จากสายตาสู่ลายเส้นของ พงษ์เทพ สกุลคู

การถ่ายทอดรูปแบบห้องพักโรงแรมดังทั่วโลกสู่ 'ลายเส้น' รวบรวมไว้ในหนังสือ A Room With A View : A journey through the world of hotel rooms
ว่ากันว่าการเดินทางคือการเรียนรู้ แต่บนเส้นทางเดียวกันประสบการณ์ที่แต่ละคนเก็บเกี่ยวได้นั้นแตกต่างกัน บางสิ่งสำหรับบางคนอาจเป็นความสวยงามที่น่าประทับใจ แต่กับบางคนสิ่งที่มองเห็นคือความรู้ที่นำไปสู่การสรรค์สร้างสิ่งใหม่ๆ เหมือนบันทึกจากการเดินทางของ พงษ์เทพ สกุลคู นักออกแบบผู้ก่อตั้ง August Design Consultant ซึ่งถ่ายทอดรูปแบบห้องพักโรงแรมและรีสอร์ทจากทั่วโลกจากสายตาสู่ลายเส้นรวบรวมไว้ในหนังสือ A Room With A View : A journey through the world of hotel rooms
"พอดีผมเดินทางบ่อย ไปทั้งเรื่องงานเรื่องส่วนตัว เผอิญบริษัทที่ผมทำเมื่อก่อนนี้ก็เน้นเรื่องทำโรงแรมเป็นหลัก เวลาเราไปพักเรารู้สึกได้ว่าเรากำลังเรียนรู้งานจากสถานที่ที่เราเข้าไปพักด้วย จำได้ว่าเขียนชิ้นแรกจริงๆ สักประมาณเกือบๆ สามสิบปีแล้ว ไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอันหรอกครับ ก็เขียนบันทึกง่ายๆ ไว้แล้วก็เขียนบ้างไม่เขียนบ้าง" คุณพงษ์เทพ เล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นของการบันทึก
"ผ่านไปหลายปีแล้ววันหนึ่งผมก็ไปเจอสมุดบันทึกนี้แล้วรู้สึกว่ามันแปลกดี คือห้องพักที่เราเคยไปพักมันไม่ได้เหมือนกันหมด และมันมีอะไรให้เราเรียนรู้เหมือนกัน ก็รู้สึกเสียดายที่เราเดินทางบ่อยแล้วทำไมเราไม่เขียนเก็บไว้ให้เป็นเรื่องเป็นราวแทนที่จะเขียนทิ้งๆขว้างๆ ซึ่งก่อนหน้านั้นในช่วง 5-6 ปีแรกผมเขียนทิ้งๆ ขว้างๆ ไว้เยอะมากเลยครับ ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน เขียนบ้างไม่เขียนบ้าง จนเรารู้สึกว่าไหนลองตั้งใจกับตัวเองสิว่าเราเขียนเก็บไว้ทุกครั้งที่เราไปพักดูสิจะเป็นอย่างไร"
บันทึกในช่วงแรกยังคงเป็น แบบร่าง (Sketch) แบบคร่าวๆ
" ..จากตรงนั้นเป็นต้นมาเราก็เริ่มเขียน ก็ตามสถานการณ์ เราเคยเห็นงานหนังสือต่างประเทศบางทีมันรวมแบบร่าง (Sketch) อย่างเดียว ไม่ได้บอกเลยว่ามันคือแบบร่างอะไร ซึ่งผมก็มองว่ามันเป็นศิลปะ (Art) อย่างหนึ่ง เราจะทำอย่างนั้นก็ได้แต่ในฐานะที่เราบันทึกอันนี้เป็นเรื่องเป็นราวเราก็เขียนให้เป็นเรื่องเป็นราวสักนิดหนึ่ง โดยที่ตั้งใจว่าจะใช้กระดาษของแต่ละที่เป็นหลัก โดยที่เราไม่เอาอะไรติดตัวไปเลย ผมคิดว่าผมกำลังทำงานบันทึกอันหนึ่งกึ่งงานศิลปะด้วย คือไปถึงมือเปล่ามีเวลาเท่าไหนก็เท่านั้น จบก็จบเลย ตั้งใจเป็นอย่างนั้น...
..โรงแรมเขามีอะไรผมก็ใช้อย่างนั้น ใช้ทั้งกระดาษใช้ทั้งปากกาของเขา มีดินสอผมใช้ดินสอ บางโรงแรมไม่ได้ให้กระดาษเขียนจดหมายก็ต้องเขียนบนโพสการ์ด ส่วนสีเวลาเรากลับมาแล้วว่างๆ เราก็ลงสีเล่น หรือว่าบางทีเราก็เตือนความจำ บางโรงแรมสีสวยเราก็โน้ตๆ ไว้ กลับมาก็เอามาลงสี บางอันเก่ามากสมัยยังไม่มีกระดาษของโรงแรมก็ใช้กระดาษร่างแบบ (Sketch)"
คุณพงษ์เทพ ทำการบันทึกสถานที่พักจากการเดินทางอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่เพิ่มเติมจากวันที่เริ่มต้นคือรายละเอียดที่มากขึ้น
"ทำอย่างนั้นมาร่วม 20 ปี ในช่วง 5-6 ปีหลังมานี่ก็ถูกขอร้องแกมบังคับจากน้องๆ ที่ทำงานด้วยกันว่า พี่เดินทางบ่อย เขียนกลับมาให้ดูกันเยอะ แต่ไม่มีข้อมูลรายละเอียดที่เขาอยากจะรู้เลย เช่นระยะหรือว่าสัดส่วนห้องอะไรแบบนี้ (หัวเราะ) ซึ่งเมื่อก่อนผมไม่ค่อยสนใจที่จะไปวัดจริงๆ จังๆ ผมก็ใช้ความรู้สึกเอา คือพอเราเขียนกับมือเราก็รู้สึกว่าห้องพื้นที่เท่าไร สูงเท่าไร แต่ว่าเรารู้อยู่คนเดียว พอถูกขอร้องก็ทำให้ผมยุ่งขึ้นอีกนิดหนึ่งคือผมต้องพกตลับเมตรไปด้วย (หัวเราะ) แต่ก็ยังเหมือนเดิมคือว่าผมยังใช้เวลาเท่าที่มี บางโรงแรมผมพักแค่คืนเดียว และคืนเดียวของผมก็ไม่ได้เป็นคืนที่เต็มร้อยเพราะบางทีต้องไปธุระไปอะไรกลับมาเหลือเวลาแค่นิดหน่อยก่อนนอน ก็ใช้เวลาสั้นๆ แค่นั้น..
..บางคนอาจจะเดินทางบ่อยแต่ไม่ได้เขียน บางคนอาจจะเขียนแต่ไม่ได้เขียนเรื่องนี้ หรือบางคนอาจจะเขียนแต่ไม่ต่อเนื่อง มันต้องอาศัยความรักที่จะเขียนเหมือนกัน บางทีง่วงนอนมากเลย เข้าเช็คอินก็ค่ำแล้ว พรุ่งนี้เช้าก็ต้องไปแล้ว เหนื่อยมากก็ต้องเจียดเวลามา เอาซักแผ่นหนึ่งน่าก่อนนอน อะไรแบบนี้ ทำให้มันเป็นนิสัย (หัวเราะ) "
ต่อคำถามที่ว่าทำไมไม่บันทึกด้วยกล้องถ่ายภาพซึ่งสะดวกรวดเร็วและได้เห็นภาพจริง คุณพงษ์เทพ ให้คำตอบว่า
"ถ่ายรูปง่ายกว่าครับ แต่ว่าถ่ายรูปคุณจะไม่จำอะไรเลยเพราะว่าคุณใช้เวลากับมันสั้นไปหน่อย และถ่ายรูปมันให้ได้ไม่ครบ มันไม่สามารถจะให้ภาพรวมที่เป็นภาพรวมอันใหญ่อันหนึ่ง แต่มันจะเป็นเรื่องของรายละเอียดแต่ละอันๆ เพราะมันไม่สามารถจะมาต่อแล้วรวมกันได้ ซึ่งปัจจุบันผมเข้าไปดูยูทูป (Youtube) มีคนถ่ายเป็นวีดีโอไว้เต็มเลย เวลาไปพัก ซึ่งทุกคนมีความสุขมากเลยเวลาไปพักแล้วถ่ายมาลงยูทูป เดี๋ยวนี้เราไม่ต้องเดินทางก็ได้เราเข้าไปดูในยูทูปได้ แต่ว่าการที่จะไปเข้าใจพื้นที่ๆ (Space) หนึ่ง ลำพังเป็นวีดีโอหรือรูปถ่ายผมว่ามันยังไม่พอ"
ส่วนหนึ่งของบันทึกของคุณพงษ์เทพ ถูกนำมารวบรวมเป็นหนังสือ 'A Room With A View : A journey through the world of hotel rooms' จัดพิมพ์โดย บริษัท คอร์ปอเรชั่น โฟร์ดี จำกัด ผู้ผลิตนิตยสาร art4d
" ..วันหนึ่งคุยกันเล่นๆ กับทางบรรณาธิการ art4d ว่าแบบร่างพวกนี้มันเป็นประโยชน์อะไรไหมในเชิงให้ความรู้ เน้นไปที่กลุ่มนักศึกษาที่เรียนเรื่องดีไซน์ เรื่องอินทีเรียดีไซน์ จะมีประโยชน์อะไรไหม ทางบรรณาธิการบอกว่า ความจริงมันดี และน่าจะทำเป็นเสวนา (Session) ให้ความรู้กับผู้ที่สนใจ นักศึกษาหรือว่าคนทั่วไปก็ได้ที่สนใจเรื่องโรงแรม เรื่องห้องพักโรงแรม ก็เลยคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวว่าจะทำอย่างไร จะให้ผมเขียนเลยผมก็คิดว่าผมไม่มีเวลามาก เลยทำเป็นเสวนาคุยกันเรื่อง Hotel Design ไล่มาตั้งแต่ 20 กว่าปีก่อน แล้วทาง art4d บันทึกเป็นเทปเอาไว้ และเริ่มกระบวนการถอดเทปหลังจากที่จบเสวนาแล้ว ผมก็มาช่วยเปลี่ยนช่วยปรุงและปรับหน่อย มีเขียนเพิ่มเข้าไปบ้าง ใช้เวลาทำอยู่ร่วมปีครับ"
จากบันทึกหลายร้อยชิ้น คุณพงษ์เทพ พูดถึงการคัดเลือกบันทึกที่นำมาตีพิมพ์ให้ฟังว่า
" ..คัดมาแบบรักพี่เสียดายน้องมากเลย เพราะทาง art4d บอกว่าเพื่อไม่ให้มันหนาจนเกินไปและราคาจะสูงไป ก็จะจำกัดจำนวนหน้าไว้ เราก็เลือกแล้วเลือกอีก เพราะว่าถ้าถามว่าเราชอบอะไรมากที่สุดก็คงพูดยาก (หัวเราะ) เราพยายามเลือกให้มีความหลากหลาย มีคาแรคเตอร์ที่แตกต่างกันออกไปบ้างเพื่อให้ไม่น่าเบื่อ บางอันอาจจะไม่ได้มีความน่าสนใจในเชิงดีไซน์มาก บางอันในเชิงการทำแผนผัง (Planning) มันน่าสนใจมาก บางอันก็กระดาษสวย (หัวเราะ) "
โดยพื้นฐานโรงแรมและรีสอร์ทมีสิ่งที่เหมือนกันแต่ขณะเดียวกันก็มีบางสิ่งที่ทำให้แต่ละแห่งมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน
"ในเชิงการใช้งานมันมีเหมือนกัน แน่นอนมีห้องน้ำ มีตู้เสื้อผ้า มีมินิบาร์ มีเตียง มีมุมนั่งเล่น แต่ว่าวิธีการจัดและรูปร่างของห้องมันจะหลากหลายไป ..เป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับนักออกแบบ เพราะว่าเราจะหาคาแรคเตอร์อย่างไรให้คนจดจำได้ว่าห้องพักห้องหนึ่งมันเป็นโรงแรมนี้ ..โดยเฉพาะห้องพักนะครับ พวกพื้นที่สาธารณะ (Public Area) ซึ่งแน่นอนว่าต้องพยายามทำให้มีคาแรคเตอร์ ห้องพักมันท้าทายโดยเฉพาะห้องที่มันมีขนาดพื้นที่เท่ากัน สมมติว่ามาตรฐานของห้องพักปกติกว้างประมาณ 4-4.50 เมตร ลึกประมาณ 8-10 เมตร สี่เหลี่ยมอันนี้เราจะจัดอย่างไร ห้องน้ำจะจัดอย่างไร เปิดประตูเข้าทางไหน เตียงจะวางชิดไปทางผนังหรือจะวางกลาง ผมว่าเรื่องพวกนี้เป็นองค์ประกอบที่คนออกแบบจะต้องคิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะไม่เหมือนคนอื่นเขา และมีคาแรคเตอร์ที่นอกจากผังของพื้นที่ (Floor Plan) แล้วพอขึ้นมาเป็นหน้าตาของห้อง บรรยากาศ หรือวัสดุแล้วมันจะมีเอกลักษณ์ (Unique) จะพิเศษ รู้สึกได้ว่ามันไม่ธรรมดา"
บันทึกที่ถูกบันทึกไว้อย่างต่อเนื่องยาวนานนับสิบๆ ปียังสะท้อนให้เป็นถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างอีกด้วย
"มันแสดงวิวัฒนาการของโรงแรมตั้งแต่.. ผมเรียกว่ายุค 80 ไล่มาถึงปี 2000 เรียงวิวัฒนาการห้องพักในโรงแรมซึ่งมันมีการเปลี่ยนแปลงพอสมควร.. เป็นวิวัฒนาการของห้องพัก ขนาดของห้อง พื้นที่ของห้องก็เปลี่ยนแปลงจากสมัยก่อนซึ่งโรงแรมที่เรียกว่าชั้นหนึ่งแล้วพื้นที่ก็ไม่เกิน 40 ตารางเมตร ห้องน้ำก็มี 3 ในภาษาโรงแรมเขาเรียกว่า 3 Fixture อ่างล้างหน้าหนึ่งอัน อ่างอาบน้ำหนึ่งอัน แล้วก็สุขภัณฑ์หนึ่งอัน.. ปัจจุบันเปลี่ยนไปแล้ว ห้องพักใหญ่กว่า 40 ตารางเมตร และจาก 3 Fixture ถ้าเป็นโรงแรมชั้นดีก็ต้องเป็น 4 Fixture เพิ่มฝักบัวแยกออกมา บางที่อ่างล้างหน้าเป็นสองอัน เรียกว่าเป็น 5 Fixture เข้าไปอีก ถ้ารีสอร์ทที่ดีมากๆ ก็มี Outdoor Shower เพิ่มเข้าไปอีก Outdoor Bathtub เพิ่มเข้าไปอีก ก็ค่อยๆ ต่อยอดเข้าไป
..ผมว่ารีสอร์ทมีพัฒนาการเยอะ จากเมื่อก่อนอยู่บนตึกตอนหลังนี่เป็นวิลล่า แล้ววิลล่าเริ่มจากกระทัดรัดค่อยๆ ขยายไปมีสระว่ายน้ำส่วนตัว มีห้องอาบน้ำส่วนตัว มีสวนส่วนตัว มันไปไกลมาก จินตนาการมันไม่มีขอบเขต ส่วนโรงแรมห้องพักในเมือง (City Hotel, City Room) จะเน้นเรื่องของเทคโนโลยี อุปกรณ์ไฮเทค เรื่องของระบบไฟระบบไอทีที่เข้ามามีส่วนทำให้ห้องพักทันสมัยมากขึ้น นี่เห็นได้ชัดๆ "
ตัวอย่างของห้องพักที่น่าสนใจในหนังสือ คุณพงษ์เทพ เล่าให้ฟังว่า
"ในนี้มีงานของสถาปนิกชั้นครูคนหนึ่งของเอเชียซึ่งทำงานอยู่ในประเทศศรีลังกา ที่ชื่อว่า Geoffrey Bawa อยู่หลายชิ้นทีเดียว มีงานโรงแรมซึ่งผมคิดว่าน่าสนใจทีเดียว ส่วนตัวผมก็ประทับใจกับผลงานของ Bawa ในเชิงอินทีเรียอาจจะไม่ได้มีอะไรที่หวือหวามาก แต่ว่าในภาพรวมของความเป็นโรงแรมหรือความเป็นรีสอร์ทนี่มันรู้สึกดีมาก ..ล่าสุด เพนนินซูล่า ฮ่องกง เขาปรับปรุงใหม่ (Renovated) เตียงหมุนมาอยู่ตรงนี้ ห้องน้ำเก็บเอาไว้ เปลี่ยนลุคข้างในใหม่หมด อย่างนี้ผมถือว่ากลายเป็นดีไซน์ใหม่ไปแล้ว ในกรอบอันเดิม โรงแรมห้องพักปกติจะมีอายุประมาณ 10 ปี ก็จะปรับปรุงซึ่งบางคนจะแค่.. ผมเรียกว่า Soft Renovated คือเปลี่ยนแค่วัสดุแต่ไม่ได้ย้ายอะไร แต่บางทีก็ย้ายหมดเลย อย่างอันนี้จัดวางใหม่กลายเป็นคาแรกเตอร์ใหม่ ผมว่ามันคือความท้าทายของคนออกแบบนะ.. "
แม้จะดูเป็นเส้นสายลายเส้นของนักออกแบบแต่คุณพงษ์เทพ มองว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ได้ทำขึ้นมาเพื่อนักออกแบบเท่านั้น
"ผมแบ่งออกเป็นสามอย่าง หนึ่ง Professional ถ้าทำงาน คุณเอาไปดูแล้วคุณดูมันอย่างละเอียดคุณก็จะไปต่อยอดได้ หมายถึงว่าคุณจะเห็นว่าสิ่งที่เขาทำมาแล้วเขาทำอะไร แล้วถ้าเราจะทำงานของเราเองต่อไปทำอย่างไรมันถึงจะพัฒนาไปจากนี้ได้ โดยที่ไม่ไปซ้ำกับเขา สองสำหรับนักเรียนที่เรียนทางด้านอินทีเรีย ทางด้านดีไซน์ โอกาสที่เขาจะได้ไปเห็นของจริงมันยาก การที่เราเอามาย่อยให้เห็นง่ายๆ มันเป็นการบันทึกที่เหมือนเป็นตำราอันหนึ่ง.. สามคือกลุ่มคนทั่วๆ ไปที่อาจจะไม่ได้สนใจหรือสนใจบ้างนิดหน่อย ก็อ่านเพื่อความเพลิดเพลิน หรือจะมองว่าเป็นหนังสือสวยๆ เล่มหนึ่งก็ได้ คือมองว่าเป็นหนังสือศิลปะเล่มหนึ่งก็ได้ ผมมองว่าสามกลุ่มนี้ทิศทางหรือเป้าหมายไม่เหมือนกัน..
..ผมลืมไป มีบางคนใช้หนังสือเล่มนี้เป็นไกด์เวลาไปเข้าพักโรงแรม มีคนบอกผมว่าเขาจะไปตามโพยตามนี้เหมือนกัน (หัวเราะ) "
และในฐานะผู้จดบันทึกสิ่งที่คุณพงษ์เทพ ได้รับจากการบันทึกการเดินทางนี้คือ
"ผมคิดว่าผมได้โดยไม่รู้ตัว ปัจจุบันเวลาทำงานบางทีผมกลับไปค้นดูว่าเวลาเรากำลังจะทำงานออกแบบใหม่ๆ เราก็พยายามดูว่าในกรอบอันนี้ที่มันใกล้เคียงเขาทำอะไรกันไปแล้ว เราจะทำอย่างไรที่จะเป็นทิศทางใหม่ไม่ไปซ้ำ อย่างที่ผมเรียนไปว่าทำอย่างไรเราถึงจะไปแตกหรือพัฒนาต่อยอดไปได้ การบันทึกไว้บ่อยๆ จะซึมเข้าไปในสมองโดยอัตโนมัติ ผมเป็นคนที่เชื่ออย่างหนึ่งว่า ถ้าใช้มือเขียนสมองก็จะจำ และเวลาเอาไปใช้งานมันจะนึกออกเร็ว"
หมายเหตุ : ชมภาพมากกว่านี้ได้ที่ fan page เซ็คชั่น กรุงเทพวันอาทิตย์ กรุงเทพธุรกิจ คลิก http://www.facebook.com/sundaybkk







