เปิดโลก AI ไทย กับ ‘นาว Lightwork’

กลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยากแล้วสำหรับการเข้ามาของปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ (AI : artificial intelligence) หลายอย่างในวิถีชีวิตคนยุคนี้กำลังมีเอไอเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง
ในแง่ดีชีวิตจะง่ายขึ้น การทำงานง่ายขึ้น แต่เชื่อได้ว่าหลายคนยังกังวลว่าเอไอจะเข้ามาเบียดบังหน้าที่การงานของมนุษย์จนกระทั่งกลายเป็นปัญหาตามมา
ท่ามกลางคำถามมากมาย ในหลายประเทศทั่วโลกได้ใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อพัฒนาศักยภาพการทำงานเป็นที่เรียบร้อย ส่วนประเทศไทยบางคนอาจคิดว่าเรื่องเอไอยังกระจุกตัวอยู่แค่ในเทคโนโลยีสมาร์ทโฟนหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น แต่ตลอดระยะเวลาประมาณหนึ่งปีที่ผ่านมา หลายหน่วยงานได้นำเอไอมาใช้แล้ว
Lightwork (Thailand) คือเบื้องหลังของการริเริ่มนำเอไอที่เรียกว่า Robotic Process Automation : RPA เข้ามาใช้ในกระบวนการทำงานของหลายบริษัทชั้นนำในไทย อธิบายง่ายๆ ว่าเป็นผู้ผลิตซอฟต์แวร์เอไอที่ช่วยงานมนุษย์ โดยไม่ใช่หุ่นยนต์เป็นตัวหรือเป็นแขนกล แต่เข้าไปควบคุมและทำงานแทนมนุษย์ในขั้นตอนที่ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาทำเองอีกต่อไป
งานง่ายๆ แต่ซ้ำซากจนกลายเป็นเสียเวลามากอย่างการพิมพ์ข้อมูลซ้ำๆ เดิมๆ หรือจำนวนมหาศาล เป็นตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดว่าซอฟต์แวร์เอไอควรทำแทนเพื่อให้คนได้ใช้เวลาเพื่อทำสิ่งที่เป็นประโยชน์มากกว่า ซึ่ง นาว - ภาดารี อุตสาหจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Lightwork อธิบายว่าขอบข่ายของการใช้งานซอฟต์แวร์ดังกล่าวค่อนข้างกว้าง แต่โดยส่วนมากจะเหมาะกับประเภท ‘งานถึก’ ที่ต้องทำซ้ำเดิมหรือเกี่ยวกับข้อมูล เช่น ธนาคาร, โรงพยาบาล, ประกัน ฯลฯ
“Lightwork เป็นซอฟต์แวร์ไทยเจ้าแรก เจ้าเดียวตอนนี้ที่มีเทคโนโลยีนี้อยู่ ของเมืองนอกก็มีที่คล้ายๆ กันบ้าง เช่น อเมริกา และแถบยุโรป แต่ของเราจะแตกต่างตรงที่เราปรับแต่งให้เหมาะสมกับคนไทยมากที่สุด ให้ใช้ได้กับภาษาไทย รวมถึงทำให้ใช้งานง่าย และช่วยงานผู้ใช้ได้จริงๆ”
คำว่าซอฟต์แวร์ไทย ไม่ได้หมายถึงการนำของนอกมาย้อมแมว แต่นี่คือซอฟต์แวร์ที่พัฒนาโดยฝีมือโปรแกรมเมอร์ไทยทั้งหมด โดย Lightwork ได้รวบรวมยอดฝีมือจากที่ต่างๆ ทั้งหัวกะทิที่เคยร่วมงานกับบริษัทไอทียักษ์ใหญ่ของโลก และกลุ่มดาวรุ่งอนาคตไกล โดยมี ‘นาว Lightwork’ เป็นหัวเรือใหญ่ ที่เล็งเห็นว่าหลายธุรกิจในไทยมีจุดที่ยังพัฒนาต่อได้หากไม่ต้องจมจ่อมอยู่กับรูปแบบการทำงานเดิมๆ โดยไม่ให้เอไอมา ‘แย่งงาน’ แต่เป็นการเข้ามา ‘ช่วยงาน’
เธอเปรียบเทียบว่าระหว่าง ‘ใช้’ กับ ‘ไม่ใช้’ เอไอ รูปธรรมแรกคือประหยัดเวลาได้มาก จากบริษัทที่ใช้งานจริงแล้ว จากเดิมใช้เวลา 3 วัน เหลือเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้นในการจัดการกับการทำงานซ้ำๆ สิ่งที่ตามมาคือความถูกต้องแม่นยำ เรียกได้ว่า 100 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากเป็นหุ่นยนต์ที่ทำงานตามโปรแกรม จึงไม่มีปัจจัยอื่นๆ เช่น ความเหนื่อยล้า หรือเรื่องสมาธิเข้ามาเกี่ยวข้อง และสุดท้ายคือเรื่องสภาพจิตใจของคนทำงาน จากที่คนเคยต้องทำงานล่วงเวลาเพราะงานไม่เสร็จสักที หลังจากใช้ผลคือช่วยให้ไม่ต้องเสียเวลาอีกต่อไป มีเวลาพักผ่อนเต็มที่
“ยกตัวอย่างธุรกิจที่นำไปใช้แล้ว เช่น ค้าขาย เขามีสินค้าอย่างหนึ่งที่กำลังซื้อขายอยู่ พนักงานเขาต้องไปรับออเดอร์จากลูกค้า พนักงานคนนี้ต้องค่อยๆ พิมพ์ออเดอร์เข้าไปในระบบกลาง แล้วเอาออเดอร์นี้ไปเช็คกับสต็อกว่ามีของพอหรือเปล่า มีขั้นตอนประมาณนี้ พอเราเอาหุ่นยนต์เข้ามาจัดการ เราสอนหุ่นยนต์ว่าไปเอาออเดอร์มาจากลูกค้า แล้วไปเช็คข้อมูลสต็อก ถ้าจำนวนเพียงพอก็ขายได้เลย ถ้าไม่พอก็ต้องอีเมลหรือไลน์ไปหาพนักงานว่าจะทำอย่างไรต่อ ทำให้พนักงานคนเดิมเอาเวลาไปทำงานอื่นได้”
การที่พนักงานหนึ่งคนทำงานได้มากขึ้น กอปรกับหุ่นยนต์ช่วยทำให้งานเร็วขึ้น ถูกต้องขึ้น เหล่านี้จะช่วยลดต้นทุนได้ด้วย
แต่อีกมุมการที่เอไอเข้ามาทำงานแทน อาจลดมูลค่าแรงงานมนุษย์ลงหรือไม่ เป็นคำถามที่หลายคนสงสัย ในมุมของคนพัฒนาเอไอ มองว่า งานที่เอไอควรทำคืองานที่คนไม่ชอบทำอยู่แล้ว จึงเป็นโอกาสมากกว่าที่คนจะได้ทำส่วนงานที่มีคุณภาพมากกว่า
“องค์กรไทยค่อนข้างน้อยที่จะเอาพนักงานออกเพียงเพราะการใช้เอไอ ที่เราเจอคือพนักงานงานล้นมือมากๆ เขาก็บอกว่าดีจังเลย เอไอมาช่วยเขา มีคนหนึ่งเป็นเซลส์ เขาเป็นเซลส์ที่เก่งมากเลย งานที่ควรทำจริงๆ คือไปคุยกับลูกค้า ไปรับฟีดแบคลูกค้า หรือไปทำแผนกลยุทธ์เจาะกลุ่มลูกค้า แต่งานเอกสารพวกนี้ที่เขาต้องทำทุกวัน กลายเป็นว่าพอเขาทำงานเอกสารเสร็จก็ไม่ได้ทำงานกลยุทธ์แล้ว”
สำหรับเอไอแบบ Lightwork เป็นเอไอพื้นฐาน (Basic AI) คนต้องสอนให้เอไอทำตาม หรือพัฒนาจากที่เราสอนขึ้นนิดหน่อย ส่วนเอไออีกแบบที่เหนือชั้นกว่า (Advance AI) คือเอไอที่คิดอะไรได้เองจากศูนย์ หรือคิดอะไรได้เองจากสิ่งที่มนุษย์โยนไปให้แล้วคิดออกมาให้ ซึ่งไม่ว่าเอไอแบบใด สิ่งที่เป็นเสมือนอาหารเสริมเพื่อพัฒนาศักยภาพคือข้อมูล (Data) ยิ่งข้อมูลมาก เอไอยิ่งทำงานได้มาก ทว่าปัญหาขององค์กรในบ้านเรายังขาดพร่องเรื่องข้อมูล หากจะก้าวสู่การทำงานด้วยเอไอจึงต้องเริ่มด้วยเก็บข้อมูล โดยต้องแบ่งแยกให้ชัดเจน
ลำดับขั้นตอนที่ นาว Lightwork แนะนำคือ ทำให้ทุกอย่างเป็นดิจิทัลก่อน ตามมาด้วยรวบรวมสร้างฐานข้อมูล แล้วส่งให้เอไอทำงานในที่สุด
“เทรนด์ของเอไอกำลังมา ทุกบริษัทที่เราเจอ เริ่มทำ Digital Transformation เก็บข้อมูลเป็นดิจิทัล มีคนพูดว่า Data is the new oil ก็เห็นว่ามันจริงขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเราเห็นข้อมูลลูกค้ามากขึ้น เราก็จะรู้จักลูกค้าดีกว่าคู่แข่ง
อย่างที่อเมริกามีบริษัทกว่า 50 เปอร์เซ็นต์นำเอไอมาใช้แล้ว เราเคยคุยกับผู้บริหารไทยบางที่ เขามีจุดมุ่งหมายว่าอยากให้พนักงานมีหุ่นยนต์ผู้ช่วยคนละตัวเลย แล้วพนักงานไม่ต้องทำงานเอกสารน่าเบื่อแล้ว ต่อไปคงมีโอกาสที่องค์กรไทยจะใช้มากขึ้นเรื่อยๆ”
ในแง่การใช้งานของ Lightwork ด้วยความเป็นที่รายแรกของไทย ณ ขณะนี้ ย่อมหมายถึงการต้องเปิดตลาดให้คนจำนวนไม่น้อยที่ยังมองว่าเทคโนโลยีนี้เป็นของแปลก เป้าหมายของผู้ผลิตจึงเป็นการใช้งานที่ง่ายที่สุด หลักใหญ่ใจความคือ Drag and Drop หรือ ลากแล้ววาง ให้เอไอทำตามคำสั่งเท่านั้นเอง
การทำงานร่วมกับหุ่นยนต์หรือเอไอกำลังจะกลายเป็นกระแสหลักในอีกไม่นานนัก ภาพที่เคยเห็นในภาพยนตร์ sci-fi กำลังเกิดขึ้นจริงและใกล้ตัวเรามากขึ้น อย่างผู้บริหาร Lightwork เองก็บอกว่าจำนวนลูกค้ากำลังเติบโตมาก ทั้งบริษัทที่จะเลือกใช้เอไอ ทั้งผู้พัฒนาซอฟต์แวร์มีแนวโน้มเพิ่มแน่นอน ต่อไปที่เหลือคือสู้กันด้วยการพัฒนาซอฟต์แวร์ให้ใช้ง่าย ได้ประสิทธิภาพดี







