ช่วยไม่ได้อันนี้มันเป็นเรื่องของครอบครัวไง แต่ว่าเราจะไปหวังด้านครอบครัวอย่างเดียวก็ไม่ได้ เราต้องช่วยๆ กัน ผู้ผลิตเองก็ต้องหาช่องทางในการทำ ถ้าเป็นไปได้ก็ควรรวมหัวกันดีกว่า เอาฉากตบตีพวกนี้หรือว่าสิ่งที่เลวร้ายทั้งหลายออกไป แล้วผลิตสิ่งที่ดีๆ

-ทั้งในมุมของจิตแพทย์และบางครั้งก็ต้องเป็นสื่อด้วย คุณหมอมีหลักคิดในการทำงานอย่างไรคะ

หลักยืดหยุ่นอันเดียวกันนั่นแหละ คือทำแล้วตัวเองมีความสุข ที่สำคัญคือเวลาที่เรามีความสุข มันจะต้องอยู่บนพื้นฐานความถูกต้องด้วย บางทีเรามีความสุข แต่อยู่บนพื้นฐานของความไม่ถูกต้อง ยกตัวอย่างเช่น ออกทีวีเยอะๆ ได้เงินเยอะๆ แล้วก็ขายสินค้าโดยใช้วิชาชีพตัวเองเป็นตัวการันตีสินค้า อันนี้ผิด หมอไม่สนับสนุน แล้วอาชีพหมอ มีคนเคยมาติดต่อเยอะมากนะ ที่อยู่ในแวดวงธุรกิจ โดนด่ากลับไปหลายคนแล้ว หมอจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากและเข้มงวดมาก จะพูดเสมอเลยว่า ห้ามเอาหมอไปเป็นพรีเซนเตอร์สินค้าใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าจะให้พูดเนี่ย จะให้พูดให้ความรู้อะไรก็แล้วแต่ ต้องพูดเพื่อสังคม

อย่างบางบริษัทติดต่อให้ไปบรรยาย ก็จะถามเลยว่าให้ไปพูดให้ใครฟัง ถ้าพูดให้พนักงานฟัง หมอจะไป แต่ถ้าพูดให้ลูกค้าฟัง หมอไม่ไป อันนี้หมอถือว่าคุณอย่ามาหลอกฉัน เพราะฉันรู้ หมอรู้มาตลอดว่ามีคนพยายามทำแบบนี้ ขนาดเราพยายามจะพูดให้สังคมฟัง พวกนี้ยังแอบเอาภาพเราบ้าง เอาเสียงเราบ้าง เอาคำพูดเราบ้าง ไปตัดต่อแล้วลงเป็นเครดิตให้สินค้าก็มี เพราะอย่างนั้นเรามีหน้าที่ต้องดูแลตัวเอง

ทีนี้เรื่องความสุขที่พูดถึงก็คือทำงานทุกวันนี้ตัวเองมีความสุข เพราะเราโฟกัสที่งาน ไม่เคยรู้สึกว่ามีความทุกข์เลยนะ เพียงแต่ว่าความเหนื่อยมันต้องมีอยู่แล้ว หลักในการคิดหมอเอาตามที่ในหลวงเคยตรัสไว้ก็คือว่า การทำงานทำให้คนมีคุณค่า เพราะฉะนั้นเราก็ต้องทำ ถ้าไม่ทำมันเหมือนตัวเองไม่มีค่า ซึ่งการทำงานให้มีความสุขมันต้องประกอบด้วยสิ่งแวดล้อมที่ทำให้มีความสุขด้วย เพราะฉะนั้นอย่างที่ออกมาประกาศตัวเลยว่า เราออกสื่ออย่างนี้ ทำงานตรงนี้ เราต้องไปลิงค์กับเขา เมื่อเราไม่พอใจเราไม่แฮปปี้กับเขา เราก็คงไม่อยู่กับเขาหรอก มันขัดแย้งกับตัวเอง

-ตอนนี้งานที่ทำมีอะไรบ้าง

งานหลักส่วนใหญ่ตรวจคนไข้ที่โรงพยาบาล แล้วก็มีรายการโทรทัศน์ซึ่งเป็นรายการประจำ ตอนเช้าวันจันทร์-อังคาร ของช่อง S Channal ชื่อรายการผู้หญิงรู้จริง ก็จะเป็นความรู้เกี่ยวกับผู้หญิงและเรื่องของสุขภาพจิต เป็นเรื่องแบบรีแลกซ์ๆ ซึ่งชาวบ้านดูเขาก็จะชอบ แล้วก็มีรายการวิทยุที่ทำอยู่กับ seed radio จะคล้ายๆ ชูรักชูรส คือเป็นกลุ่มวัยรุ่นที่จะโทรเข้ามา ฝาก sms ปรึกษาปัญหาเรื่องทางเพศ อันนี้เพิ่งเริ่มทำได้สัก 4 - 5 เดือน เป็นช่วงดึกๆ วันศุกร์สุดท้ายของเดือน ถ้าเรทติ้งดี เขาอาจจะขยายเพิ่มขึ้นไปอีก แล้วก็มีเขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ คอลัมน์ออกกำลังใจ ทุกวันอาทิตย์ ตอนนี้เป็นภาระที่ต้องทำ แต่ก็โอเค มันเป็นช่องทางหนึ่งที่เราได้นำเสนอในสิ่งที่ไม่ถูกต้องที่หลายคนเข้าใจผิด เราก็ระบายสิ่งนี้ออกไปผ่านเรื่องของความรู้ แล้วก็มีสัมภาษณ์ออกรายการบ้างประปราย

-เท่าที่ดูปัญหาสุขภาพจิตของคนไทยมีแนวโน้มอะไรที่น่าเป็นห่วง

จริงๆ คนไทยมาปรึกษาบุคลากรทางการแพทย์ด้านสุขภาพจิตเยอะขึ้นนะ อันนี้เป็นสิ่งที่เราดีใจและก็ชื่นใจ ส่วนโรคทางจิตเวชเท่าที่เช็คเรทติ้งกับทางยูทูบ โรคที่คนสนใจมากคือโรคซึมเศร้า ตอนนี้มีคนเป็นเยอะ คนคลิกเข้ามาดูเยอะมาก โรคย้ำคิดย้ำทำ ปัญหาสัมพันธภาพ หมอว่าเป็นเพราะสังคมมันมีการเปลี่ยนแปลงไป ตอนนี้ประเทศไทยเป็นประเทศกำลังพัฒนา ช่วงกำลังพัฒนาจะเป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงเยอะ มีความเครียดสูง จนกว่าเราจะพัฒนากันแบบเต็มที่แล้ว มีระบบรองรับแล้ว คนก็อาจจะได้รับการดูแลดีขึ้น สถานการณ์ก็อาจจะเบาบางลง แต่อาจจะต้องใช้เวลาอีกหลายปี สัก 50 ปี 100 ปีอะไรแบบเนี้ย แต่ ณ เวลานี้ เราอยู่ในช่วงกำลังพัฒนามันเป็นช่วงของการเปลี่ยนแปลง เป็นช่วงที่วิกฤติ พูดง่ายๆ เหมือนวัยรุ่นจะเปลี่ยนเป็นผู้ใหญ่ ช่วงนี้เป็นช่วงที่ต้องประคองให้ดี แต่ก็ยังดีใจที่มีคนสนใจเรื่องสุขภาพจิตของตัวเองมากขึ้น

-บรรยากาศในสังคมการเมืองที่ผ่านมามีผลต่อสุขภาพจิตของคนไทยมากน้อยแค่ไหน

หมอว่ามีนะ มีค่อนข้างเยอะพอสมควร มันทำให้อารมณ์ของคนขึ้นๆ ลงๆ ได้ คุยกัน กับหลายๆ บ้าน พูดเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า พอติดตามเรื่องการเมืองเยอะ อารมณ์ก็จะขึ้นเยอะ คือมันมีอิทธิพลพอสมควร

-แล้วโดยส่วนตัวคุณหมอมีวิธีจัดการกับความเครียดอย่างไร

เวลาเราสอนคนไข้ให้สามารถคุมอารมณ์ตัวเองได้ ให้เยียวยารักษาจิตใจ สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือต้องรู้จักตัวเอง มันก็เหมือนหลักพุทธศาสนา คือเรื่องของสติ การรู้จักตัวเอง การเข้าใจตัวเอง เหมือนกับเป็นสติที่คอยฉุดคุณอยู่ วันนี้ฉันไม่พอใจ ฉันโกรธเพราะอะไร สมมติอย่างวันนี้หมอโกรธ หมอเครียด ก็ต้องถามตัวเองว่า เพราะอะไร ฉันนิสัยไม่ดี ฉันเป็นคนมีความเครียดสูง เป็นคนเจ้าระเบียบ ย้ำคิดย้ำทำ คาดหวังสูง อย่างนี้จะเป็นอะไรที่ทำให้โกรธง่าย อะไรไม่ถูกใจ ไม่ดี ก็จะมีอารมณ์หงุดหงิด พอเรารู้จักตัวเองปุ๊บก็ต้องหาทางออก มันมีหลายพาร์ท พาร์ทหนึ่งกลับไปแก้ที่ต้นเหตุ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ก็คือการรู้จักตัวเอง

พอเรารู้จักตัวเองก็ต้องหาช่องทางออก นั่นก็คือการระบายออกไป ระบายออกไปว่าจะทำอย่างไรให้ตัวเองสบายใจขึ้น ส่วนใหญ่หมอไม่ค่อยเครียดนานหรอกเพราะว่ารู้จักตัวเองมาพอสมควร ก็มีช่องทางในการระบายออกค่อนข้างดี ด้วยการอยู่กับครอบครัว แล้วอีกข้อที่อยากแนะนำให้คนทำตามคือ อยู่กับธรรมชาติ ที่บ้านหมอจะมีต้นไม้เยอะมาก ทุกครั้งที่เราไปอยู่กับต้นไม้ เราจะเย็นขึ้น มีความสุขมากขึ้น หมอจะใช้เวลาในการตัดต้นไม้ กวาดใบไม้ทำอย่างนี้ทั้งวัน ใส่ปุ๋ยรดน้ำ เพราะเมื่อไหร่ที่ห่างจากมันเราจะรู้สึกเริ่มเครียด และก็มีอีกอันหนึ่งที่ทำให้เราไม่เครียด ไม่หงุดหงิด คืออย่าพยายามเสพสื่อเยอะ หรือว่าเทคโนโลยีเยอะ

ตอนนี้มันมีพวกล่อตาล่อใจ ไอแพด ไอโฟน อะไรทั้งหลายเข้ามาเต็มไปหมด ถ้าอยู่กับมันเยอะ หมอเชื่อว่าวิบัติแน่ เพราะว่ามันจะดึงให้เราไปโฟกัสตรงนั้น มันไม่ใช่เป็นตัวเพิ่มสมาธินะ แต่เป็นตัวเพิ่มความเครียดถ้าใช้แล้วเราจัดขอบเขตเวลาไม่ได้ ไม่ควรจะเกิน 2 ชม. ในการใช้สิ่งเหล่านี้ แต่ถ้าใครใช้แบบ 5 นาที แล้วออกไปเดินเล่น ไม่ใช่จดจ่อเล่นเกมส์อยู่ 3 ชม. 5 ชม. 10 ชม. มันเหมือนคนเล่นการพนัน หมอว่ามันเครียด คือสมองของคนเรามันมีลิมิตอยู่แล้วว่าจดจ่ออยู่กับอะไรได้นานแค่ไหน

-สุดท้ายมีอะไรจะฝากถึงแฟนละครบ้าง

ขอให้ดูแบบมีวิจารณญาณ หมอจะพูดเสมอว่าอย่าไปคิดว่า คนเสพสื่อจะมีวิจารณญาณทุกคน หมอยังให้เครดิตว่า คนสร้าง คนผลิตสื่อทั้งหลาย เป็นคนมีความรู้ คุณก็ต้องมีวิจารณญาณเหมือนกันที่จะนำเสนอสิ่งเหล่านี้ เราต่างคนต่างรับผิดชอบซึ่งกันและกัน แล้วมันจะได้เป็นการเสพสื่ออย่างมีความสุข ได้ความสบายใจ และได้สาระ ตรงนี้มันต้องช่วยกัน ไม่ใช่ว่าฉันก็ทำของฉันแบบนี้ คุณไม่มีวิจารณญาณเอง ช่วยอะไรไม่ได้ ถ้าคุณไม่รับสักอย่าง ใครจะว่าอะไรได้ คือมันมองได้ทุกๆ มุม แต่มันต้องช่วยกัน อย่าโยนภาระความรับผิดชอบไปให้ใครคนใดคนหนึ่ง