เด็กจบใหม่สายงานบัญชี การเงิน กฎหมาย เสี่ยงโดน AI แย่งงานก่อนใคร

เด็กจบใหม่สายงานบัญชี การเงิน กฎหมาย เสี่ยงโดน AI แย่งงานก่อนใคร

เด็กจบใหม่สายงานบัญชี การเงิน กฎหมาย ในเกาหลีใต้เสี่ยงโดนแย่งงานก่อนใคร รายงานชี้ AI ใช้เวลาทำงานเพียง 1 ชม. เทียบกับนักบัญชีระดับจูเนียร์ 3 คนที่ใช้เวลาถึง 8 ชั่วโมง

KEY

POINTS

  • เด็กจบใหม่ในสายงานบัญชี การเงิน และกฎหมาย เป็นกลุ่มแรกที่เสี่ยงถูก AI แย่งงานในตำแหน่งระดับเริ่มต้น (First Jobber)
  • บริษัทต่างๆ นำ AI มาใช้เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ ส่งผลให้มีการชะลอการจ้างงานระดับจูเนียร์และลดจำนวนพนักงานลง
  • ตลาดแรงงานกำลังเปลี่ยนไป โดยผู้สมัครงานยุคใหม่จำเป็นต้องมีทักษะด้านดิจิทัลและความสามารถในการทำงานร่วมกับ AI เพื่อเพิ่มโอกาสในการได้งาน

ในโลกที่ AI พัฒนาก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และเข้ามาทำงานบางอย่างแทนคนได้แล้ว ไม่แปลกที่พนักงานบริษัทส่วนใหญ่จะกังวลว่า ตำแหน่งงานของตนเองเสี่ยงจะโดน AI แย่งงานไป ซึ่งสถานการณ์นี้กำลังเปลี่ยนโฉมตลาดแรงงานทั่วโลก จากเดิมที่เราเคยมองว่า “AI ถูกนำมาใช้ช่วยทำงาน” เปลี่ยนไปสู่ความจริงที่ชัดเจนขึ้นว่า  “AI กำลังแทนที่คนงานได้” อย่างจริงจัง

โดยกลุ่มที่ได้รับผลกระทบชัดเจนที่สุดในระลอกแรก คือ เด็กจบใหม่ First Jobber หรือกลุ่มผู้หางานอายุน้อยที่เพิ่งก้าวสู่ชีวิตการทำงาน และที่น่าตกใจคือ แรงงานที่โดนผลกระทบนี้ พบบ่อยในสายอาชีพที่เคยถูกมองว่ามั่นคงและต้องใช้ใบอนุญาตวิชาชีพ อย่าง นักกฎหมาย นักการเงิน และนักบัญชี

ไม่ใช่แค่ในสหรัฐ สหราชอาณาจักร จีน อินเดีย ญี่ปุ่น หรือแม้แต่ไทย ที่พบเจอกับความเปลี่ยนแปลงนี้ แต่ในเกาหลีใต้ ก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่ตลาดแรงงานหนีไม่พ้นสถานการณ์เดียวกัน ภาพการเปลี่ยนผ่านนี้เริ่มชัดเจนมากขึ้น เมื่อ AI ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่สายงานเทคฯ ด้านการเขียนโค้ดหรืองานพัฒนาเทคโนโลยีอีกต่อไป แต่ขยายบทบาทเข้าไปทำงานที่เคยเป็น “พื้นที่ฝึกงานของมือใหม่” ในหลายวิชาชีพ

หุ้นส่วนรายหนึ่งของ “บริษัทบัญชีระดับบิ๊กโฟร์” ในเกาหลีใต้ให้สัมภาษณ์กับสื่ออย่างตรงไปตรงมาว่า

“งานบัญชีที่เคยต้องใช้นักบัญชีระดับจูเนียร์ 3 คน ใช้เวลาทำงานถึง 8 ชั่วโมงจึงจะทำเสร็จ เปรียบเทียบกับการใช้ AI ทำงานเดียวกัน กลับพบว่า มันใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น ก็สามารถทำแทนนักบัญชีสามคนนั้นได้”

เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า เวลาที่ประหยัดได้จากการใช้ AI มาแทนแรงงานมนุษย์ทำให้บริษัทสามารถรับงานได้มากขึ้น ขณะที่ต้นทุนแรงงานลดลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งกลายเป็นแรงจูงใจสำคัญให้หลายองค์กรเร่งนำ AI มาใช้ในกระบวนการทำงานหลัก

AI แย่งงานกฎหมาย การเงิน และบัญชี โดยเฉพาะเด็กจบใหม่ โดนก่อน!

ในอดีต ตำแหน่งงานระดับเริ่มต้นในสายกฎหมาย การเงิน และบัญชี คือ “บันไดขั้นแรก” ของคนเพิ่งได้ใบอนุญาตวิชาชีพ แต่วันนี้ AI กำลังเข้ามาทำงานแทนตำแหน่งงานเหล่านี้จำนวนมาก ตั้งแต่งานวิเคราะห์เอกสาร ตรวจสอบข้อมูล ไปจนถึงงานที่ต้องใช้ความแม่นยำเชิงโครงสร้าง

ผลลัพธ์คือ บริษัทขนาดใหญ่ที่นำ AI มาใช้ เริ่มใช้มันควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างองค์กร ไม่ว่าจะเป็น 1. การลดจำนวนพนักงาน 2. เปิดโครงการลาออกโดยสมัครใจ หรือ 3. ชะลอการรับพนักงานใหม่ในระดับจูเนียร์  ..ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นแบบฉับพลัน แต่ค่อยๆ กัดกินโอกาสของผู้เริ่มต้นในตลาดแรงงานอย่างเงียบๆ

Samil PwC บริษัทบัญชีที่ใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้ เป็นตัวอย่างสำคัญของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง เมื่อปีนี้บริษัทนี้ได้เปิดตัวโปรแกรม Digital track หรือขั้นตอนพิเศษวัดความสามารถด้าน AI เพิ่มเข้ามาในกระบวนการรับสมัครงาน เพื่อมองหานักบัญชีระดับเริ่มต้นที่มีทักษะด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์

เป็นครั้งแรกที่การรับสมัครงานมี การสอบเขียนโค้ด เป็นเงื่อนไขอย่างเป็นทางการ แม้ในอดีตผู้สมัครที่มีทักษะด้านเทคโนโลยีจะได้เปรียบอยู่แล้ว แต่ปีนี้บริษัทได้สร้างเส้นทางเฉพาะขึ้นมา เพื่อเฟ้นหาคนที่สามารถพัฒนาเครื่องมือ AI สำหรับงานตรวจสอบบัญชีได้โดยตรง

แนวโน้มเดียวกันนี้ยังเกิดขึ้นกับบริษัทใหญ่อื่นๆ อย่าง Deloitte Anjin และ Samjong KPMG ซึ่งต่างเร่งนำ AI เข้ามาใช้ในงานตรวจสอบบัญชีเช่นกัน สะท้อนว่าตลาดแรงงานไม่ได้ต้องการ “นักบัญชีหน้าใหม่” ในความหมายเดิมอีกต่อไป

AI เปลี่ยนสมการการจ้างงาน สายงานกฎหมายเน้นใช้ AI แทนคน

อุตสาหกรรมกฎหมายกำลังเผชิญแรงกดดันลักษณะเดียวกัน โช จองฮี (Cho Jung-hee) ทนายความจากสำนักงานกฎหมาย D.Code ระบุว่า ความต้องการรับพนักงานใหม่ในสายกฎหมายเริ่มลดลงอย่างชัดเจน จากการเข้ามาของ AI 

ในโลกของการทำงานด้านกฎหมาย “เวลา” คือ “ต้นทุน” และเมื่อ AI ช่วยลดเวลาการทำงานลงได้ การฝึกทนายระดับจูเนียร์ก็ใช้เวลาน้อยลง ขณะที่สำนักงานสามารถรับงานได้มากขึ้น โดยใช้พนักงานจำนวนน้อยกว่าเดิม

ข้อมูลสะท้อนภาพนี้อย่างชัดเจน เมื่อจำนวนทนายใหม่ที่ถูกจ้างโดยสำนักงานกฎหมาย 10 อันดับแรกของเกาหลีใต้ ลดลงจาก 296 คนในปี 2022 เหลือ 227 คนในปีนี้ หรือหายไปเกือบ 30% ภายในสามปี ขณะที่ Dongin Law Group ซึ่งเป็นบริษัทกฎหมายที่อยู่ในกลุ่มท็อป 10 ของเกาหลีใต้ ก็พบว่าพวกเขาไม่ได้จ้างทนายใหม่เลยติดต่อกันถึง 2 ปี

การเปลี่ยนแปลงยังลามไปถึงงานกฎหมายแรงงาน พัค โซฮยอน (Park So-hyeon) หัวหน้าทนายความจาก Labor Lawfirm Raum กล่าวว่า “งานที่เคยต้องใช้พนักงานระดับจูเนียร์สามถึงสี่คน วันนี้สามารถทำได้ด้วย AI และพนักงานระดับเริ่มต้นเพียงคนเดียว”

คำพูดนี้สะท้อนความจริงใหม่ของตลาดแรงงาน ที่ AI ไม่ได้เพียงเพิ่มประสิทธิภาพกรทำงานเท่านั้น แต่กำลังเข้ามา ลดจำนวนตำแหน่งงานระดับต้นโดยตรง

บริษัทใหญ่เร่งลดคน ภายใต้ธง AI และการลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์

ไม่ใช่แค่บริษัทกฎหมายหรือบัญชีเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ บริษัทเทคโนโลยีและผู้ผลิตรายใหญ่ก็เร่งใช้ AI เพื่อ “ลดขนาดองค์กร” สิ่งที่สะท้อนภาพนี้ได้ชัดเจนที่สุดก็คือ กรณีของสำนักงาน Microsoft Korea ใจกลางกรุงโซล ที่เคยมีป้ายข้อความแขวนไว้ว่า “รางวัลของการทำงานหนัก คือการถูกเลิกจ้าง”

สหภาพแรงงาน Microsoft Korea ระบุว่า บริษัทลดจำนวนพนักงานลงราว 15% ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดย AI ทำให้ตำแหน่งงานบางส่วนในสายพัฒนาซอฟต์แวร์และทรัพยากรบุคคลหมดความจำเป็น

นอกจากนี้ บริษัทยังแนะนำให้พนักงานฝ่ายวิจัยและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ลาออกไปซะ หลังชะลอการพัฒนาผลิตภัณฑ์บางส่วน และหันไปลงทุนใน ดาต้าเซ็นเตอร์ เพื่อรองรับโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI

ขณะเดียวกัน บริษัทชื่อดังอย่าง SK Telecom, Lotte Members และ LG Electronics ต่างเดินหน้าประกาศโครงการลาออกโดยสมัครใจและเกษียณก่อนกำหนดอย่างต่อเนื่อง

งานระดับเริ่มต้นหาย แต่ “คนเก่งตัวจริง” จะยิ่งขาดแคลน

แม้ภาพรวมการจ้างงานจะถูกกดดันจาก AI แต่ผู้เชี่ยวชาญมองว่า ความต้องการแรงงานที่มีประสบการณ์สูงจะเพิ่มขึ้นในระยะถัดไป ข้อสังเกตนี้มาจากซีอีโอของชุมชนนักพัฒนา OKKY อย่าง "โร ซังบอม" (Roh Sang-beom) เขาสะท้อนความเห็นไว้ว่าว่า ตลาดจ้างงานนักพัฒนาแทบจะหยุดนิ่งในปีนี้เพราะ AI แต่หากไม่รับคนใหม่เลย ภายในไม่กี่ปีข้างหน้า อุตสาหกรรมอาจเผชิญปัญหาขาดแคลนแรงงานที่มีประสบการณ์

ด้าน จิน โฮซึง (Jin Hoe-seung) นักวิจัยจากสถาบันนโยบายและวิจัยซอฟต์แวร์ เสริมว่า หลายประเทศที่ลดนักพัฒนาลงก่อน กำลังเผชิญปัญหาการดูแลระบบ และเริ่มมีการจ้างกลับแบบเงียบๆ เพราะยังต้องมีมนุษย์ตรวจสอบผลงานที่ AI สร้างขึ้น

ขณะที่รายงานของธนาคารกลางเกาหลี (Bank of Korea) ระบุว่า ในช่วงสามปีที่ผ่านมา เกาหลีใต้สูญเสียงานของเยาวชนไป 211,000 ตำแหน่ง ในจำนวนนี้ 98.6% อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูงต่อการถูก AI แทนที่

ขณะที่แรงงานวัย 50 ปีขึ้นไปกลับมีงานเพิ่มขึ้นกว่า 209,000 ตำแหน่ง สะท้อนว่าประสบการณ์ ทักษะเชิงสังคม และการตัดสินใจเชิงซับซ้อน ยังคงเป็นพื้นที่ที่ AI เข้ามาแทนที่แรงงานคนไม่ได้ง่ายๆ

เมื่อ AI กลายเป็นเพื่อนร่วมงาน โลกการทำงานต้องคิดใหม่ทั้งระบบ

อี มีรา (Lee Mi-ra) อดีตผู้บริหารฝ่ายทรัพยากรบุคคลของ GE Korea และอาจารย์รับเชิญที่มหาวิทยาลัยยอนเซ มองว่า องค์กรไม่สามารถคิดเรื่องงานแบบเดิมได้อีกต่อไป เธอชี้ว่า AI สามารถจัดการข้อมูลและวิเคราะห์เชิงเทคนิคได้ดี แต่มนุษย์ต้องขยับบทบาทไปสู่การ “ตีความ ตัดสินใจ และสร้างคุณค่าใหม่” จากข้อมูลเหล่านั้น พร้อมทั้งปรับกระบวนการทำงานและฝึกทักษะใหม่ เพื่อทำงานร่วมกับ AI อย่างสร้างสรรค์

จากปรากฏการณดังกล่าวที่เกิดขึ้นกับแรงงานเกาหลีใต้และทั่วโลก ไม่ใช่เรื่องไกลตัวสำหรับแรงงานไทย เพราะโครงสร้างตลาดแรงงานของทั้งสองประเทศมีจุดร่วมสำคัญ นั่นคือ คนรุ่นใหม่จำนวนมากเริ่มต้นชีวิตการทำงานของพวกเขาจากงานระดับเริ่มต้นอย่าง งานเอกสาร และงานสนับสนุน ซึ่งล้วนเป็นประเภทงานที่ AI เข้ามาทำแทนได้เร็วที่สุด

ในบริบทไทย เราอาจยังไม่เห็นการลดคนอย่างชัดเจนในสายงานกฎหมาย การเงิน หรือบัญชี แต่ก็มีสัญญาณเตือนเกิดขึ้นอย่างเงียบๆ เช่น การรับเด็กจบใหม่น้อยลง การตั้งคุณสมบัติการรับพนักงานใหม่สูงขึ้น หรือการคาดหวังให้ “ทำงานได้เลย” โดยไม่ต้องใช้เวลาฝึกมากเหมือนเดิม

บทเรียนสำคัญของปรากฏการณ์นี้ที่เห็นชัดเจน คือ ตลาดแรงงานไม่ได้หายไป แต่กำลังเปลี่ยนรูปแบบ งานระดับต้นหายากขึ้น ในขณะที่งานที่ต้องใช้การตัดสินใจ ประสบการณ์ และการทำงานร่วมกับ AI อย่างมีวิจารณญาณ กลับจะยิ่งมีมูลค่าสูงขึ้น ดังนั้น ทางออกและทางรอดของพนักงานยุคนี้ คงหนีไม่พ้นการเร่งพัฒนาตัวเองให้มีทักษะที่สามารถทำงานร่วมกับ AI ได้ ไม่ควรชะล่าจนกลายเป็นว่า AI เข้ามาแทนที่ตำแหน่งงานของเราโดยไม่รู้ตัว

 

 

อ้างอิง: KoreajoongangDaily