อาชีพนักเล่าเรื่อง จ้างงานพุ่ง! ทักษะเก่าแก่ที่สุดกลับมาฮิตอีก

บริษัทระดับโลกอย่าง Google, Microsoft เปิดรับสมัครงาน 'นักเล่าเรื่อง' อาชีพเก่าแก่ที่สุดในโลก ท่ามกลางยุคข้อมูลล้นโลก นี่คือทักษะเชิงกลยุทธ์ที่ธุรกิจขาดไม่ได้
KEY
POINTS
- อาชีพ "นักเล่าเรื่อง" (Storyteller) กำลังเป็นที่ต้องการสูงในบริษัทเทคโนโลยี ค้าปลีก และองค์กรธุรกิจชั้นนำทั่วโลก เช่น Google และ Microsoft
- บทบาทของนักเล่าเรื่องในองค์กรไม่ใช่การเล่านิทาน แต่คือการสร้างและควบคุมเรื่องเล่า (Narrative) ของแบรนด์ เพื่อสื่อสารคุณค่าและเป้าหมายไปยังลูกค้าและพนักงาน
- ทักษะการเล่าเรื่องมีความสำคัญอย่างยิ่งในยุคข้อมูลข่าวสารล้นโลก เพื่อช่วยอธิบายเรื่องราวที่ซับซ้อนขององค์กรให้เข้าใจง่าย และสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง
- ตำแหน่งงานนี้มีค่าตอบแทนสูง เนื่องจากต้องใช้ทักษะที่ผสมผสานทั้งความเข้าใจในธุรกิจ การตลาด และการสื่อสารเข้าไว้ด้วยกัน
ในโลกของบริษัทบิ๊กเทคยักษ์ใหญ่ ค้าปลีก และบริษัทสายคอมพลายแอนซ์ มีตำแหน่งงานหนึ่งที่กำลังโดดเด่นและถูกจ้างงานมากผิดปกติในช่วงปีนี้ นั่นคือ “อาชีพนักเล่าเรื่อง (Storyteller)” หรือผู้รับผิดชอบการเล่าเรื่องขององค์กร ซึ่งถือเป็นหนึ่งในอาชีพในเก่าแก่ที่สุดของมนุษย์เราเลยก็ว่าได้
ว่าแต่บริษัทเหล่านี้อยากจ้างงานพนักงานตำแหน่ง "นักเล่าเรื่อง" มาเพื่ออะไร แล้วอาชีพนี้หมายถึงการทำงานแบบไหนกันแน่?
จากการเล่านิทานรอบกองไฟ สู่อาชีพนักเล่าเรื่อง ที่กำลังฮิตในยุคนี้
รายงานจาก The guardian ระบุว่า วัยทำงานแทบทุกคนน่าจะเคยมีความทรงจำวัยเด็กเกี่ยวกับการเล่าเรื่อง การเล่านิทาน จากพ่อแม่ในช่วงเวลาก่อนเข้านอน หรือได้ฟังการเล่านิทานคุณครูในโรงเรียนมาบ้างไม่มากก็น้อย ซึ่งเรื่องเล่าส่วนใหญ่มักจะมีพล็อต มีตัวละคร และมีมนต์เสน่ห์ที่ดึงดูดใจจนอยากฟังต่อจนจบ
ตัดภาพกลับมาสู่ “เรื่องเล่า” ในแบบองค์กรยุคใหม่ แม้บางครั้งดูผิวเผินอาจพบว่าไม่ได้ต่างจากการดูสไลด์พรีเซนต์พร้อมกับมีคนบรรยาย แต่นักเล่าเรื่องที่เก่ง มักจะมีความสามารถในการสื่อสาร เพื่อสร้างความเข้าใจให้ตรงกันระหว่างพนักงานในองค์กร และรวมถึงการสื่อสารให้ลูกค้าและพันธมิตรภายนอกได้เข้าใจตัวองค์กรด้วย
พูดได้ว่า ตำแหน่งนักเล่าเรื่อง มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรให้ได้มาซึ่งลูกค้าและการเติบโตในระยะยาว ซึ่งถือว่าเป็นตำแหน่งสำคัญมากในองค์กร แต่ขณะเดียวกันก็ชวนสงสัยว่า นี่มันอาชีพแบบไหนกันนะ?
ลองมาดูตัวอย่างคำประกาศรับสมัครงานชิ้นนี้ แล้วจะพบว่าตำแหน่งงาน “นักเล่าเรื่อง” มีความแปลกและแตกต่างจากสายงานอื่นๆ มากทีเดียว
“หน้าที่ของคุณคือการถอดบทเรียนและเล่าเรื่องความสำเร็จ จากการนำคลาวด์ไปใช้งานจริง โดยอธิบายให้เห็นชัดว่า DATA AI ระบบความปลอดภัย และโครงสร้างพื้นฐานยุคใหม่ ช่วยให้องค์กรทำงานคล่องตัวขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น และสร้างนวัตกรรมได้อย่างไร”
อาชีพ Storytelling ทำไมสำคัญกับเทคยักษ์ใหญ่อย่าง Google และ Microsoft ?
สำหรับประกาศรับสมัครงานข้างต้น เป็นการประกาศรับคนทำงานในตำแหน่ง “Customer Storytelling Manager” ของ Google โดยเฉพาะในแผนก Google Cloud ที่ตั้งทีมงาน “storytelling” ขึ้นมาอย่างจริงจัง และไม่ได้มีแค่บริษัท Google เท่านั้น ที่เปิดรับสมัครตำแหน่งนี้
The Wall Street Journal รายงานว่า Microsoft ก็กำลังเปิดรับตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงที่ดูแลด้าน narrative และ storytelling ในองค์กรด้านความปลอดภัยไซเบอร์ของบริษัท ขณะที่บริษัทเทคโนโลยีด้านคอมพลายแอนซ์อย่าง Vanta กำลังมองหา “หัวหน้าฝ่าย Storytelling” ด้วยค่าตอบแทนสูงสุดถึง 274,000 ดอลลาร์ต่อปี หรือราวๆ 8.5 ล้านบาทต่อปี
บางคนอาจคิดว่า มันช่างน่าทึ่งที่งานในตำแหน่งนี้มีหน้าที่แค่เล่าเรื่อง แต่กลับมีรายได้สูงระดับผู้บริหาร แต่จริงๆ แล้ว เนื้องานของตำแหน่งนี้มีความซับซ้อน ลึกซึ้ง และยากกว่าที่คิด
Storyteller ไม่ใช่นักเล่านิทาน แต่คือคน “คุมเรื่องเล่าองค์กร”
หากดูเผินๆ อาจเข้าใจว่า storyteller คือคนเขียนเรื่องสนุกๆ หรือเล่าเรื่องให้ฟังเพลิน แต่ในโลกการทำงานในระดับองค์กรแล้ว ความหมายของคำๆ นี้ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง โดยเนื้องานของตำแหน่งนี้ คือ การควบคุม narrative ขององค์กรว่าแบรนด์จะถูกเล่าอย่างไร มันคือการใช้เรื่องราวเพื่อสื่อสารคุณค่า อัตลักษณ์ และเป้าหมายขององค์กร สร้างความผูกพันทางอารมณ์กับลูกค้า พนักงาน หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ให้จดจำ เข้าใจ และเชื่อมั่นในแบรนด์นั่นเอง
ขณะที่แพลตฟอร์ม LinkedIn รายงานว่า คำว่า “storyteller” ปรากฏในประกาศรับสมัครงานในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ในช่วง 12 เดือนล่าสุดที่ผ่านมา (เก็บข้อมูลถึงวันที่ 26 พฤศจิกายน) เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
ในสหราชอาณาจักรเอง ก็เริ่มเห็นตำแหน่งงานลักษณะนี้มากขึ้น อย่างเช่นในบริษัท Marks & Spencer ที่กำลังมองหา “food brand storyteller” ซึ่งในรายละเอียดงาน ไม่ได้หมายถึงการเล่าเรื่องอาหารแบบบ้านๆ แต่คือการสร้าง “แนวคิดที่โดดเด่นในหลายแพลตฟอร์ม” และทำงานร่วมกับทีมต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนแบรนด์
พูดง่ายๆ คือ storyteller ในโลกองค์กร ไม่ได้เล่าเรื่องเพื่อความบันเทิง แต่เล่าเรื่องเพื่อสร้างการรับรู้ ความเชื่อถือ และคุณค่าทางธุรกิจ
ตำแหน่ง storyteller ของ Microsoft ถูกอธิบายว่า ต้องเป็นทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ นักสื่อสาร และนักการตลาดในคนเดียว สะท้อนว่าบทบาทนี้ไม่ใช่แค่การเขียนเก่ง แต่ต้องเข้าใจเทคโนโลยี ธุรกิจ และภาพลักษณ์องค์กรพร้อมกัน
อาชีพเก่าแก่ที่สุด แต่กลับสำคัญที่สุดในยุคข้อมูลล้นโลก
มนุษย์เล่าเรื่องกันมาตั้งแต่ยุคถ้ำ และในโลกที่ข้อมูลไหลบ่าจนผู้คนเหนื่อยล้า การเล่าเรื่องที่ “ทำให้เข้าใจ” กลับยิ่งมีคุณค่ามากขึ้นในยุค AI แบบทุกวันนี้ นี่จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่องค์กรเทคระเับโลก บริษัทค้าปลีก และบริษัทคอมพลายแอนซ์ ต่างมองหาคนที่ “เล่าเรื่องเป็น” มากขึ้น
เนื่องจากในโลกที่ทุกบริษัทมีเทคโนโลยีคล้ายกัน สิ่งที่แตกต่างคือ ใครเล่าเรื่องของตัวเองได้ดีกว่า
อีกหนึ่งตัวอย่างที่ชัดเจนคือ บริษัท Notion ผู้ผลิตแอปพลิเคชันด้าน Productivity ที่เพิ่งควบรวมทีมสื่อสารภายใน สื่อสารภายนอก โซเชียล และอินฟลูเอนเซอร์ เข้าด้วยกันภายใต้กรอบเดียว แม้จะไม่ได้เรียกชื่อทีมตรงๆ ว่า “storytelling” แต่แก่นแท้คือสิ่งเดียวกัน นั่นคือ การเล่าเรื่ององค์กรอย่างเป็นระบบ
ท้ายที่สุดแล้ว อาจพูดได้ว่างานตำแหน่ง ‘Storyteller’ ไม่ใช่ตำแหน่งฟุ่มเฟือย แต่คือทักษะอนาคตที่จำเป็นและสำคัญต่อทุกองค์กรธุรกิจ ส่วนในมุมของวัยทำงาน บอกได้เลยว่าหากใครมีทักษะนี้และทำมันได้ดี ก็ย่อมมีโอกาสได้งานและได้เงินเดือนสูงไม่แพ้งานตำแหน่งผู้บริหารเลย
ปรากฏการณ์นี้สะท้อนความจริงของโลกการทำงานยุคนี้อย่างชัดเจนว่า ข้อมูลอย่างเดียวไม่พออีกต่อไป ถ้าไม่มีเรื่องเล่าที่ทำให้คนเข้าใจและเชื่อได้ ส่วนในบริบทตลาดแรงงานไทยเอง สัญญาณนี้น่าสนใจไม่น้อย เพราะหลายองค์กรกำลังเผชิญปัญหาเดียวกันคือ “สื่อสารเก่งขึ้น แต่คนฟังเข้าใจน้อยลง” ทักษะการเล่าเรื่องเชิงกลยุทธ์จึงไม่ใช่เรื่องของนักการตลาดอย่างเดียว แต่กำลังกลายเป็นทักษะข้ามสายงานที่ทุกองค์กรต้องการ
บางที อาชีพที่เก่าแก่ที่สุดในโลก อาจไม่เคยหายไปไหน แค่เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนเวที และกลับมาอยู่ในห้องประชุมของบริษัทอีกครั้ง ในฐานะตำแหน่งงานที่สำคัญที่สุดตำแหน่งหนึ่งของยุคนี้
อ้างอิง: Theguardian, The Wall Street Journal







