ปิดฉาก Girlboss! Gen Z ขอเป็น Snail Girl ทำงานช้าลง แต่มีความสุขกว่า

ไม่วิ่ง ไม่เร่ง ไม่แข่งกับใคร เทรนด์ ‘Snail Girl’ กำลังครองใจคนทำงาน Gen Z เมื่อความสำเร็จไม่จำเป็นต้องแลกด้วยความหมดไฟ และการช้าลงอาจพาไปได้ไกลกว่าเดิม
KEY
POINTS
- Gen Z กำลังเปลี่ยนจากค่านิยม "Girlboss" ที่มุ่งมั่นทุ่มเทให้กับงานอย่างหนัก ไปสู่เทรนด์ "Snail Girl" ที่เน้นการทำงานช้าลงในจังหวะของตัวเอง
- แนวคิด "Snail Girl" คือการให้ความสำคัญกับสมดุลชีวิตและการทำงาน (Work-Life Balance) การใจดีกับตัวเอง และการตั้งขอบเขตเพื่อดูแลสุขภาพจิต
- เทรนด์นี้ไม่ได้หมายถึงการละทิ้งความทะเยอทะยาน แต่เป็นการนิยามความสำเร็จใหม่ที่ยั่งยืนกว่า โดยมองว่าอาชีพคือการวิ่งมาราธอน ไม่ใช่การแข่งขันระยะสั้นที่นำไปสู่ภาวะหมดไฟ
ในโลกการทำงานยุคหนึ่ง หลายคนคงเคยเห็นภาพที่ผู้หญิงมีบทบาทในการทำงานนอกบ้าน มากกว่าการเป็นแม่บ้านเลี้ยงลูก หลายคนเติบโตก้าวหน้าในอาชีพไม่ต่างจากผู้ชาย ซึ่งพวกเธอถูกนิยามว่าเป็น “Girlboss” สื่อถึงผู้หญิงทำงานที่ทะเยอทะยาน เดินหน้าไม่หยุด และพร้อมทุ่มเททุกอย่างเพื่อความสำเร็จในอาชีพ คำนี้ถูกบัญญัติโดย "โซเฟีย อามอรูโซ" (Sophia Amoruso) ผู้ก่อตั้งแบรนด์แฟชั่น Nasty Gal และเคยเป็นสัญลักษณ์สำคัญของผู้หญิงวัยทำงานในยุคมิลเลนเนียล
แต่เวลาผ่านไปเพียงทศวรรษเดียว โลกการทำงานก็เปลี่ยนไปอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อ Gen Z เข้ามาเป็นกำลังหลัก พร้อมแนวคิดการทำงานรูปแบบใหม่ๆ อย่าง Bare Minimum Mondays และ Quiet Quitting ที่ตั้งคำถามกับวัฒนธรรมการทำงานหนักแบบไม่ลืมหูลืมตา ที่สำคัญคือ เทรนด์ทำงานแบบ “Snail Girl” ที่เคยเกิดขึ้นมาสักพักแล้ว แต่ช่วงนี้กลับมาฮอตฮิตและได้รับความสนใจอย่างมากอีกครั้งบนโลกออนไลน์
‘Snail Girl’ คือใคร ? ทำไมเทรนด์ทำงานนี้มาแรงแซงโค้ง
ตามชื่อที่บอกไว้ “Snail Girl” คือ คนทำงานที่เลือกจะทำงานในจังหวะของตัวเอง ไม่เร่ง ไม่แข่ง และไม่กดดันตัวเองให้ต้องวิ่งตามความสำเร็จตลอดเวลา แนวคิดนี้ถูกเสนอโดย “เซียนนา ลัดบีย์” (Sienna Ludbey) ดีไซเนอร์แฟชั่นชาวออสเตรเลียและผู้ก่อตั้งแบรนด์ Hello Sisi ซึ่งเป็นคนบัญญัติคำนี้ขึ้นมา
เธอเล่าว่า “Snail Girl คือคนที่ให้เวลากับตัวเอง ค่อยๆ สร้างสรรค์ และวิ่งในสนามของตัวเอง บางทีสนามแข่งนั้นอาจไม่ได้พาไปไหนไกล แค่จากบ้านไปที่ทำงาน แล้วกลับมานอนพักให้เต็มที่ก็พอแล้ว”
ในบทความที่เธอเขียนให้กับนิตยสาร Fashion Journal ลัดบีย์ย้ำว่า การเป็น Snail Girl ไม่ได้หมายถึงการหยุดทำงาน หรือไม่เอาอะไรเลย แต่คือการทำงานแบบไม่โหดร้ายกับตัวเองเกินไป และให้ความสำคัญกับสมดุลชีวิตและการทำงาน
“มันคือช่วงเวลาที่คุณเลือกจะให้ตัวเองมาก่อน ตั้งขอบเขตทั้งเรื่องงานและชีวิตส่วนตัว และดูแลความสงบในใจของตัวเอง” เธอเขียนไว้
ประสบการณ์จากปาก ‘Girlboss’ ตัวจริง สู่การยอมชะลอจังหวะชีวิต
ลัดบีย์ยอมรับว่า แนวคิด Snail Girl เกิดขึ้นหลังจากเธอใช้ชีวิตแบบ “Girlboss” อย่างเต็มที่มานานกว่า 5 ปี ในช่วงหลังลาออกจากงานประจำในปี 2018 เพื่อโฟกัสธุรกิจแฟชั่นออนไลน์ เธอพบว่าตัวเองค่อยๆ ติดกับดักของการไล่ล่าความสำเร็จไม่รู้จบ
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ลัดบีย์เริ่มเห็น “รอยร้าว” ในชีวิตที่เธอเคยคิดว่าเป็นทุกอย่าง ในที่สุดเธอค้นพบว่า "ความสำเร็จ" ไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดอีกต่อไป และเมื่อภาพลักษณ์ Girlboss ที่เคยเปล่งประกายเริ่มจางลง “Snail Girl” ในตัวเธอก็ถือกำเนิดขึ้น
“บทต่อไปของชีวิตฉันคือการใช้ชีวิตให้ช้าลง และใจดีกับตัวเองมากขึ้น” เธอบอกย้ำ และแนวคิดนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่ในบทความที่เธอเขียนถ่ายทอดผ่านตัวหนังสือเท่านั้น แต่ยังมีการเอาแชร์ในโลกออนไลน์ และมันก็แพร่กระจายอย่างรวดเร็วบน TikTok ด้วย อย่างไรก็ตาม สื่อออสเตรเลียหลายสำนัก รายงานว่า Snail Girl กลายเป็นแนวคิดที่คนวัยทำงานจำนวนมากรู้สึก “เชื่อมโยงได้”
แม็กกี้ โจว (Maggie Zhou) ครีเอเตอร์บน TikTok ถึงกับพูดติดตลกว่า “Girlboss คงอยู่ในหลุมศพแล้ว ตอนนี้ยินดีต้อนรับสู่ยุค Snail Girl ฉันหลงรักไอเดียนี้มาก” เธอเสริมว่า Snail Girl อาจมีความหมายต่างกันไปในแต่ละคน แต่แก่นสำคัญคือ “การชะลอจังหวะชีวิตและเมตตากับตัวเอง” ทั้งนี้ วิดีโอของเธอดังกล่าวมียอดเข้าชมกว่า 35,000 ครั้ง พร้อมคอมเมนต์จากผู้ชมจำนวนมากที่บอกว่าพวกเขากำลังใช้ชีวิตแบบ Snail Girl เช่นกัน
โค้ชอาชีพเห็นด้วย เมื่อการผ่อนช้าลง ไม่ได้แปลว่าไร้ความทะเยอทะยาน
เจนนิเฟอร์ ลุค (Jennifer Luke) นักวิจัยด้านการพัฒนาอาชีพจาก University of Southern Queensland ให้สัมภาษณ์กับ ABC News ว่า เธอไม่แปลกใจที่แนวคิดนี้ได้รับความนิยม เพราะความทะเยอทะยานด้านอาชีพของคนทำงานเปลี่ยนไปหลังยุคโควิด
“สุดท้ายมันก็วนกลับมาที่เรื่องเดิม คนจำนวนมากกำลังหมดไฟ และเริ่มถามตัวเองว่า ฉันกำลังทำร้ายตัวเองไปเพื่ออะไร?”
ขณะที่ วิกตอเรีย แม็คลีน (Victoria McLean) ซีอีโอและผู้ก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษาด้านอาชีพ City CV และ Hanover Talent Solutions มองว่า Snail Girl ไม่ได้ฆ่าความทะเยอทะยาน เธอมองว่า “คุณสามารถเป็นทั้ง Girlboss และ Snail Girl ได้ในเวลาเดียวกัน เพราะสองแนวคิดนี้ไม่จำเป็นต้องขัดแย้งกัน และถ้าผสมผสานให้ดี อาจนำไปสู่อาชีพที่ยั่งยืนและเติมเต็มมากกว่าเดิม”
เธอเสริมว่า สมดุลชีวิตและการทำงาน คือ หัวใจของการพัฒนาเส้นทางอาชีพที่ดี เพราะช่วยให้คนทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น มีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น และรู้สึกพอใจกับชีวิตโดยรวม
การเติบโตทางอาชีพคือการวิ่งมาราธอน ไม่ใช่วิ่งระยะสั้น
ด้าน นาตาลี ไทรซ์ (Natalie Trice) โค้ชอาชีพ กล่าวว่า เธอเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ชัดเจนในกลุ่มลูกค้าผู้หญิง โดยเฉพาะเจ้าของธุรกิจที่เริ่มหยุดตั้งคำถามกับภาวะ imposter syndrome (ภาวะที่คิดว่าตัวเองไม่เก่งตลอดเวลา) และรูปแบบชีวิตที่ต้องพิสูจน์คุณค่าในตัวเองตลอดเวลา
“สิ่งนี้ไม่ได้ลดทอนความทะเยอทะยานของผู้หญิง แต่คือการยอมรับว่า งานไม่จำเป็นต้องเป็นสนามรบตลอดชีวิต ในโลกที่ทุกอย่างต้องเร็วทันใจ เราอาจลืมไปว่าการทำงานและเส้นทางอาชีพ คือการวิ่งมาราธอน ไม่ใช่ต้องวิ่งขาสับตลอดเวลา และเรามีเวลาทำงานเกือบ 50 ปี” เธอสะท้อนความคิดเห็น
พูดได้ว่าเทรนด์ทำงาน “Snail Girl” อาจไม่ใช่การปฏิเสธความสำเร็จในอาชีพการงาน แต่เป็นการตั้งคำถามใหม่ว่า เราจะประสบความสำเร็จแบบไหน โดยไม่แลกสุขภาพใจและชีวิตส่วนตัวไปทั้งหมด ซึ่งคนรุ่นใหม่เป็นรุ่นที่กล้าชะลอฝีเท้าเพื่อรักษาความสุขของตัวเอง เพราะพวกเขาเชื่อว่าสามารถวิ่งเข้าเส้นชัยในเส้นทางอาชีพโดยยังเป็นตัวของตัวเองได้
อ้างอิง: FashionJournal, Fortune, TikTok Maggie Zhou, ABC News







