ซีอีโอ JPMorgan แนะ Gen Z แค่ทำงานหนักไม่พอ ต้องมี ‘ทักษะที่ใช่’

ซีอีโอ JPMorgan แนะ Gen Z แค่ทำงานหนักไม่พอ ต้องมี ‘ทักษะที่ใช่’

ทำงานหนักอย่างเดียวอาจไม่พอ! Jamie Dimon เตือน Gen Z ถ้าอยากไปต่อและประสบความสำเร็จในโลกการทำงานยุค AI ต้องมี ‘ทักษะเฉพาะ’ เช่น การคิดวิเคราะห์, EQ, การสื่อสาร

KEY

POINTS

  • เจมี ไดมอน ซีอีโอ JPMorgan ให้คำแนะนำแก่วัยทำงานคนรุ่นใหม่ และเด้กจบใหม่ ไว้ว่า การทำงานหนักอย่างเดียว ไม่เพียงพอต่อความสำเร็จในโลกการทำงานยุคปัจจุบันอีกต่อไป
  • ทักษะที่จำเป็นและ AI ไม่สามารถทดแทนได้คือ "ทักษะมนุษย์" เช่น การคิดเชิงวิพากษ์, ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ), และทักษะการสื่อสาร
  • ตลาดแรงงานยุคใหม่ให้ความสำคัญกับทักษะที่ใช้งานได้จริงมากกว่าวุฒิปริญญา โดยอาชีพเฉพาะทางอย่างช่างฝีมือต่างๆ กำลังเป็นที่ต้องการสูง

รู้หรือไม่? สำหรับโลกการทำงานยุคนี้ ความขยันไม่การันตีความสำเร็จอีกแล้ว ยิ่งในช่วงเวลาที่คนทำงานรุ่น Gen Z และเด็กจบใหม่กำลังก้าวเข้าสู่ตลาดแรงงาน โลกการทำงานกลับเต็มไปด้วยคำถามที่ยังไม่เจอคำตอบที่แน่ชัด ไม่ว่าจะเป็น เราจะถูก AI แทนไหม?, เรียนจบแล้วจะได้งานหรือเปล่า?, ทำงานหนักแล้วจะประสบความสำเร็จในยุคนี้ได้ไหม? 

คำเตือนล่าสุดจาก เจมี ไดมอน (Jamie Dimon) ซีอีโอของ JPMorgan Chase กลายเป็นประโยคที่สะท้อนความจริงนี้อย่างตรงไปตรงมา เมื่อเขาบอกว่า สำหรับคนรุ่นใหม่ในวันนี้ การ “ทำงานหนัก” อย่างเดียว ไม่เพียงพออีกแล้ว หากไม่มีทักษะที่โลกต้องการจริงๆ

โลกที่ "ความขยัน" เคยนำพาให้ "ชีวิตมั่นคง" อาจจะกำลังหายไป?

ไดมอน ไม่ได้พูดในเชิงทฤษฎี แต่ชี้ให้เห็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของตลาดแรงงานอย่างชัดเจน เขาย้อนให้เห็นภาพโลกการทำงานในอดีตที่แตกต่างจากวันนี้อย่างสิ้นเชิง

เขาบอกว่า “สมัยก่อน แค่เรียนอยู่ระดับชั้นมัธยมปลาย ก็สามารถออกไปหางานโรงงานทำในเมืองอุตสาหกรรมอย่างดีทรอยต์ได้ และมีรายได้มากพอจะเลี้ยงครอบครัว ซื้อบ้าน ซื้อรถได้ แต่วันนี้เส้นทางแบบนั้นอาจไม่มีจริงอีกต่อไป”

สิ่งที่คนรุ่นก่อนเคยเรียกว่า “เส้นทางปกติของชีวิต” ไม่ใช่ทางเลือกที่เปิดกว้างของคนรุ่นใหม่อีกต่อไป เหตุเพราะค่าครองชีพเพิ่มเร็วกว่าเงินเดือน บ้านแพงขึ้น การเลี้ยงดูครอบครัวมีต้นทุนสูงขึ้น ขณะที่งานจำนวนมากไม่ได้ให้ความมั่นคงระยะยาวเหมือนเดิม

นี่คือเหตุผลที่ทำให้ Gen Z ไม่ได้กังวลแค่เรื่อง “จะขยันพอไหม” แต่เริ่มถามลึกกว่านั้นว่า “ขยันไปเพื่ออะไร และขยันในทักษะแบบไหน ถึงจะคุ้ม”

AI จะเปลี่ยนทุกงาน แต่ ‘ทักษะมนุษย์’ ยังเป็นเกราะสำคัญ

ไดมอนยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า ปัญญาประดิษฐ์จะเข้ามาแทนที่งานจำนวนมาก และจะเปลี่ยนวิธีทำงานแทบทุกอาชีพ แต่เขาไม่เชื่อว่านั่นคือจุดจบของมนุษย์ในตลาดแรงงาน

“AI จะทำให้งานหายไป แต่นั่นไม่ได้แปลว่าคนจะไม่มีงานอื่นทำ คำแนะนำของผมคือ เรียนรู้การคิดเชิงวิพากษ์ ฝึก EQ เรียนรู้การสื่อสาร การเขียน ถ้าคุณทำสิ่งเหล่านี้ได้ คุณจะยังมีงานทำอีกมาก” เขาย้ำ 

ในมุมของไดมอน และผู้บริหารระดับโลกหลายคน ทักษะที่คนรุ่นใหม่ควรลงทุนพัฒนามากที่สุด ไม่ใช่ทักษะเฉพาะทางอย่างเดียว แต่คือ “ทักษะมนุษย์” ที่ทำให้ทำงานกับคนและโลกจริงได้ดีขึ้น ซึ่งแต่ละทักษะมีความสำคัญที่โดดเด่นแตกต่างกันไป ได้แก่ 

1. การคิดเชิงวิพากษ์: วิเคราะห์ข้อมูล แยกแยะสิ่งสำคัญ ตั้งคำถามให้ถูกจุด ไม่รับทุกอย่างตามที่ระบบหรือ AI ป้อนให้

2. ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ): เข้าใจตัวเอง ทำงานร่วมกับผู้อื่น จัดการความขัดแย้ง และอ่านบรรยากาศในที่ทำงาน

3. การสื่อสารและการเขียน: ถ่ายทอดความคิดให้คนอื่นเข้าใจ ตัดสินใจได้ และทำงานต่อได้จริง

มุมมองนี้สอดคล้องกับผู้บริหารเทคโนโลยีอย่างซีอีโอของ Amazon Web Services ที่ชี้ว่า แม้ AI จะเก่งขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังไม่สามารถตัดสินใจเชิงซับซ้อนหรือเข้าใจบริบทมนุษย์ได้เหมือนคน

ภาวะผู้นำในยุค AI ไม่ใช่ตำแหน่ง แต่คือวิธีคิด

นอกจากนี้ ในโลกการทำงานยุค AI สำหรับผู้ที่ทำงานระดับผู้นำ ก็ต้องปรับตัวเช่นกัน ไดมอนมองว่า สิ่งที่แยกผู้นำที่อยู่รอดและไปต่อได้ ออกจากผู้นำที่หลุดจากเกม ไม่ใช่ระดับชั้นตำแหน่งงาน แต่คือความสามารถในการอ่านโลกให้ขาด

“ผู้นำที่มีประสิทธิภาพคือคนที่รู้จักตั้งคำถามให้ถูก เรียนรู้จากคู่แข่ง ลูกค้า และความผิดพลาดของตัวเอง เพราะหากไม่สามารถประเมินความเป็นจริงของโลกได้อย่างแม่นยำ สุดท้ายแล้วก็มีแนวโน้มจะล้มเหลวในที่สุด”

คำพูดนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ผู้บริหารระดับสูง แต่ใช้ได้กับคนทำงานทุกคน ในโลกที่เปลี่ยนเร็ว คนที่ยึดติดกับสูตรเดิม และไม่ยอมปรับกรอบความคิด มักเป็นกลุ่มแรกที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

ไม่ต้องมีปริญญาก็ได้ แต่ต้องมีทักษะที่ “ใช้ได้จริง”

อีกสัญญาณสำคัญของตลาดแรงงานยุคใหม่ คือการเติบโตของงานเฉพาะทางที่ไม่จำเป็นต้องใช้วุฒิปริญญามหาวิทยาลัย แต่ต้องผ่านการฝึกทักษะที่ตรงกับงานจริง โดยมีข้อมูลคาดการณ์ตลาดแรงงานของสหรัฐฯ ระบุว่า อาชีพที่เติบโตเร็วที่สุดในทศวรรษนี้ คือ ช่างซ่อมบำรุงกังหันลม (เติบโต 60%) และ ช่างติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ (เติบโต 48%)

ทั้งสองอาชีพไม่ต้องใช้ปริญญา แต่ต้องมีทักษะเฉพาะทาง และตอบโจทย์เศรษฐกิจพลังงานยุคใหม่ ..นี่คือภาพสะท้อนว่า ตลาดแรงงานกำลังให้คุณค่ากับ “ความสามารถที่ทำงานได้จริง” มากกว่าวุฒิหรือเส้นทางแบบเดิมเพียงอย่างเดียว

แม้ AI จะถูกพูดถึงในฐานะเทคโนโลยีดิจิทัล แต่ผลกระทบของมันกลับขยายไปถึงโลกกายภาพอย่างมาก โดยในมุมมองของอีหนึ่งผู้นำชื่อดังระดับโลกอย่าง "เจนเซน หวง" (Jensen Huang) ซีอีโอของ Nvidia ชี้ว่า การลงทุนใน AI จะทำให้ความต้องการแรงงานช่างเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

“ถ้าคุณเป็นช่างไฟ ช่างประปา ช่างไม้ ให้รู้ไว้ว่าตลาดงานในอนาคตจะต้องการคนเหล่านี้อีกหลายแสนคน เพื่อสร้างโรงงานและดาต้าเซ็นเตอร์”

มุมมองนี้สอดคล้องกับผู้บริหารการเงินอย่าง แลร์รี ฟิงก์ (Larry Fink) ซีอีโอของ BlackRock ที่เตือนว่า สหรัฐฯ กำลังขาดแคลนแรงงานช่างที่จำเป็นต่อการขยายโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI 

อย่างไรก็ตาม คำแนะนำของ Jamie Dimon นั้นชัดเจนมาก เขาเน้นย้ำว่าแม้ความขยันทำงานยังคงสำคัญต่อการเติบโตของอาชีพการงาน แต่มันไม่ใช่คำตอบสุดท้ายอีกต่อไป เพราะโลกการทำงานยุค AI ต้องการคนที่ “คิดเป็น สื่อสารได้ ทำงานกับคนอื่นได้ดี และปรับตัวทันโลกที่เปลี่ยนเร็ว” หากวัยทำงานคนรุ่นใหม่ สามารถอัปสกิลเหล่านี้ได้ ก็ย่อมไปรอดและประสบความสำเร็จในอาชีพได้ในที่สุด

 

 

อ้างอิง: Fortune, CNBC Make it