Cheap Dopamine วัยทำงานติดโซเชียล สมาธิพัง เสียหายถึงเศรษฐกิจโลก

Cheap Dopamine วัยทำงานติดโซเชียล สมาธิพัง เสียหายถึงเศรษฐกิจโลก

Cheap Dopamine ภัยเงียบโลกการทำงานยุคดิจิทัล กัดกินสมาธิวัยทำงานทั่วโลก ไม่ใช่กระทบรายได้องค์กร แต่ยังสร้างความเสียหายให้เศรษฐกิจโลก 8.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

KEY

POINTS

  • วัยทำงานกำลังเผชิญภาวะติด "Cheap Dopamine" หรือความพึงพอใจฉาบฉวยจากการเสพติดโซเชียลมีเดีย ซึ่งส่งผลให้สมาธิสั้นลงและไม่สามารถจดจ่อกับงานได้
  • การขาดสมาธิและความผูกพันในที่ทำงานของพนักงานกลายเป็นภัยเงียบที่สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจโลกมหาศาล โดยอาจสูงถึง 8.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี
  • ภาวะเสพติดนี้ทำลายความสามารถในการทำงานที่ต้องใช้สมาธิ (Deep Work) และลดทอนศักยภาพ แต่สามารถแก้ไขได้ด้วยการทำ "Dopamine Fasting" เพื่อฟื้นฟูสมอง และฟื้นกลับสมาธิให้คืนมาเพื่อให้การทำงานที่มีประสิทธิภาพอย่างยั่งยืน

ในโลกยุคดิจิทัลที่ทุกสิ่งถูกออกแบบมาเพื่อดึงดูดและช่วงชิงความสนใจของเราตลอดเวลา ไม่แปลกที่วัยทำงานทั่วโลกกำลังเผชิญวิกฤติด้านสมาธิอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ปัญหาฝังลึกนี้มีต้นตอมาจากสิ่งที่เรียกว่า "Cheap Dopamine" หมายถึง การเสพติดความพึงพอใจฉาบฉวยที่ได้มาอย่างง่ายดาย เช่น การเสพติดคลิปสั้นบนสื่อโซเชียล ซึ่งทำให้วัยทำงานหลุดโฟกัส และไม่สามารถจดจ่อกับงานได้ 

ผลกระทบของการที่พนักงานหลุดโฟกัสและไม่จดจ่อกับการทำงานนั้น ได้สร้างแรงสะเทือนต่อเศรษฐกิจโลกในระดับที่น่าตกใจ โดย Gallup บริษัทที่ปรึกษาระดับโลก ได้เปิดเผยในรายงาน State of the Global Workplace 2024 ระบุว่า การที่พนักงานขาดความผูกพันในการทำงาน (low employee engagement) ทั่วโลก ถือเป็น “ภัยเงียบ” และ “ความสูญเสียครั้งใหญ่” ที่กัดกินผลิตภาพขององค์กร และอาจสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจโลกสูงถึง 8.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ซึ่งเทียบเท่ากับ 9% ของ GDP โลก ถือเป็นสัญญาณเตือนภัยครั้งใหญ่สำหรับธุรกิจทุกอุตสาหกรรม

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เพราะเมื่อย้อนดูจากสถิติในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ก็พบรายงานว่า พนักงานส่วนใหญ่มีความผูกพันในการทำงานลดลงเหลือแค่ 30% ในต้นปี 2024 ขณะที่ในสหราชอาณาจักร มีพนักงานแค่ 10% เท่านั้นที่รู้สึกว่าตนเองมีส่วนร่วมกับงานจริงๆ ซึ่งอาจนำไปสู่ความเหนื่อยล้าสะสม และลาออกจากงานในที่สุด 

สอดคล้องกับข้อมูลจากการศึกษาของ Drake International NA ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านทรัพยามนุษย์ พบว่า การที่พนักงานลาออกแต่ละครั้ง องค์กรจะรายจ่ายที่เป็น "ต้นทุนแฝง" ที่หนักกว่าที่คิด โดยอาจต้องแบกรับภาระที่สูงถึง 150-200% ของเงินเดือนบุคลากรตำแหน่งนั้นต่อปี สะท้อนว่าการที่คนทำงานส่วนใหญ่ไม่จดจ่อและมีสุขภาวะแย่ลง ถือเป็นต้นทุนมหาศาลที่ทุกธุรกิจต้องแบกรับ

แล้วการขาดสมาธิ ขาดการจดจ่อกับงาน เกิดจากอะไร? จากผลสำรวจจาก Global tech care company Asurion พบว่า คนทำงานมักขาดสมาธิจากการถูกรบกวนด้วยการแจ้งเตือน หรือทุกการเลื่อนไถฟีดหน้าจอที่ไม่มีที่สิ้นสุด โดยเฉลี่ยแล้วคนเราหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูถึง 96 ครั้งต่อวัน ในขณะที่ตื่นอยู่ นั่นหมายความว่า เราการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูทุก ๆ 10 นาที พฤติกรรมนี้คือการกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารโดปามีนทีละน้อยอย่างต่อเนื่อง เกิดการเสพติด Cheap Dopamine โดยไม่รู้ตัว เพราะสมองเคยชินกับการได้รับรางวัลที่ง่ายและราคาถูก มากกว่าการทำสิ่งที่ทำยากแต่ความหมายในระยะยาว

กลไกการทำงานของสมอง โดปามีนกับความอยากที่ควบคุมไม่ได้

ลองมาทำความเข้าใจกับสารสื่อประสาทที่เรียกว่า โดปามีน (Dopamine) กันก่อน หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า โดปามีน (Dopamine) คือ "สารแห่งความสุข" แต่ในทางวิทยาศาสตร์ โดปามีนที่แท้จริงคือ "สารแห่งแรงจูงใจ" หรือ "ความอยากที่ควบคุมไม่ได้" ที่ทำหน้าที่ผลักดันให้เราแสวงหารางวัล แต่ตัวมันเองไม่ใช่รางวัล

ดังนั้น Cheap Dopamine จึงหมายถึงรางวัลที่เราได้มาแบบง่ายๆ ได้รับในทันที และคาดเดาไม่ได้ ซึ่งมันไม่ได้สร้างความพึงพอใจที่ยั่งยืน ดร.แอนนา เล็มบ์เค (Anna Lembke) ผู้เชี่ยวชาญด้านการเสพติดและศาสตราจารย์ด้านจิตเวชศาสตร์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด อธิบายว่า การได้รับโดปามีนอย่างต่อเนื่องจะสร้างผลกระทบแบบลูกตุ้ม กล่าวคือ ยิ่งเราเสพติดมากเท่าไร สมองก็จะยิ่งตอบสนองด้วยการ "ดิ่ง" ลงอย่างรุนแรง ทำให้เรารู้สึกกังวล สมาธิแตกซ่าน และเหนื่อยล้าทางอารมณ์

ขณะที่ แอปพลิเคชันโซเชียลมีเดียต่างๆ ถูกออกแบบมาเพื่อกระตุ้นสมองของเราอย่างจงใจ ด้วยหลักการทางจิตวิทยาที่เรียกว่า "Slot Machine Effect" คุณไม่รู้เลยว่าการเลื่อนหน้าจอครั้งต่อไปจะเจอวิดีโอหรือเนื้อหาที่ยอดเยี่ยมหรือไม่ ทำให้คุณต้องเลื่อนหาดูต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด (indefinite scroll) จนกลายเป็นภาวะเสพติดไปโดยปริยาย

ผลเสียของการเสพ Cheap Dopamine สมาธิพัง ศักยภาพการทำงานถูกทำลาย

การเสพติด Cheap Dopamine นำไปสู่ภาวะที่เรียกว่า "สมองที่ถูกทอดจนเกรียม" (dopamine fried brain) ส่งผลกระทบต่อวัยทำงานในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็น 

1. ทำลายงานที่ต้องใช้สมาธิ (Deep Work)

ความสามารถในการโฟกัสงานยากๆ ที่ต้องใช้เวลานานเริ่มหายไป เพราะแค่โดนสื่อโซเชียลหรือการแจ้งเตือนรบกวนระหว่างทำงานเพียงนิดเดียว ก็ทำให้กู้สมาธิกลับคืนมาได้ยากมาก โดยงานวิจัยบอกว่าต้องใช้เวลานานกว่า 23 นาที กว่าจะฟื้นสมาธิให้กลับมาเต็มที่ได้เหมือนเดิม ดังนั้นการถูกรบกวน 96 ครั้งต่อวัน จึงทำให้การทำงานสำคัญๆ ให้เสร็จอย่างมีประสิทธิภาพ แทบเป็นไปไม่ได้เลย

2. ชีวิตจืดชืดไม่น่าตื่นเต้น

เมื่อสมองถูกกระตุ้นด้วย Cheap Dopamine บ่อยเกินไป ระดับโดปามีนพื้นฐานจะค่อยๆ พุ่งสูงขึ้นผิดปกติ ทำให้กิจกรรมเดิมๆ ในชีวิตที่เราเคยทำแล้วแฮปปี้และพึงพอใจ เช่น การกินข้าวอร่อยๆ การออกไปเที่ยว หรือคุยกับเพื่อน กลับกลายเป็นรู้สึก "น่าเบื่อ" เพราะมันสู้ความตื่นเต้นบนหน้าจอไม่ได้ จิตแพทย์บอกว่า ยิ่งเสพติดมาก ก็ยิ่งทำให้เรารู้สึกกังวลและเหนื่อยล้าทางอารมณ์อย่างที่บอกไปข้างต้น

3. ศักยภาพการทำงานลดลงอย่างหนัก

Cheap Dopamine ไม่เพียงแต่ทำให้เราเสียเวลา แต่ยังค่อยๆ ทำลายความทะเยอทะทะยาน และความสามารถในการไล่ตามเป้าหมายระยะยาว เมื่อเราทำสิ่งที่ยากไม่สำเร็จ ชีวิตก็จะจำกัดอยู่แค่ ความธรรมดา เท่านั้น

ปัญหานี้แก้ได้ ด้วยการรีเซ็ตสมองหรือ Dopamine Fasting

ข่าวดีคือวัยทำงานยังกอบกู้สมาธิให้ฟื้นคืนกลับมาได้ โดยต้องปรับเปลี่ยนจากการบริโภคแบบรับอย่างเดียว ไปสู่ การลงมือทำอย่างกระตือรือร้น และแสวงหา โดปามีนที่ได้มาจากการลงมือทำ (Earned Dopamine) ซึ่งเป็นรางวัลที่ต้องใช้ความพยายามสูงและมีความหมายจริงๆ โดยเริ่มจากการฝึกความตั้งใจเลือกสิ่งที่เราทำ แทนที่จะถูกผลักดันไปตามสิ่งเร้าภายนอก ซึ่งมีคำแนะนำ 4 ขั้นตอนดังนี้

1. ตรวจสอบการใช้งานโซเชียลของตัวเอง:
ใช้การตั้งค่า "เวลาหน้าจอ"  เพื่อตรวจสอบการใช้งานโทรศัพท์ที่แท้จริง เช็กว่าแต่ละวันเราไถฟีดโซเชียลมากน้อยแค่ไหน แล้วเริ่มปรับเวลาใช้งานให้ลดลงกว่าเดิม

2. การจัดการสภาพแวดล้อม:
สร้าง "แรงเสียดทาน" เพื่อทำให้การเข้าถึงพฤติกรรมที่ไม่ดีเป็นเรื่องยาก เช่น ปิดการแจ้งเตือนทั้งหมด, ปรับโทรศัพท์เป็น "โหมดสีเทา" (Grayscale), หรือย้ายแอปที่มักทำเราเสียสมาธิไปไว้หน้าจอที่เข้าถึงยาก

3. การแทนที่ด้วยรางวัลที่สมควรได้รับ:
บล็อกเวลา 90 นาที สำหรับการทำงานที่ต้องใช้สมาธิสูง (Deep Work) โดยมีโทรศัพท์เก็บไว้ให้ห่าง รวมถึงการจัดตารางเวลาสำหรับ Deep Play หรือกิจกรรมอดิเรกที่ท้าทายและต้องใช้การโฟกัส (เช่น การเรียนดนตรี หรือการอ่านหนังสือยากๆ)

4. การฝึกฝนความเบื่อหน่าย:
ฝึกให้ "กล้ามเนื้อสมอง" กลับมาแข็งแรง ด้วยการไปเดินเล่นโดยที่ไม่ใช้หูฟัง หรือลองนั่งอยู่ในห้องเงียบๆ หรือแค่นั่งคิดไอเดียอะไรสักอย่างเป็นเวลา 5 นาที เพื่อฟื้นฟูและปรับตั้งระดับโดปามีนพื้นฐานในสมอง

บทบาทขององค์กร ช่วยลดปัญหาขาดสมาธิให้พนักงานได้

ขณะเดียวกัน องค์กรก็มีส่วนช่วยให้พนักงานลดภาวะการขาดสมาธิได้ ด้วยการสร้างความผูกพันระหว่างองค์กรกับพนังกาน ทั้งนี้ มีรายงานพบว่าองค์กรที่ทีมงานมีความผูกพันสูง จะสามารถสร้างกำไรสูงขึ้นถึง 23% องค์กรจึงต้องสร้างวัฒนธรรมที่สนับสนุนสมาธิและความสุข โดยเน้นสามปัจจัยหลัก ได้แก่ 

1. มีความชัดเจนในคำสั่งงาน (Demand):
ผู้บริหารต้องช่วยให้พนักงานเห็นภาพรวมและเข้าใจว่าบทบาทของตนมีส่วนช่วยต่อพันธกิจใหญ่ขององค์กรอย่างไร พร้อมทั้งกำหนดความคาดหวังและให้ Feedback ที่ชัดเจน เพื่อลดความไม่ชัดเจนในบทบาทหน้าที่ 

2. มอบอำนาจและความยืดหยุ่น (Control):
องค์กรควรให้อิสระแก่พนักงานในการเลือกวิธีการทำงาน การกำหนดตารางการทำงาน และส่งเสริมความยืดหยุ่น โดยเน้นที่ ผลลัพธ์ของงาน (Outcomes) เป็นหลัก

3. สนับสนุนและสร้างวัฒนธรรมดี (Support):
งานวิจัยของ Gallup ชี้ว่า ความสัมพันธ์กับผู้จัดการมีอิทธิพลต่อความรู้สึกในการทำงานถึง 70% ดังนั้น องค์กรต้องลงทุนในการฝึกอบรมผู้จัดการให้มีทักษะในการโค้ชชิ่งและสนับสนุนพนักงานอย่างแท้จริง รวมถึงสร้างบรรยากาศแห่งการยอมรับความสำเร็จของพนักงานอย่างสม่ำเสมอ

การควบคุมความสนใจของเราอย่างตั้งใจ คือการกำหนดคุณภาพชีวิตและการทำงานของเรา ไม่ใช่ปล่อยให้อัลกอริทึมมาชักจูงจนทำให้สมาธิพัง และประสิทธิภาพงานลดลง การพยายามลดการเสพ Cheap Dopamine เป็นสิ่งจำเป็นที่วัยทำงานต้องทำ เพื่อเรียกคืนศักยภาพที่แท้จริงกลับคืนมา และเป็นกุญแจสำคัญสู่การสร้างอนาคตของการทำงานที่ยั่งยืน

 

 

อ้างอิง: Llinkedin, tisserand, Gallup, ForbesCheap Dopamine Is Destroying Your Focus, Asurion Research