'จุลภัสสร พนมวัน ณ อยุธยา' นักท่องอดีตทางเท้า
เศษซากสิ่งปลูกสร้างในอดีต เป็นหลักฐานที่ช่วยให้การศึกษาประวัติศาสตร์ วิถีชีวิตผู้คนเป็นไปอย่างมีมิติ และไม่ยากเลยที่ก้าวเท้าเข้าไปเรียนรู้อย่างใกล้ชิด
ประวัติศาสตร์เป็นเรื่องที่อยู่รอบตัวเรา แต่สำหรับคนอีกจำนวนไม่น้อยรู้สึกว่าเป็นเรื่องไกลตัว 'จุดประกายทอล์ค' พาไปพูดคุยกับ จุลภัสสร พนมวัน ณ อยุธยา วิทยากรอิสระด้านศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ผู้ปลุกกระแสผู้คนให้หันมาสนใจ ด้วยการเดินเท้าท่องเที่ยวเพื่อสร้างการรับรู้ในสิ่งที่ถูกมองข้าม
“จริงๆ เป็นเรื่องพื้นฐานของเราทุกอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเพราะเรามีร่องรอยเรื่องราวชีวิตเยอะมากในทุกๆ วัย ต่างมีประวัติศาสตร์เป็นของตัวเองเพียงแต่เราหลงลืมที่จะบันทึกทำให้ความรู้เหล่านี้สูญหาย พอเราจะค้นคว้าเรื่องนี้ในปัจจุบันหายากขึ้นทุกที เช่น ตึกเก่าหลังหนึ่งอยู่ในซอย คนเดินผ่านไปผ่านมาเพียงเพื่อจะไปหาร้านนั่งดื่มกาแฟสวยๆ แล้วถ่ายรูป ทั้งที่ในอดีตเคยเป็นอาคารที่เกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศโดยบันทึกยุคสมัย ไม่ว่าจะเป็นสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ เศรษฐศาสตร์
ถ้าเรารู้บริบทผ่านการเข้าไปในพื้นที่แล้วเกิดเป็นความเพลิดเพลินเหมือนเราอ่านนวนิยาย ซึ่งประเทศเรามีจุดแข็งบ้านเมืองที่มีการสั่งสมวัฒนธรรมมายาวนานบนพื้นฐานความเป็นมนุษย์ที่มีความละเอียดอ่อน โดยสังคมเราไม่ชอบลอก ไม่ได้ก็อปปี้ แต่เราชอบเลียนบางส่วนแล้วนำมาปรับใช้เกิดเป็นรูปแบบที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว"
- มีอะไรบ้าง
อาหารการกิน ที่อยู่อาศัย การแต่งกาย ระบำรำฟ้อน ละคร ดนตรี ช่วงที่ผมทำงานในสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติมีโอกาสสัมผัสกับศิลปินแห่งชาติ ประชาสัมพันธ์จังหวัดราวสิบกว่าปี พบว่าเรามีคนฝีมือดีเต็มไปหมด พวกเขารู้ศิลปะหลายแขนง ตกผลึกกลายมาเป็นงานของตัวเอง แต่ไม่มีการถ่ายทอดทำให้คนมองไม่รู้ดูไม่ออก สิ่งที่เราอยากให้ชาวต่างชาตินับถือ ก็ไม่ได้เป็นไปถึงขั้นนั้น เลยทำให้ผมปรับความคิดตัวเองว่า เรารู้คนเดียวไม่พอ ต้องให้คนอื่นรู้ด้วยโดยนำความรู้ที่เราเรียนจบทางด้านการศึกษามาใช้ทางอ้อม
- คุณมีวิธีการถ่ายทอดออกไปให้ผู้คนได้รับทราบอย่างไร
ใช้ภาษาง่าย อาจเป็นเพราะหลายสิ่งหลายอย่าง การสั่งสอนเลี้ยงดูจากที่บ้าน ตอนเด็กๆ ผมดูโขนละคร ฟังเพลงสุนทราภรณ์ที่คุณพ่อคุณแม่เปิดฟังก็ซึมซับส่งผลให้เวลาคิดอะไร เล่าอะไรเล่าทีละสเตป ซึ่งประสบการณ์จากการทำงานเป็นผู้นำชมให้ความรู้ที่หอไทยนิทรรศน์มีส่วนทำให้เรามีทักษะในการถ่ายทอดเรื่องราว ต่อจากนั้นมีโอกาสเจอพี่ๆ เพื่อนๆ กลุ่มหนึ่งที่เขามีความสนใจเกี่ยวกับเรื่องศิลปวัฒนธรรมจัดกิจกรรมพาเดินชุมชน ถือว่าเป็นเรื่องใหม่มากในยุคนั้น
งานนั้นเราพากันไปที่แพร่งภูธร แพร่งนรา แพร่งสรรพศาสตร์ หรือที่เราเรียกว่า ชุมชนสามแพร่ง โดยผมทำหน้าที่เป็นหนึ่งในวิทยากรเล่าเรื่อง ซึ่งสมัยก่อน รูปแบบก็ยังไม่มีปรากฏเด่นชัดเหมือนอย่างปัจจุบัน ส่วนใหญ่การเล่าพวกนี้ มีแต่อาจารย์พานักศึกษามาทัศนศึกษานอกสถานที่เท่านั้น
- ผลตอบรับเป็นอย่างไร
ปรากฏว่าวันนั้นพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ มาเป็นวิทยากรกัน 5 คน คุยกันว่าพวกเราช่วยกันเล่าในทางที่ตัวเองถนัด ผมถนัดเรื่องการดูงานศิลปะตามวัด พี่อีกคนถนัดภาษาจีน เวลาเข้าไปในศาลเจ้าก็อ่านป้ายแล้วแปลความหมายเกี่ยวกับคติความเชื่อ พี่บางคนเป็นครูสอนวิชาสังคม เล่าเรื่องลักษณะสภาพสังคมแล้วช่วยกันวิเคราะห์ ตอนเช้ามีคนมาร่วมกิจกรรมกับเราแค่ 20 คน พอตกบ่ายเจ้าของงานบอกว่ามีคนมาเรียกร้องให้จัดอีก มากันเป็น 50 คน คงเพราะเมื่อคนเห็นมุงกัน ก็มาล้อมวงฟังว่าเขาคุยอะไรกัน บ้างก็ว่า ฟังแล้วสนุก ไม่เคยรู้เลยว่าบริเวณนี้เคยเป็นวังมาก่อน
ผมเริ่มเดินเที่ยวที่ต่างๆ ในกรุงเทพฯ ต่อจากนั้นสำนักพิมพ์สารคดีจัดทำหนังสือเรื่องธนบุรี ผมก็ข้ามฟากไปเดินฝั่งนั้น ไปเจอพี่อีกกลุ่มหนึ่งเป็นคนในชุมชน เลยตัดสินใจว่า ถ้าเราจะเข้าไปในสถานที่เหล่านี้ในรูปแบบปัจเจกบุคคลบางพื้นที่เขาไม่รองรับ เพราะฉะนั้นเราควรตั้งเป็นชมรมสยามทัศน์ขึ้นมา มีสมาชิกจากหลากหลายสาขาอาชีพ ทุกวันนี้ก็ยังพบปะกันอยู่ ทำไปเรื่อยๆ
- เวลาเจอคนมาทดสอบความรู้ คุณมีวิธีรับมืออย่างไร
ผมพูดเสมอว่าหนังสือแต่ละเล่มคนอ่านเรื่องเดียวกันเข้าใจได้คนละแบบ แทนที่จะใช้วิธีทะเลาะเบาะแว้งกันเลย ใช้วิธีให้เขาช่วยเล่าให้สมาชิกที่มาด้วยกันฟังหน่อย จะได้รู้ไปด้วยกัน คนที่ลองของ เขาจะพูดไปได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่ได้ถูกฝึกมาเพื่อเป็นคนเล่าเรื่อง มาถึงจุดหนึ่งมันไม่ใช่พื้นที่ของเขาในเวลานั้นเดี๋ยวก็จะเงียบไปเอง ซึ่งผมก็ทำงานประจำสิบกว่าปีแล้ว ถึงจุดอิ่มตัวแล้วก็ตัดสินใจลาออก
- ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น
รู้สึกไม่อิสระกับการทำงาน โลกนี้กว้างนักและเรื่องศิลปวัฒนธรรมเป็นเรื่องเรียนรู้ตลอดชีวิต เราน่าจะใช้ศักยภาพที่มีในตัวเราให้มากขึ้นไปอีก เลยมาจัดทริปของเราเอง เมื่อปี 53 อย่างจริงจัง มีหน่วยงานสถานศึกษาที่รู้ว่าเราเป็นฟรีแลนซ์ก็เชิญผมไปบรรยายในหัวข้อต่างๆ
- การเตรียมข้อมูลในการบรรยาย ทำอย่างไร
ดูว่าถ้าเป็นสถาบันการศึกษา ผมขอคนฟังเป็นนักศึกษา หรืออาจารย์ เพราะการถ่ายทอดข้อมูลเราสามารถทำได้ถึงขั้นวิเคราะห์ข้อมูล หรือคนที่เรียนด้านมัคคุเทศก์เพราะถือว่าอนาคตเขาจะเป็นด่านหน้าของประเทศก็ทำอย่างนี้มาเรื่อยๆ จะว่าไปงานของผมเป็นงานท่องเที่ยวเดินเท้า ที่มีบรรยากาศเหมือนการเรียนนอกห้องและรื่นรมย์กว่า อาจมีคนเถียงว่าดีจริงเหรอ เมืองไทยเป็นเมืองร้อน น่าเดินเที่ยวตรงไหน ผมตั้งคำถามว่าเคยสงสัยมั้ยว่าทำไมบ้านสวยๆ อยู่หลังตึกแถว บางแห่งมีวัด มัสยิด โบสถ์ ศาลเจ้า ทำให้เห็นว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่เปิดกว้างชี้ชวนกับคนที่ไปเดินเที่ยวกับเราว่าอะไรเป็นเหตุเป็นผลทำให้เรื่องที่คุยกันน่าสนใจ
- มีการกำหนดพื้นที่เดินเที่ยวเมืองอย่างไร
คำนึงถึงสถานที่มีความเกี่ยวเนื่องกัน การเล่าเรื่องก็จะโน้ตเป็นหัวข้อโดยเรียงตามลำดับเหตุการณ์ บางอย่างเป็นข้อมูลเอกสารประวัติศาสตร์ก็นำมาอ่านให้ฟังบ้าง เช่น การก่อสร้างอาคารหลังหนึ่งในยุคที่ซีเมนต์เข้ามาในสยามแล้ว รูปแบบก็เปลี่ยนไปหรือการตั้งคำถามว่าทำไมเรียกรูปทรงบ้านขนมปังขิง แบบไหนถึงเรียกปั้นหยามะนิลา กระเบื้องว่าวคืออะไร เมื่อคนฟังรู้ความหมายแล้วก็ร้องอ๋อ...มีที่มาเป็นอย่างนี้เองเหรอ
- คนที่มาเดินเท้าท่องเที่ยวกับเราเป็นใครบ้าง
สมัยที่อีเมลมาใหม่ๆ ผมทำจดหมายข่าวแล้วส่งไปบอกเขา คนไหนที่มาเที่ยวกับเราบ่อยๆ จนสนิทกันก็โทรไปบอกว่าจะไปกันวันนั้นวันนี้ เดี๋ยวนี้มีเฟซบุ๊ก ไลน์กรุ๊ป เราก็บอกกันทางนี้ คนที่ไปก็ปากต่อปากว่าสนุกดี แรกๆ เป็นผู้ใหญ่ คนเริ่มทำงานแล้วก็มีกลุ่มพ่อแม่ที่บางทีลูกถามแล้วตอบไม่ได้ ก็อายลูก เลยมาเที่ยวกับเรา หรือบางครอบครัวมีลูกที่โตหน่อยอายุราวๆ สิบกว่าขวบ ก็พามาด้วยกัน บางเรื่องเราพูดถึงเรื่องประวัติศาสตร์ในมุมวิทยาศาสตร์กลายเป็นเรื่องน่าสนใจ
- ตั้งแต่จัดกิจกรรมเดินเท้าท่องเที่ยวมา มีที่ไหนไปบ่อยที่สุด
ผมไปวัดสุทัศน์บ่อยที่สุด มีคนเคยถามผมว่าไปที่เดิมๆ ไม่เบื่อเหรอ ผมหลงเสน่ห์เมืองไทยนะ เพราะชอบเรื่องการวางผังอาคาร หมายถึงจักรวาลในคติความคิดของคนโบราณ มีอยู่ในวรรณกรรมเรื่องไตรภูมิกถาแล้วนำมาสู่งานสถาปัตยกรรม หรือที่วัดโพธิ์ พระปรางค์วัดอรุณ งานจิตรกรรมฝาผนังรอบพระพุทธรูป มีภาพมารผจญหน้าพระประธาน มีภาพพระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากดาวดึงส์ไว้ด้านหลังพระประธาน แล้วก็มีสวรรค์ชั้นต่างๆ หมายถึงการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในความทุกข์ ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงหาทางหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ ส่วนมารผจญคือการถูกตรวจสอบด้วยความลังเลสงสัยว่าธรรมะอันลึกซึ้งจะถ่ายทอดยังไงให้คนเข้าใจ เกิดการตีความสร้างเป็นสัญลักษณ์ต่างๆ การใช้สีก็บอกอะไรแก่เราได้เหมือนกัน เหมือนการดึงคนเข้าไปให้ใกล้ชิดกับผลงาน
นอกจากนั้นแล้ว ภาพจักรวาลบนผนังพระอุโบสถวัดสุทัศน์นี่ไม่ธรรมดา เพราะเขียนบนเสาทั้ง 8 ต้น มีคนเคยทดลองถ่ายภาพด้านหน้าเสาทั้งหมดแล้วนำมาเรียงกันกลายเป็นภาพจักรวาลอยู่บนเสา แสดงว่า ช่างก่อสร้างมีวิธีคิดวางแผนซับซ้อนมาก รอบพระวิหาร เขียนรูปพระพุทธเจ้า 27 องค์ ถามว่าองค์ที่ 28 อยู่ที่ไหน ก็อยู่ทางทิศใต้ของพระอุโบสถ คือทิศใต้หมายถึงชมพูทวีป ดังนั้นเรื่องหลายๆ เรื่องถ้าไม่มีคนเล่าต่อ เวลาเราไปเข้าวัด ก็ไหว้พระ เสี่ยงเซียมซี มองงานศิลปะแบบผ่านๆ แล้วเดินออกไป
- อีกที่หนึ่ง คือที่ไหน
วัดโพธิ์ เป็นสถานที่ที่มีอะไรใหม่ๆ ตลอดระยะหลังผมสนใจเกี่ยวกับการซ่อมแซมบูรณะอาคาร ถ้าเราอยากรู้ว่าโครงสร้างเดิมเป็นยังไงให้ดูที่การปฏิสังขรณ์ แล้วก็มีชุมชมก็มีหลายแห่ง เช่น กุฎีจีน คลองสาน บางรัก สีลม เจริญกรุง นางเลิ้ง แต่ละที่มีเรื่องราวเป็นของตัวเอง
- ทำอย่างไรให้คนมาสนใจเรื่องประวัติศาสตร์
เราต้องช่วยกันสร้างการรับรู้ขึ้นมา อย่างโขนพระราชทาน ในยุคหนึ่งเคยเป็นสิ่งที่คนหลงลืมกันไปแล้ว แต่ทุกวันนี้กระแสการตอบรับดีมาก มีการรื้อฟื้นศิลปะแขนงต่างๆ ปรับฉากการแสดงใหม่ให้ดูน่าตื่นตาตื่นใจ หรือเวลาเราเข้าไปอยู่ในย่านเก่า เราสังเกตดูมีอะไรเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจสะสมมาถึงทุกวันนี้แม้แต่สิ่งใหม่ในย่านเก่า เช่น สี่สถานีรถไฟใต้ดิน ชื่อเรียกสถานีแต่ละแห่งมีแปลว่าอะไร การเดินเท้าเที่ยวทำให้เกิดการแบ่งปันความรู้ พัฒนาความคิดให้ก้าวหน้า เกิดเป็นมิตรภาพ
อีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากให้คนเห็นความสำคัญ คือการบันทึกเรื่องราวของบุคคล เช่นประวัติศาสตร์จากคำบอกเล่าที่มีทั้งความรู้บวกประสบการณ์ที่เกิดจากการสะสมของคนๆ นั้น ที่เกิดจากคนในแต่ละช่วงอายุเรียนรู้เรื่องต่างๆ ที่แตกต่างกันจนเกิดเป็นความชำนาญ ความรู้ที่เกิดขึ้นมา มันทำให้ไขปริศนาบางอย่าง ทำหน้าที่สืบทอดอดีตกับปัจจุบันให้เข้ามาหากันได้ ถ้าคนนำไปต่อยอดมรดกความรู้ของคนในอดีตจะยังอยู่
เมื่อคนรู้จักเข้าใจและใช้ประโยชน์ กลายเป็นทุนของสังคม ส่วนเราก็ได้ทำประโยชน์สมกับแผ่นดินที่เราอาศัยเกิดมา