Gen Z ไม่แฮปปี้กับงานที่สุด วิจัยชี้คนรุ่นใหม่ 40% ไม่อยากไปทำงาน

วิจัยเผย Gen Z มีความสุขน้อยที่สุดในที่ทำงาน โดย 40% บอกว่ารู้สึกไม่อยากหรือกลัวการไปทำงาน เหตุเจอแรงกดดันหลายทาง ค่าครองชีพกดทับ อาชีพไม่มั่นคง ไม่พอใจในหัวหน้างาน
KEY
POINTS
- ผลวิจัยจากนิวซีแลนด์ชี้ว่า Gen Z เป็นกลุ่มคนทำงานที่มีระดับความสุขน้อยที่สุด โดย 40% รู้สึกไม่อยากหรือกลัวการไปทำงาน
- สาเหตุหลักมาจากแรงกดดันทางเศรษฐกิจ เช่น ค่าครองชีพสูง รายได้น้อย ความไม่มั่นคงในอาชีพ รวมถึงความไม่พอใจในหัวหน้างาน
- สิ่งที่ Gen Z ให้ความสำคัญในที่ทำงานคือคุณค่าขององค์กร (ESG) การได้รับการยอมรับและรับฟัง และต้องการงานที่มีความหมายควบคู่ไปกับความมั่นคง
แม้ภาพรวมความสุขของแรงงานจะทรงตัวตลอดปีที่ผ่านมา แต่รายงานล่าสุดจาก Seek เว็บไซต์หางานรายใหญ่ของนิวซีแลนด์ กลับเผยให้เห็นความเหลื่อมล้ำทาง “อารมณ์ความรู้สึก” ระหว่างช่วงวัยของพนักงานอย่างชัดเจน โดยเฉพาะวัยทำงานรุ่น Gen Z ที่ผลวิจัยสะท้อนว่า พวกเขาไม่เพียงมีระดับความสุขต่ำที่สุดในที่ทำงาน แต่คนรุ่นใหม่มากถึง 40% ยังระบุชัดว่า รู้สึกกลัวหรือไม่อยากไปทำงาน เมื่อเริ่มต้นวันใหม่
ความสุขของคนทำงาน “ไม่เพิ่มขึ้น” แถมบางส่วนยิ่งวิตกกังวล หมดไฟ
แม้ตามรายงานฉบับดังกล่าวจะระบุว่า ในภาพรวม 64% ของแรงงานบอกว่า ตัวเองมีความสุขกับงาน ซึ่งอยู่ในระดับเท่าเดิมจากปีก่อน แต่ที่น่าสนใจคือ มีคนทำงานประมาณ 12% ที่ระบุว่าตนเองไม่มีความสุขกับการทำงาน โดยพวกเขาเปิดเผยถึงปัจจัยที่ผลักดันให้มีความสุขกับการทำงาน ได้แก่
1. ความหมายของงาน
2. ความรับผิดชอบที่ชัดเจน
3. เพื่อนร่วมงานที่ดี
4. สมดุลชีวิตดี ส่งผลให้เกิดการทำงานที่ดีขึ้น
แต่ในอีกมุมหนึ่ง ความสุขเหล่านี้ถูกบดบังด้วย ความกลัวเรื่องความมั่นคงในการทำงาน ซึ่งมาจากค่าครองชีพกดทับ รายได้ไม่พอใช้ ความไม่แน่นอนในเส้นทางอาชีพ ฯลฯ ซึ่งลดลงอย่างต่อเนื่องตามภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน อีกทั้งยังรวมถึงความไม่พอใจกับหัวหน้างานโดยตรง มีเพียง 56% ที่รู้สึกดีกับหัวหน้างานของตัวเอง หมายความว่า กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาวิจัยที่เหลืออีกเกือบครึ่ง (44%) รู้สึกแย่กับหัวหน้างานของตนเอง
ร็อบ คลาร์ก (Rob Clark) ผู้จัดการประจำประเทศของ Seek อธิบายประเด็นนี้ว่า การที่คะแนนความสุขของวัยทำงานในภาพรวมยังคงที่ แม้เศรษฐกิจตึงตัว นับเป็นสัญญาณของความยืดหยุ่นของแรงงานนิวซีแลนด์ แต่ในขณะเดียวกัน ก็สะท้อนให้เห็นว่า “วัยทำงานรู้ดีว่าอะไรคือสิ่งที่มีความหมายสำหรับพวกเขา”
อย่างไรก็ตาม คลาร์กย้ำว่า ความรู้สึกด้านลบหลายอย่างยังคงกดทับแรงงานจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น ความไม่พอใจในเส้นทางเติบโตในอาชีพ (career progression), ความรู้สึกว่าองค์กรไม่ให้ความสำคัญต่อประเด็น ESG (เช่น เรื่องสิ่งแวดล้อม, ความโปร่งใสและมีคุณธรรม), ความไม่พอใจต่อเงินเดือน, ระดับความเครียดที่เพิ่มขึ้น และความเชื่อมั่นต่อผู้บริหารที่ยังต่ำกว่าคาดหวัง ..ทั้งหมดนี้ร่วมกันสร้าง “อารมณ์ค้างคา” ซึ่งส่งผลต่อความสุขของพนักงานในระยะยาว
ทำไม Gen Z ไม่มีความสุขกับงานมากที่สุด?
เมื่อวิเคราะห์ถึงผลการสำรวจตามช่วงวัย พบว่า Gen Z คือกลุ่มที่มีระดับความสุขต่ำที่สุด แม้ตัวเลขจะดีขึ้นจากปีก่อน (จาก 45% เป็น 58%) แต่ก็ยังทำคะแนนต่ำกว่ารุ่นอื่นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้น ผลสำรวจยังพบว่า Gen Z คือกลุ่มที่ รู้สึกหมดไฟง่ายที่สุด เหนื่อยล้าทางอารมณ์บ่อยที่สุด และ 40% บอกว่ารู้สึก “หวั่นใจ” เมื่อคิดถึงการต้องตื่นไปทำงาน
คลาร์กอธิบายว่าคนรุ่นนี้จำนวนมากเพิ่งเริ่มต้นอาชีพ และทำงานอยู่ในตำแหน่งระดับเริ่มต้น รายได้ยังไม่สูง และต้องเผชิญค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้น ทำให้ Gen Z เป็นกลุ่มที่รับแรงกดดันของสภาพเศรษฐกิจ “หนักที่สุด”
แต่ในอีกด้านหนึ่ง Gen Z กลับให้คะแนนความพึงพอใจสูงในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ “คุณค่าขององค์กร” โดยเฉพาะเรื่อง ESG ซึ่งหมายถึงความรับผิดชอบของบริษัทใน 3 ด้าน ได้แก่ Environment (สิ่งแวดล้อม), Social (สังคมและความเป็นธรรม), Governance (ธรรมาภิบาลและความโปร่งใส) สำหรับคนรุ่นนี้ ประเด็น ESG ไม่ใช่แค่คำสวยหรูบนเว็บไซต์บริษัท แต่เป็นตัวชี้ว่า “องค์กรนี้มีจุดยืนที่สอดคล้องกับสิ่งที่พวกเขาเชื่อหรือไม่”
Gen Z ยังให้คะแนนสูงในด้าน การได้รับการรับฟัง และ การได้รับการยอมรับในที่ทำงาน ซึ่งสะท้อนว่า พวกเขาต้องการสภาพแวดล้อมที่เปิดโอกาสให้แสดงความเห็น ไม่อยากถูกมองว่าเป็น “เด็กใหม่ที่ยังไม่รู้เรื่อง” และต้องการให้ผลงานของตนถูกมองเห็น แต่ส่วนใหญ่องค์กรกลับไม่ตอบโจทย์พวกเขา ปรากฏการณ์เหล่านี้ทำให้เห็นว่า แม้ Gen Z จะเผชิญความกดดันสูงกว่ารุ่นอื่น แต่พวกเขาก็มองหา “คุณค่าที่จับต้องได้” จากองค์กร ไม่ใช่แค่เงินเดือนเพียงอย่างเดียว
ความมั่นคงในอาชีพ คือปัจจัยความสุขที่สำคัญ แต่หลายคนกลับไม่มีสิ่งนี้
ความมั่นคงในการทำงานยังเป็นตัวขับเคลื่อนความสุขที่สำคัญที่สุด ของทั้งแรงงานคนรุ่นใหม่และคนรุ่นก่อน แต่รายงานเผยว่า “ความรู้สึกปลอดภัย” ในที่ทำงานกำลังหายไปท่ามกลางเศรษฐกิจที่ผันผวน อัตราเงินเฟ้อที่ยังสูง และการจ้างงานที่ไม่แน่นอน
คลาร์กเชื่อว่าในสภาวะเศรษฐกิจดีขึ้น ความสุขในที่ทำงานก็มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นตาม เขาย้ำว่า “หากค่าจ้างโตขึ้น มีทรัพยากรมากขึ้น และบทบาทงานชัดขึ้น งานก็สนุกขึ้น และทำให้คนทำงานรู้สึกมีคุณค่ามากกว่าเดิม” เขากล่าว
หัวหน้าคือปัจจัยของความสุขในที่ทำงาน แต่ส่วนใหญ่ยังไม่ดีพอ
รายงานยังชี้ว่า “หัวหน้าสายงานตรง” คือผู้มีอิทธิพลต่อความสุขมากที่สุดในองค์กร มากกว่าผู้นำระดับสูงหรือค่านิยมองค์กร แต่ตัวเลขพึงพอใจของลูกทีมต่อหัวหน้าอยู่เพียง 56% แปลว่า “ครึ่งหนึ่งของพนักงานอาจไม่ได้รับการสนับสนุนเท่าที่ต้องการ”
คลาร์กเตือนว่า หากองค์กรต้องการรักษาคนเก่งไว้ การลงทุนด้าน “หัวหน้างานที่มีประสิทธิภาพ” จะสำคัญไม่แพ้สวัสดิการหรือเงินเดือน อย่างไรก็ตาม ควรทำความเข้าใจว่า พนักงานรุ่น Gen Z ไม่ได้ต่อต้านงาน พวกเขาเพียงแค่ต้องการงานที่ “มีความหมายและมั่นคง” กว่านี้
พูดง่ายๆ ก็คือ ปรากฏการณ์ที่ Gen Z ไม่อยากไปทำงาน ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่อดทน แต่เพราะตลาดงานยุคปัจจุบันเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน รายได้ไม่พอ ความกดดันสูง และขาดผู้นำที่สนับสนุนอย่างแท้จริง ทางออกของปัญหานี้ ส่วนหนึ่งอาจต้องการแรงสนับสนุนจากองค์กร ในการออกแบบสภาพแวดล้อมการทำงานแบบใหม่ให้รองรับคนรุ่นนี้ให้มากขึ้น เพื่อขจัดปัญหาภาวะหมดไฟและการลาออกเงียบๆ ของพนักงาน
อ้างอิง: New Zealand news







